18 มิ.ย. 2020 เวลา 13:20 • ธุรกิจ
ความแตกต่างระหว่าง “หุ้นสามัญ” VS “หุ้นกู้”
“หุ้นสามัญ” คือตราสารทุน ผู้ถือตราสารทุนหรือนักลงทุน “มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของร่วมในบริษัท” หรือที่เราได้ยินกันติดหู พูดกันติดปากว่า “เล่นหุ้น” ก็คือการ ซื้อหุ้นสามัญหรือตราสารทุน นั่นเองครับ
2
Cr.: thaibma
ผลตอบแทนที่ได้จะไม่แน่นอน โดยจะมีทั้งส่วนต่างราคาหุ้น (Capital gain) ซึ่งมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ทุกวัน (อาจจะกำไรหรือขาดทุนก็ได้) และมีเงินปันผล (Dividend Yield) ซึ่งไม่ได้ถูกกำหนดไว้แน่นอน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท
ความเสี่ยงหลักในการลงทุนหุ้นจะขึ้นอยู่กับความคาดหวัง หรือการประมาณการณ์ผลกำไรของบริษัทในอนาคตซึ่งจะสะท้อนจากราคาหุ้น หากผลประกอบการมีแนวโน้มที่ดีจะช่วยให้ราคาหุ้นมีแนวโน้มที่ดีตามไปด้วย รวมถึงเงินปันผลที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นด้วย หากเพื่อน ๆ ซื้อหุ้นโดยที่ไม่ดูแนวโน้มของผลประกอบการ จะถือว่าเสี่ยงสุด ๆ เลยหล่ะครับ
1
“หุ้นกู้” เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่ง ผู้ถือตราสารหนี้หรือนักลงทุน “มีสถานะเป็นเจ้าหนี้”
ผลตอบแทนที่ได้จะมีความสม่ำเสมอ และแน่นอนโดยอยู่ในรูปของดอกเบี้ย ตลอดอายุของตราสารหนี้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ ณ ตอนออก
Cr.: efinancethai
โดยความเสี่ยงหลักในการลงทุนหุ้นกู้ คือการผิดนัดชำระหนี้ หรือเลื่อนจ่ายหนี้เรา
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า บริษัทที่เราซื้อหุ้นกู้มีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระมากน้อยแค่ไหน เราก็ดูจาก อันดับเครดิตของผู้ออกตราสารหนี้ หรือ อันดับความน่าเชื่อถือของตราสาร นั่นเอง
ผู้ออกหุ้นกู้ อันดับ BBB- ขึ้นไป ถือว่าอยู่ในระดับน่าลงทุน
นอกจากนั้น การลงทุน 2 แบบ มีข้อแตกต่างกันดังนี้
1."สิทธิในการเรียกร้องชำระเงินคืน"
หากเกิดกรณีที่ผู้ออกตราสารล้มละลายหรือไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ “ผู้ถือตราสารหนี้” ซึ่งมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” จะมีสิทธิเรียกร้องความเสียหายได้ก่อน “ผู้ถือตราสารทุน”ที่มีสถานะเป็น “ผู้ถือหุ้น”ทำให้ผู้ถือตราสารหนี้มีโอกาสที่จะเรียกร้องเงินคืนได้ครบตามจำนวนมากกว่า
1
ขณะที่ผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ที่ได้รับชำระเงินทุนคืนเป็นลำดับสุดท้ายจึงมีความเสี่ยงที่จะได้เงินคืนไม่ครบ
2."อำนาจการออกเสียง หรือกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้น"
“ผู้ถือตราสารหนี้" ที่มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท จะไม่มีสิทธิออกเสียงใด ๆ ในการสนับสนุนหรือคัดค้านนโยบาย หรือวาระการประชุมของผู้ถือหุ้น
1
ขณะที่ “ผู้ถือหุ้น” ของบริษัทซึ่งจะมีส่วนได้ส่วนเสีย และสามารถร่วมออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อกำหนดนโยบายของบริษัทได้ตามสิทธิ หรือสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ และหากนักลงทุนมีสัดส่วนการถือหุ้นที่มากพอ ก็จะมีอำนาจเข้าแทรกแซงบริษัทนั้น ๆ ได้อีกด้วย
Cr.: thaibma
บทความต่อไป เราจะมาดูกันว่า การกู้เงินและเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารตอนนี้น่าจะถูกสุด ๆ แล้วทำไมบางบริษัทถึงออกหุ้นกู้ (บางบริษัทออกหุ้นกู้ถึง 8.5% ต่อปี) แทนที่จะกู้เงินจากธนาคาร
จบแล้วครับ ช่วยกดไลท์ แชร์ ติดตามเพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนบทความต่อไปด้วยนะครับ😊✌️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา