23 มี.ค. 2020 เวลา 02:02 • ความคิดเห็น
Social Distancing ต้อง ‘มีหัวใจ’
การทำ Social Distancing เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่เราต้องระวังอย่าให้ ‘ความห่างทางสังคม’ สร้าง ‘รอยร้าวในสังคม’
อย่าให้ Social Distancing กลายเป็น Social Inequality
Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม รวมถึงการทำงานจากที่บ้าน เรียนจากบ้าน การหลีกเลี่ยงผู้คน ฯลฯ ที่กำลังพยายามผลักดันกันนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโคโรนา และ Flatten the Curve เพื่อชะลอการระบาด
แต่ความสามารถในการทำ Social Distancing นั้นแตกต่างกันมาก หลายคนทำ Social Distancing ยาก เพราะลักษณะของอาชีพ (เช่น อาชีพขับรถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์)
บางคนทำไม่ได้ เพราะขาดการเข้าถึงหรือเข้าใจการใช้เทคโนโลยี (เช่น การประชุม การเรียน การทำธุรกิจออนไลน์) นี่เป็นประเด็นสำคัญมากในประเทศไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
บางคนทำไม่ได้เพราะ ‘สายป่านสั้น’ ต้องหาเช้ากินค่ำ และทุกวันที่ต้องหยุดงานเพราะ Social Distancing หรือกักตัวก็ตาม คือการเสียรายได้ที่จำเป็นในการเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังมีหนี้ที่ต้องแบกไว้อีก การทำ Social Distancing จึงอาจตอกย้ำปัญหาหนี้และความเหลื่อมล้ำ
เรื่องการเรียนจากที่บ้านก็เช่นกัน บางครั้งนักเรียนขาดอุปกรณ์หรืออินเทอร์เน็ตสัญญาณดีพอที่จะทำให้เรียนออนไลน์ได้ บางครอบครัวที่ปกติให้ลูกทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนก็จะต้องหาซื้อเอง
หากนโยบาย Social Distancing ไม่ได้คำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดอย่างน้อย 2 ปัญหา
หนึ่ง การเว้นระยะห่างอาจสร้างรอยร้าวในสังคม สร้างความไม่เท่าเทียมระหว่างคนสายป่านยาวและสายป่านสั้น ความไม่เท่าเทียมระหว่างคนรุ่นดิจิทัลและคนยุคอนาล็อก ความไม่เท่าเทียมระหว่างอาชีพ โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพอิสระที่อาจไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการรัฐ
สอง การเว้นระยะห่างอาจไม่ได้ผล เพราะคนไม่ปฏิบัติตาม เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคทำให้เขาไม่สามารถทำได้ และหากอาชีพของคนกลุ่มนี้มีการต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก ก็ย่อมมีความเสี่ยงที่เขาจะติดเชื้อและแพร่เชื้อให้คนอื่นต่อ
บทความในหนังสือพิมพ์ New York Times ทำข้อมูลออกมาชี้ให้เห็นว่า อาชีพใดบ้างที่มีความเสี่ยงที่จะติดไวรัสและมีโอกาสแพร่เชื้อต่อผู้อื่น ผมไม่แน่ใจว่าเรามีฐานข้อมูลแบบนี้ไหมในประเทศไทย แต่น่าจะมีประโยชน์มากถ้าทำได้
ในเมื่อ Social Distancing เป็นสิ่งจำเป็น ผมว่ารัฐบาลควรทำความเข้าใจว่า กลุ่มคนใดบ้างที่อาจไม่สามารถทำ Social Distancing ได้ เพราะอะไร และพอมีทางช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
ยกตัวอย่าง รัฐบาลอาจต้องมีมาตราการ #การคลังหยุดเชื้อเพื่อชาติ มาคู่กับ #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
เช่น ชดเชยทางการเงินช่วยเหลือกลุ่มคนที่:
หนึ่ง สายป่านสั้น
สอง ต้องทำงานที่มีความเสี่ยงจะได้รับเชื้อสูง
สาม มีโอกาสแพร่เชื้อต่อคนอื่นสูง เพื่อให้เขาไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานในช่วง Social Distancing
มองด้านหนึ่งนี่เป็นนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่อีกในด้านหนึ่งมันทำได้มากกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอย่างเดียว ทั้งได้ช่วยคนที่มีข้อจำกัดเรื่องการเงินจริงๆ (ช่วยเรื่องความเหลื่อมล้ำ) ได้ช่วยคนกลุ่มที่เสี่ยงติดโรค โดยการไม่ทำให้สถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องออกไปทำงาน อีกทั้งได้ลดความเสี่ยงที่คนกลุ่มนี้จะออกไปแพร่เชื้อต่อในชุมชนหากเขาติดเชื้อ เท่ากับว่ายิงนัดเดียวได้นกหลายตัว
สรุป การผลักดัน Social Distancing เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องทำอย่าง ‘มีหัวใจ’ คือเข้าใจในบริบทและหัวอกผู้ต้องปฏิบัติ
ต้องรู้จักใช้เครื่องมือทางนโยบายต่างๆ มาช่วยแก้ปัญหา (เช่น นโยบาย #การคลังหยุดเชื้อเพื่อชาติ ในตัวอย่างที่ผมยกข้างบน)
เพราะหาก Social Distancing ไม่เวิร์กสำหรับคนบางกลุ่ม มันก็จะไม่ได้ผลสำหรับสังคมโดยรวมเช่นกัน
อย่าให้ความห่างทางสังคมสร้างรอยร้าวในสังคม
อย่าให้ Social Distancing กลายเป็น Social Inequality
มาทำให้ ‘Social Distancing มีหัวใจ’ สอดคล้องกับแนวคิดแบบ ‘ทุนนิยมมีหัวใจ’ กันเถอะ
โฆษณา