15 มิ.ย. 2020 เวลา 00:30 • ความคิดเห็น
"เล่าประสบการณ์ การทำ podcast ครบ 100 ตอน"
ไมค์จริง ไม่ได้ดีขนาดนี้นะครับ
"สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ อ่านแล้ว อ่านเล่า podcast, podcast ที่จะหยิบยกเอาเรื่องราวจากหนังสืออันหลากหลาย มาให้กับคุณ"
Logo รายการที่มีเพื่อนช่วยทำให้
ไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่าจะมีวันที่ทำ podcast มาได้จนครบ 100 ตอน
จากวันที่เริ่มคิดที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ เพราะว่าชอบฟัง podcast มากๆ
มากถึงขนาด เลิกเบื่อรถติดไปเลย เพราะมัวแต่นั่งฟังจนเพลิน
ตั้งแต่ได้เริ่มเข้าวงการ การฟัง podcast ก็ไม่เคยได้เปิดวิทยุฟังอีกเลย
พอฟังมากๆเข้า ก็คิดใจในว่า ทำไม ไม่มี podcast แนวสรุปหนังสือบ้างนะ จะได้ฟังเนื้อหาของหนังสือที่สนใจก่อนจะตัดสินใจซื้อหนังสือ คิดไป คิดมา เราก็อ่านหนังสือเยอะพอสมควร ทำไมไม่ลองมาทำเองดูบ้างหละ
หลังจากที่คิดแบบนั้น ก็เลยตั้งใจฟังรายการที่ดังๆทั้งหลาย เช่น Mission to the moon, Nopadol's Story, The Secret Sauce, แปดบรรทัดครึ่ง เพื่อดูว่าเขามีวิธีการจัดรายการยังไง แล้วก็พยายามลองประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง
อืม... มันต้องมีการเปิดรายการซินะ มีดนตรี และ.... ต้องมีไมโครโฟน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เลยลองซื้อไมค์แบบติดเสื้อ ราคาถูกๆมาลองก่อน ปรากฏว่าเสียงมันไม่ชัดอย่างแรงเลย
จากนั้นก็ได้ลองซื้อไมค์อีกตัว เป็นแบบติดกล้องที่ราคาประมาณ 500 บาท แล้วใช้วิธีถือไปพูดไป ก็ถือว่าเสียงดีขึ้นระดับนึง
หลังจากได้ไมค์มาแล้ว ลองอัดไปหลายตอนแล้วก็พบว่า เสียงมันก้อง หรือบางทีก็มีเสียงจากข้างนอกเข้าไปบ้าง นกร้องบ้าง เสียงจากรถมอเตอร์ไซด์บ้าง
สุดท้าย.... ไปจบที่ อัดในรถยนต์ครับ 5555
พูดแล้วก็ตลกตัวเองมากเลย คือถามว่ามันดีที่สุดไหม ก็ไม่ ร้อนก็ร้อน มือนึงถือไมค์ อีกมือถือ script ส่วนโทรศัพท์มือถือที่ใช้อัดเสีย ก็ติดแม่เหล็กเอา
ส่วนเสียงที่อัด ก็ถือว่าพอใช้ในระดับนึง แต่จะให้ดีกว่านี้ก็ลำบาก เพราะปัจจุบันก็ใช้ช่วงเวลาพักกลางวันระหว่างงานที่หละครับในการอัดเสียง ไม่สามารถหาที่ที่อัดได้จริงจังมากกว่านี้ ถึงมีก็ไม่สะดวกเรื่องเวลา
ปัญหาถัดมาก็คือ ..... ไม่มีคนฟังครับ 555 อันนี้ปัญหาใหญ่เลย
อันนี้พีคมาก ทำไปได้สัก 3-5 ep แล้วไม่มีคนฟังเลย ก็เลยคิดจะเลิกแล้ว หมดกำลังใจทำ
แถมถ้าจะทำต่อยาวๆ ต้องสมัครรายปีของ app podcast อีก ปีละ 4,000-5,000 บาท เลยทีเดียว (แต่ตอนหลังก็สมัครนะครับ คิดซะว่าเหมือนไปลงเรียนวิชาการฝึกพูด วิชาสร้าง content ด้วยเงิน 5,000 ก็พอรับได้)
สุดท้าย หลังจากมานั่งฟังเสียง ฟังเนื้อหาอีกหลายๆรอบ ก็คิดแบบเข้าข้างตัวเองว่า เอ้ย มันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า แต่กลุ่มผู้ฟัง podcast ของเรามันน่าจะเฉพาะเจาะจงมากๆเลย แค่กลุ่มคนชอบหรืออยากอ่านหนังสือ
แล้ว "คนชอบอ่านหนังสือ" เขาไปรวมกลุ่มกันที่ไหนกันบ้าง ผมก็นั่งคุยกับตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วก็มาคิดได้ว่า ใน Facebook มันน่าจะมีนะ "กลุ่มคนอ่านหนังสือ" ผมก็เลยไม่รอช้า search ซิครับ แล้วก็เจอจริงๆ เจอหลายกลุ่มด้วย
จากนั้นก็มาถึงปฏิบัติการ กดขอเข้ากลุ่มรัวๆ พอเข้ากลุ่มไปได้ก็ไม่รอช้า ใช้วิธีโพสลิ้ง แล้วก็เขียนคำโปรยสักหน่อย แนะนำเนื้อหาของหนังสือที่จะเล่า
บางกลุ่ม ผมก็โดนเตะออกมา เพราะไม่ตรงกับกฏเกณฑ์ของกลุ่ม อันนี้เข้าใจได้ครับ ผิดที่ผมเอง
แต่ก็มีบางกลุ่ม เช่น Bookoins ของ อ.นพดล ที่ตอบรับดีมากๆ แถมตัว อาจารย์ก็ยังกรุณามา reply บ่อยๆ ทำให้เริ่มมีคนมาฟัง พอมีคนฟัง ก็มีกำลังใจที่จะทำต่อ
แล้วผมก็เริ่มค้นหาแนวทางที่ตัวเองถนัด และที่คนฟังน่าจะชอบ
เพราะใครๆก็น่าจะอ่านหนังสือได้ ใครๆก็น่าจะสรุปหนังสือได้
แล้วอะไรหละ ที่จะทำให้คนอื่นมาเลียนแบบเราไม่ได้.........
นี่ก็เพื่อนช่วยทำให้เหมือนกันครับ
หลังจากอ่านหนังสือมา สะสมความรู้มาได้ถึงจุดนึง มันก็มีข้อดีคือ เราจะมีข้อมูลมาก และมีประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านหนังสือ แล้วเอาไปลองทำดู ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง การเข้าใจตัวเอง การนอนหลับ สุขภาพ การกิน หรือแม้แต่เรื่องของความสัมพันธ์ และการเลี้ยงลูกด้วย
ผมจึงทดลอง(อีกแล้ว) โดยใส่ความเห็นส่วนตัวเข้าไปบ้าง ประมาณว่าเนื้อหาจากหนังสือ 70 ประสบการณืส่วนตัว 30
และเลือกบางจุดในหนังสือที่เราชอบ แต่อาจจะไม่ใช่จุดที่หนังสือเน้น
คิดเอาเองว่า ถ้าคนฟังเรา ก็น่าจะมีคนที่ชอบเหมือนๆกับเรานะ แบบว่าแนวเดียวกัน
รวมไปถึง พยายามอ่านให้หลากหลายแนวมากยิ่งขึ้น จนดูเหมือนมั่วไปหมด
แต่ก็ต้องบอกเลยว่า การจัด podcast มันได้ประโยชน์มากเลย
ไม่ว่าจะเป็นเหมือนการสัญญากับตัวเอง กับผู้ฟัง ว่าเราต้องอ่านหนังสือเพื่อเอาเนื้อหามาจัดรายการ
การได้ฝึกเรียบเรียง content
การเข้าใจพฤติกรรมของผู้ฟัง
การฝึกพูดไปด้วย ดู script ไปด้วย ทำให้ต้องอ่านล่วงหน้าและคิด ก่อนที่จะพูดออกไป
และทั้งหมด ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานประจำได้ด้วย !!
เหมือนคำที่ Steve Jobs เคยพูดไว้ "You can't connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever."
และหลังจากได้อ่านไปมาก มันก็ทำให้ skill การอ่านดีขึ้น แบบไม่รู้ตัว
สามารถอ่านได้เร็วขึ้น มีสมาธิดีขึ้น และเข้าใจเนื้อหายากๆได้ดีขึ้น เพราะเรามีข้อมูลในสมองมากกว่าแต่ก่อน
ยิ่งหนังสือพัฒนาตนเองนี่ หลังๆอ่านแล้วเริ่มรู้สึกว่าเนื้อหามันซ้ำๆกัน การทดลองที่ยกมาก็ซ้ำกันเสียเยอะ
อีกสิ่งที่ได้ค้นพบก็คือ ทฤษฏีการกระเด้งไปเรื่อยๆที่ผมอ่านเจอในหนังสือ "The Max Strategy" สามารถใช้ได้จริงๆ
ใครสนใจลองฟังได้นะครับ EP. 87-88
เราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต สิ่งที่เราทำจะสำเร็จหรือไม่ ตัวเลือกไหนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เราไม่รู้
แต่เราสามารถ "ลองทำ" ได้
ตัวผมเองก็ใช้วิธีลองไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการลง podcast ที่ไหนดี ผมก็เลยลงมันทุกที่เลย(ที่ฟรี) เพราะการลงไม่ยาก ที่ยากคือการอัดเสียงที่เราได้ทำไปแล้วต่างหาก
ผมไปอ่านเจอว่าใน youtube ก็มีคนฟัง podcast ด้วย ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อ แต่พอไปกดดูก็ปรากฏว่ามีคนฟังจริงๆ เยอะด้วย
ก็เลยเอา podcast ไปลงใน youtube บ้าง เปิดช่องขึ้นมา
การที่มาลงใน Blockdit ก็เหมือนกัน ต้องสารภาพว่าเมื่อนานมาแล้ว เคยเข้ามาเล่นอยู่พักนึง แต่ช่วงนั้นคนเขียนไม่มาก ก็เลยไม่ได้เข้าเลย
แต่อยู่มาวันนี้รู้ว่ามีการทำ feature ใหม่ เป็น podcast ตอนแรกผมก็ลังเล เพราะคิดว่า Blockdit เป็น platform เพื่อคนที่ชอบการ "อ่าน" แต่ podcast มันเป็นการ "ฟัง"
พอมาคิดอีกมุม ลองดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร
โชคดีที่มีคนสนใจเข้ามาติดตามฟังอยู่บ้าง ผมก็เลยลง podcast มาเรื่อยๆ
จนวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมี followers ถึง 3,400 คน ต้องขอบคุณทุกๆท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ตอนนี้ผมก็ยังคงทดลองต่อไป โดยหยิบเอา script ที่เคยจัด podcast ไปแล้ว มาเขียนลงเป็นบทความสรุปเนื้อหาหนังสือ คิดว่าอาจจะตรงกับกลุ่มผู้ใช้ Blockdit มากกว่า
บางส่วนของ script ในการจัด podcast
ลองมันทุกทาง แต่ก็ไม่รู้หรอกว่า ทางไหนจะถูกต้อง ทางไหนจะดีที่สุด
แต่ก็กะว่าจะลองดูครับ เพราะในหนังสือบอกไว้ว่า "การลองทำ ไม่เคยล้มเหลว"
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งนะครับที่เสียสละเวลาเข้ามา "ฟัง" และ "อ่าน" อ่านแล้วอ่านเล่า
มีข้อแนะนำ ติชม อะไร comment ได้เต็มที่เลยนะครับ
โฆษณา