1 มิ.ย. 2020 เวลา 06:13 • ธุรกิจ
ความเป็นกลางทางเน็ต (Net neutrality) คืออะไร?
ทำความรู้จัก "หลักความเป็นกลางทางเน็ต" หรือ Net neutrality คืออะไร แล้วจะช่วยหรือเข้ามาควบคุมการแข่งขันที่ดุเดือดของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต กับผู้ใช้บริการโครงข่ายที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
บทความโดย โดย ดร.อรัชมน พิเชฐวรกุล | คอลัมน์ กฎหมาย 4.0 I กรุงเทพธุรกิจ
ความเป็นกลางทางเน็ต (Net neutrality) คืออะไร?
จากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2562 (Thailand Internet User Behavior 2019) ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ETDA) พบว่า
คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่า 150% ส่งผลทำให้ปัจจุบันไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 47.5 ล้านคน หรือราว 70% ของจำนวนประชาชนทั้งหมด จากตัวเลขที่พุ่งสูงนี้นับเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคามที่ภาครัฐต้องดูแล ส่งเสริม และเฝ้าระวัง เพื่อให้การใช้อินเทอร์เน็ตก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความมั่นคงปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน
จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจำเป็นจะต้องแย่งชิงตลาดระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้เกิดคำถามในเรื่องความเป็นธรรมของการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการเนื้อหา กับผู้ให้บริการโครงข่ายตามมา
เพราะถ้าหากผู้ให้บริการเนื้อหาที่มีทุนหนา เช่น google ร่วมมือกับผู้ให้บริการโครงข่าย โดยอาจสนับสนุนเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงบางประการ เช่น การให้บริการเนื้อหาของตนอย่างรวดเร็วกว่า เป็นต้น เพื่อเป็นการกีดกันหรือสร้างข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งอื่นๆ แล้วนั้น จะมีกฎเกณฑ์หรือหลักปฏิบัติในการรับส่งข้อมูลที่สามารถกำกับดูแลกรณีเหล่านี้ได้บ้างอย่างไร
หลักปฏิบัติดังกล่าวถูกเรียกว่า หลักความเป็นกลางทางเน็ต (Net neutrality) คือหลักการที่ระบุว่าผู้ให้บริการเครือข่ายรวมถึงรัฐบาลจะต้องจัดการกับข้อมูลต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติภายใต้กฎเกณฑ์พิเศษใดๆ โดยมีแนวคิดที่ว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ไม่ควรแบ่งแยกผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตด้วยการเก็บค่าบริการที่แตกต่างกันหรือทำการลดความเร็วของผู้ใช้งานบางคนลงให้แตกต่างจากผู้ใช้งานคนอื่น
อันหมายความว่า ผู้ให้บริการโครงข่าย (เช่น True internet, TOT, Comcast, Verizon) จะต้องไม่ให้ความสำคัญกับลักษณะเนื้อหาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจากผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่งเหนือผู้ให้บริการรายอื่น เช่น การลดทอนความเร็ววิดีโอของ Youtube ให้น้อยกว่าความเร็วคอนเทนต์วิดีโอของ Netflix เป็นต้น
ทั้งนี้สามารถสรุปได้ว่า หลักการของ Net neutrality จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่จะสร้างความเป็นธรรม หรือ ความเป็นกลางระหว่างผู้ให้บริการทุกๆ ราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการรายเล็ก หรือ รายใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนในการเริ่มธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต และกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคตอีกด้วย อีกทั้งยังถือเป็นหลักการพื้นฐานของ “เสรีภาพ” บนอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
แต่หลักการดังกล่าวก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างอยู่เสมอ เนื่องจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตมองว่า Net neutrality นี้ทำให้ทางบริษัทหาเงินได้น้อยลงและทำให้นักลงทุนไม่ต้องการลงทุนกับบริษัท ดังนั้นในระยะยาว Net neutrality จะทำให้เกิดผลเสียต่อเครือข่าย อีกทั้งมีบางส่วนเห็นว่า กฎหมายที่ออกโดยรัฐบาลจะเป็นอุปสรรคทำให้ไม่เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ
ประเด็นเรื่อง Net Neutrality นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากมีมานานตั้งแต่ปี 2000 แต่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง จนมาถึงปี 2015 จึงเริ่มมีการร่างกฎหมายเพื่อนำหลักการดังกล่าวนำมาใช้ในที่สุด และถึงแม้ว่าจะไม่ได้บังคับให้เป็นกลาง Net Neutrality 100% แต่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายฝ่ายก็ไม่พอใจ
สำหรับประเทศไทย เรื่องนี้ยังคงเป็นเรื่องใหม่มากและผู้เขียนเห็นว่าอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่า เรื่องนี้จะถูกนำมาถกเถียงในเมืองไทยอย่างจริงจัง แต่หากวันหนึ่ง กลุ่มเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งหลายรวมตัวกันขึ้นมา ก็เป็นหน้าที่ของผู้บริโภคที่ต้องส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในสังคมต่อไป เนื่องจากการกำกับดูแลสื่อแบบเป็นประชาธิปไตยนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม โดยไม่ใช่เพียงส่วนร่วมในแง่ของการกำหนดเนื้อหาเท่านั้น แต่รวมทั้งในแง่การออกแบบนโยบายกำกับดูแลสื่ออีกด้วย
โฆษณา