4 เม.ย. 2020 เวลา 11:51 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Pale Blue Dot ภาพถ่ายที่ตอกย้ำว่ามนุษย์นั้นเล็กจิ๋วเพียงไหน
มนุษย์ เกิดมาพร้อมความยึดมั่นถือมั่น ฉันเก่ง ฉันฉลาด ฉันดีเลิศ ฉันประเสริฐกว่าใคร ฉันมีศีลธรรมอันดีแสนสูงส่ง นั่นทำให้หลายครั้งเรามองว่าทุกอย่างในเอกภพเป็นตัวละครสมมุติโดยมีเราเป็นตัวละครเอกที่เด่นและสำคัญที่สุด แม้แต่ดวงอาทิตย์ยังต้องโคจรรอบฉัน แต่วิทยาศาสตร์ได้ทำให้หูที่หนวก ตาที่บอด ได้รู้ว่าเราต่างหากที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เราได้เห็นความจริงชัดขึ้นไปอีกว่าเรานั้นตัวเล็กจ้อยเหลือเกิน
Pale Blue Dot ที่มา - https://spaceth.co/pale-blue-dot/
เมื่อวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ 1990 ตอนนั้นยาน Voyager 1 กำลังจะเดินทางออกนอกระบบสุริยะ Sagan ได้คุยกับทีมงานของ JPL ให้หันกล้องกลับมาถ่ายที่โลกของเราก่อนที่ยานจะเดินทางไปไกลแสนไกลและทิ้งไว้แต่เพียงมุมมองต่อจักรวาล (เหมือนเขาในอีกไม่กี่ปีต่อมาในอีก 7 ปีข้างหน้า) ภาพที่ได้มานั้น ไม่ได้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นใด ๆ เป็นเพียงภาพที่ถูกรบกวนด้วยแสงอาทิตย์ และจุดเล็ก ๆ คือโลกของเรา
หากแต่ภาพนั้น กลับกลายเป็นตัวแทนของทุกความพยายามในการศึกษาดาราศาสตร์ของเรา Sagan บรรยายภาพนั้นไว้ด้วยงานเขียนทางดาราศาสตร์และปรัชญาที่ทรงพลังว่า
"จุดเล็ก ๆ จุดนั้นคือที่นี่ คือบ้าน คือพวกเรา บนจุดนั้นคือทุกคนที่เราเคยรู้จัก มนุษย์ทุกคนที่เคยมีตัวตนอยู่ รวมไว้ซึ่งความสุขสันต์และความทุกข์ทน ศาสนา แนวคิด ระบบเศรษฐกิจ นับพันนับหมื่น ทุก ๆ นักล่าและหัวขโมย ทุก ๆ วีรบุรุษและคนขี้ขลาด เหล่านักสร้าง นักทำลาย อารยธรรมต่าง ๆ กษัตราและชาวนาที่ยากชน คู่รักหนุ่มสาว เด็กน้อยที่เต็มเปี่ยมด้วยความหวัง ทุกบิดรมารดา นักประดิษฐ์ นักสำรวจ ครูอาจารย์ นักการเมืองสกปรก เหล่าดารา และผู้นำ ทุก ๆ คนบาปและนักบุญ ทุกคนในประวัติศาสตร์ของเราอาศัยอยู่ที่นี่ บนฝุ่นผงที่ลอยเคว้งท่ามกลางแสงอาทิตย์
โลกของเรา เป็นดั่งเวทีเล็ก ๆ ท่ามกลางโรงละครจักรวาลอันกว้างใหญ่ จินตนาการถึงเลือดเนื้อที่หลั่งไหล เชือดเฉือนโดยเหล่านายพลและจักรพรรดิ ที่หวังความรุ่งโรจน์อันชั่วคราวบนเศษเสี้ยวแห่งฝุ่นผง จินตนาการถึงการเยี่ยมเยือนที่เหี้ยมโหดจากผู้อาศัยจากมุมนึงของจุดนี้กระทำต่ออีกมุมหนึ่ง พวกเขาเข้าใจผิดกันมามากแค่ไหน พวกเขากล้าดีอย่างไรที่จะเข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ความเกลียดชังอันแรงกล้าและการวางตัวเองสำคัญหลงคิดว่าเรามีอภิสิทธิ์ในจักรวาล ทั้งหมดถูกท้าทายด้วยจุดจาง ๆ จุดนี้
โลกของเรา เป็นจุดเล็ก ๆ หลมซ่อนอยู่ในเอกภพที่มืดมิด ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความเคว้งคว้าง ไม่มีสิ่งรับประกันว่าจะมีใคร จากที่ไหน มาช่วยเราจากการกระทำของตัวเราเอง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเรา เคยมีคนพูดไว้ว่าดาราศาสตร์นั้นทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ผมขอเพิ่มว่ามันคือการเข้าถึงตัวตน คงไม่มีสิ่งใดที่จะแสดงความโง่เขลาของความคิดมนุษย์ไปได้มากกว่าภาพถ่ายโลกของเราจากระยะที่ไกลแสนไกลนี้ มันคือความรับผิดชอบของเรา ที่จะถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน เพื่อปกป้องและหวงแหน จุดเล็ก ๆ จุดนี้ บ้านหลังเดียวที่เรารู้จัก"
การสำรวจอวกาศของเราในทุกวันนี้ ต่างจากในอดีตอย่างมาก ในอดีตเราทำได้เพียงแต่มองท้องฟ้าและตั้งคำถามถึงจักรวาล แต่ตอนนี้เรามีโอกาสได้ส่งยานออกไปและหันกลับมามองตัวเราเอง จากอดีตที่เรามองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล กลายเป็น ณ ตอนนี้เราได้รู้ตำแหน่งที่แท้จริงของเราในจักรวาลอันกว้างใหญ่ จากเดิมที่เรามองท้องฟ้าเป็นฉากและมีดวงดาวเป็นตัวละคร แต่ตอนนี้เรากลับกลายเป็นตัวละครบทสมทบที่เล็กที่สุดบนเสกลความกว้างใหญ่ของโรงละครที่ชื่อเอกภพ
เหมือนที่ Sagan บอก สุดท้ายแล้ว การสำรวจจักรวาลมันคือการมองย้อนกลับมาเข้าใจตัวตนของเรา วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมืออันแหลมคมที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงความเข้าใจตรงนั้นได้และสุดท้ายมันจะสอนเราให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดที่เหนือไปกว่าธรรมชาติ จักรวาล และความจริง ที่เราอาจรับรู้ได้เพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
หวังว่าท้ายที่สุดแล้วภาพถ่ายนี้จะทำให้ใครหลายคนวางอัตตาอันใหญ่โตคับใจลงได้บ้าง
โฆษณา