27 พ.ค. 2020 เวลา 21:53 • ปรัชญา
“การปฏิบัติเพื่อให้ใจมีปัญญา”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓
ปัญหาของใจของพวกเรา เกิดจากความรักความชัง นี่เราถึงต้องใช้สมาธิช่วย เพราะเวลาเราฝึกสมาธิ เวลาใจสงบนี้มันจะมีอุเบกขา อุเบกขาก็คือความว่าง ความเป็นกลางของใจ ใจไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง แล้วก็พยายามสร้างสมาธิสร้างอุเบกขาให้มากๆ แล้วเวลาที่เราต้องไปเผชิญกับของที่เรารักเราชังเรากลัวเราหลง เราก็จะได้ทำได้อย่างสบาย เวลาเจออะไรเรารักเราก็เฉยๆ อย่าไปรัก เวลาเจออะไรชังก็อย่าไปชัง เวลาเจออะไรกลัวก็อย่าไปกลัว เวลาหลงอะไรก็อย่าไปหลงกับมัน ให้มันรู้เฉยๆ วิธีแก้ปัญหาความทุกข์ของใจก็ต้องทำใจให้สักแต่ว่ารู้เพียงอย่างเดียว เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินอะไรก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ใช่เห็นอะไรได้ยินอะไรแล้วปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไปหมด เรื่องงานศพของท่านนี่ปรุงแต่งกันไปต่างๆ นานา ทำไมต้องรีบเผาต้องอะไร ไปปรุงแต่งมันทำไม มันไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย เขาจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ใช่ไหม ไม่เฉยไง ไม่มีอุเบกขา มีรักมีชังขึ้นมา แล้วก็วุ่นวายไหมเวลามีรักมีชัง ทนไม่ไหวต้องโพสต์เข้ามาในเฟซบุ๊คให้คนอ่าน แต่ถ้าคนมีอุเบกขา แล้วก็มีปัญญาว่า อ้อ นี่มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ...มีญาติโยมส่งมาถาม เป็นกรรมของท่านหรือเปล่า ที่ไม่ทำตามหลวงตาที่ไปสร้างองค์เจดีย์ เราก็ตอบไปว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เราตอบอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาก็สาธุกลับมาได้สติได้ปัญญา อ้าว ธรรมดาจิตมันไม่คิดทางนี้หรอก จิตมันก็จะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เหตุผลนั้นเหตุผลนี้ มันก็เลยวุ่นวายกันไปหมด แต่ถ้าใช้ปัญญาแล้วมันจบ ก็คนตายไปแล้วจะไปยุ่งกับเขาทำไม ไปทำอะไรได้ แล้วก็เขาไปถึงไหนแล้วเราก็ไม่รู้แล้ว เรามีหน้าที่จัดการกับร่างกายของเขาก็จัดการกันไปให้เหมาะสมตามฐานะของเขาไป ก็จบเท่านั้นเอง นี่คือปัญญา ถ้ามีปัญญาจะมองเห็นอะไร มันก็เห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเราสรุปทุกอย่างที่เราเห็นได้ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกข์ก็จะดับทันที ความทุกข์ความวุ่นวายใจต่างๆ ก็จะหายไปหมด แต่ถ้าไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเป็นพระรูปนั้น พระผู้ใหญ่ พระผู้น้อย พระอะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องทำให้สมพระเกียรติ ต้องเก็บไว้กี่วันดี อะไรว่าไป ยุ่งไปหมด แต่ถ้าเห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน เป็นแค่ดิน น้ำ ลม ไฟ เกิด แก่ เจ็บ ตาย จัดการให้มันเสร็จเรียบร้อยไป
โดยธรรมเนียมของวัดป่าบ้านตาด หลวงตาท่านก็สั่งไว้ สมัยที่เราอยู่นี้ แม่ของหลวงตาท่านเสีย เสียตอนเช้า หลวงตาบอกเผาตอนบ่ายเลย ทีนี้ญาติพี่น้องบอก หลวงพ่อ ขอสักคืนหนึ่งเถอะ จะได้ส่งข่าวไปให้ญาติพี่น้องให้เขามาคารวะศพหน่อย ท่านก็เลยโอเคเก็บไว้ ๑ คืน ให้ญาติพี่น้อง แต่ไม่มีพิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการสวดกุสลาอะไร ถ้ามากุสลาต้องสวดตอนเป็น แล้วคนที่ตายนี้ต้องสวดเอง เพราะ “กุสลา” แปลว่าความฉลาด ทำตัวให้ฉลาด ทำตัวให้เห็นไตรลักษณ์ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การสวดนี้เป็นเหมือนนกแก้ว “กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา” คนตายก็ไม่ได้ยิน คนเป็นก็ไม่ฟัง คนเป็นก็คิดว่าสวดให้คนตาย คนเป็นก็นั่งคุยกันไปเวลาพระสวดกุสลา แล้วสวดเป็นภาษาบาลีก็ไม่เข้าใจอีก ก็เลยไม่ฟังกัน ความหมายของกุสลาก็คือ ทำใจให้ฉลาดด้วยปัญญาตั้งแต่ยังไม่ตาย ทำใจให้เห็นไตรลักษณ์ทุกเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์หมด ถ้าเห็นเป็นไตรลักษณ์หมด มันจะปล่อยวาง มันจะไม่ทุกข์ หลวงตาท่านก็เลยให้เก็บไว้คืนหนึ่ง พอพรุ่งนี้เช้าตอนบ่ายก็ให้พระมาชักผ้าบังสุกุล ๔ รูป เสร็จแล้วก็เผาที่หน้าศาลานี่ ตั้งเมรุชั่วคราว เมรุแบบไม่ใช่เป็นเมรุ เป็นกองฟืน ไปตัดไม้มากองไว้ แล้วก็เอาโลงขึ้นไปตั้งข้างบน ตามธรรมเนียมของชาวบ้าน ทางวัดบ้านตาดเขาไม่มีเมรุ เขามีป่าช้า แล้วเขาก็จะเอาศพคนตายนี้ไปที่ป่าช้า แล้วก็จะตัดต้นไม้ตัดฟืนมาตั้งเป็นกอง แล้วก็เอาโลง โลงก็ไม่ใช่เป็นโลงไม้ เป็นโลงกระดาษ มีไม้ไผ่แปะเป็นโครงหน่อย แล้วก็เอากระดาษมาแปะรอบๆ อาจจะมีไม้พื้น เท่านั้นเอง แล้วก็ไม่มีฝา เขาใช้ท่อนไม้ ๒ ท่อนทับโลงไว้เพราะว่าเวลาเผา เดี๋ยวร่างกายมันจะเด้งขึ้น เท่านั้นแหละก็เสร็จพิธี ไม่ต้องไปพิถีพิถันกับเรื่องของดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของใครก็เหลือแค่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เรามากำจัดขยะนี่เอง มาแยกแยะรีไซเคิล แยกแยกพลาสติกออกไปจากขวด แยกแยะขวดออกไปจากกระดาษ อันนี้เราก็มาแยกแยะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้มันออกจากกันไป เท่านั้นเอง ท่านก็ให้เผาที่หน้าศาลาเลย แล้วพอค่ำคืนไฟมอดหมดดึกแล้ว ท่านก็ให้เก็บขี้เถ้านี้ไปโรยที่ใต้โคนต้นโพธิ์ในวัด ท่านบอกว่าไปบูชาพระพุทธเจ้า เป็นปุ๋ย เพราะเป็นดินแหละ ขี้เถ้าที่เหลืออยู่นี้ก็เป็นดิน เรียบง่าย ไม่ยุ่งยากไม่วุ่นวายกับเรื่องที่ไร้สาระ เราไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไร้สาระ ไอ้เรื่องที่มีสาระกลับไม่วุ่นวายด้วย คือใจของเรา ไปวุ่นวายกับเรื่องที่ไร้สาระ เรื่องที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องไม่มีแก่นสาร สิ่งที่มีแก่นสารคือธรรมและใจของพระพุทธเจ้า ที่เราไม่มาให้ความสำคัญกัน ก็เลยวุ่นวายใจกัน ทุกข์กันไป
นี่ก็คือเรื่องของการปฏิบัติเพื่อให้ใจมีปัญญา เพื่อที่จะทำให้ใจเป็นอุเบกขาได้อย่างถาวร ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ก็จะต้องใช้สติ เวลาใจเริ่มรักเริ่มชังก็ต้องใช้สติบริกรรมไป แล้วมันก็จะหยุดความรักความชังได้ชั่วคราว เป็นอุเบกขาได้ชั่วคราว แต่เดี๋ยวมันก็รักชังใหม่อีก แต่ถ้ามันใช้ปัญญาแล้วมันจะไม่รักไม่ชัง มันจะรู้ว่าความรักความชังเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา มันก็จะพยายามควบคุมใจบังคับใจให้อยู่กับสิ่งที่รักสิ่งที่ชัง ให้อยู่เฉยๆ ให้สักแต่ว่ารู้ไป แล้วพอมันอยู่ได้แล้วมันก็จะเฉย ไม่เดือดร้อนกับอะไรต่างๆ นี่คือวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ ความวุ่นวายใจต่างๆ ที่เกี่ยวกับสังขารร่างกาย ทั้งของเราและของผู้อื่นให้มันหมดไป แต่กิเลสยังมีอีกหลายตัวที่ต้องปฏิบัติต่อไป นี้เป็นเพียงขั้นร่างกายกับเวทนา เดี๋ยวก็ต้องไปสู้กับกิเลสคือกามราคะต่อไป แล้วก็กิเลสที่เขาเรียก รูปราคะ อรูปราคะ กิเลสที่ยังมีอวิชชา ยังมีความอยากอยู่ในจิตต่อไป อันนี้ก็เป็นขั้นต้นของการปฏิบัติ แล้วทุกขั้นมันก็จะใช้วิธีเดียวกัน ใช้สติใช้ปัญญาเพื่อที่มาปล่อยวาง ทำใจให้สักแต่ว่ารู้ แล้วใจก็จะได้ไม่ทุกข์ไม่เครียดกับสิ่งต่างๆ อีกต่อไป
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา