21 มิ.ย. 2020 เวลา 00:30 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น : จิ้งจอกผู้โดดเดี่ยวกับตาเฒ่าผู้เดี่ยวดาย (EP.3)
คืนต่อมาหลังจากที่คอข้าเริ่มทุเลาลง
ตาแก่ก็ได้ทีเรียกข้าให้มาส่องปล้องตาเหยี่ยวเพื่อดูอะไรบางอย่าง (จริงๆ แล้วข้าจำชื่อยาวๆ ที่ตาแก่บอกไว้ในตอนแรกไม่ได้) ภาพที่ข้าเห็นนั้นก็คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังใช้ผ้าห่มห่มตัวเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเอง ใบหน้าดูแดงเรื่อดุจผลมะเขือเทศ จามบ้างเป็นบางครั้ง
“เมื่อดูกระดาษที่กระจายหลายแผ่นบนโต๊ะของเขาแล้ว ข้าคิดว่าเขาเป็นนักเขียน” ชายแก่พูดขึ้นมา “และดูเหมือนว่าเขาไม่มีเงินพอที่จะพาตัวเองไปรักษาอาการป่วย และเขาก็พยายามฝืนใช้ไฟภายในกายของเขาเองเขียนต้นฉบับนั้นให้เสร็จแล้วจะนำไปเสนอเพื่อให้เงินกลับมา”
“เพราะนี่ก็เริ่มเข้าใกล้หน้าหนาวเข้าไปทุกที ลมหนาวในยามค่ำคืนก็เริ่มโหดร้ายขึ้น” ข้าแสดงความเห็น “เขาอาจป่วยด้วยเหตุนี้”
“และเขาก็ไส้แห้งเกินกว่าที่บ้านหลังน้อยของเขาจะมีเตาผิงเสียด้วยซ้ำ” ชายแก่หยิบไม้เท้าของเขาขึ้นมา “เอางี้สิ! คืนนี้ข้าวานเจ้าช่วยเอาอัญมณีเม็ดนี้ไปให้เขาหน่อยได้หรือไม่สหายข้า”
ตาเฒ่าเคยเล่าว่าไม้เท้านี้ นายกเทศมนตรีประจำเมืองได้เดินทางมามอบให้กับเขาถึงหน้าบ้าน เนื่องจากตาเฒ่านี่ปฏิเสธเสียงแข็งที่จะเดินทางเข้าไปรับภายในเมือง
ไม้เท้าถูกออกแบบมาให้ลักษณะคล้ายกิ่งไม้ที่กำลังเลื้อยขึ้นไปพันยึดอัญมณีเม็ดนั้นเอาไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าชาวเมืองต่างเห็นตาเฒ่านี่ไม่ต่างไปจากพ่อมดเมอร์ลินที่เข้ามาเสกความเจริญรุ่งเรื่องให้กับเมืองแห่งนี้
“ข้าไม่แน่ใจว่ามันคือถ้วยรางวัลหรือเข็มหมุดที่คอยตอกย้ำแผลในใจข้ากันแน่” ดวงตาของชายแก่เริ่มสลดอีกครั้ง “ความเจริญที่ถ่างรอยแยกแห่งความเหลือมล้ำให้ขยายกว้างขึ้น ซึ่งสี่คืนที่ผ่านมาเจ้าคงไปเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้ว”
ว่าแล้วตาแก่ก็จัดการงัดแงะเอาอัญมณีนั้นออกมา แล้วยื่นมันมาให้กับข้า “ช่วยนำมันไปส่งให้กับเขาหน่อยได้หรือไม่?
เครดิตภาพ : https://thai.alibaba.com/product-detail/oval-shape-synthetic-stone-unheated-blue-sapphire-russian-1964005231.html
“หากเจ้าตั้งใจแล้วมีหรือที่ข้าจะปฏิเสธเจ้าได้น่ะตาแก่” ข้าใช้ปากงับรับมันไว้ แม้จะมีม่านหมองแห่งความไม่เห็นด้วยคุกกรุ่นอยู่ในใจก็ตามที
ภารกิจในครั้งนี้ ข้ารู้สึกสบายตัวและเบาหวิวเป็นอย่างมาก นั้นก็เพราะข้าไม่ต้องเกร็งคอยกสูงอีกต่อไปแล้ว ข้ารีบมุ่งตรงไปยังบ้านของชายหนุ่มนักเขียนคนนั้น
แต่ข่าวร้ายคือเขายังไม่นอน ไฟในห้องยังสว่างไสวอยู่ พร้อมเสียงกระแอมและจามอยู่เป็นเนืองๆ
“ทั้งหนาวและปวดหัวเหลือเกิน” เสียงบ่นพรึมพรําดังเล็กลอดออกมาจากบ้านชายนักเขียน “แล้วอย่างนี้ข้าจะเขียนบทละครนี่เสร็จได้อย่างไรกัน”
ข้าได้ยินเสียงเดินของเขาค่อยๆ หายลับไปทางด้านหลังของตัวบ้าน ข้าลองยืดคอเข้าไปดูปรากฏว่าเขาได้หายวับไปแล้ว ข้าจึงฉวยโอกาสนี้รีบวางอัญมณีเอาไว้บนโต๊ะของเขาทันที และรีบกระโดดออกมาวิ่งลัดเลาะไปตามซอยมืดเปลี่ยวเพื่อกลับไปยังบ้านของตาแก่นั่น แต่คืนนี้ตาแก่กลับชิงเข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียก่อน
ข้าจำต้องเดินกลับไปยังที่ๆ ของข้าในป่า ในหัวข้านึกคิดไปเรื่อยว่าที่ผ่านมานั้นตาแก่พูดถึงแต่เรื่องของชนชั้นของมนุษย์มาโดยตลอด สำหรับสรรพสัตว์เองก็มีการจัดลำดับชั้นอยู่เหมือนกัน โดยอิงจากความเป็นนักล่าและศัตรูตามธรรมชาติของสัตว์แต่ละตัว
เครดิตภาพ : https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68140/-blo-scibio-sci-
หากถามข้าในตอนนี้ว่าสิ่งมีชีวิตใดอยู่ชั้นสูงสุดในนามของนักล่า ข้าตอบได้ทันทีว่าคือมนุษย์ เพราะแม่ข้าเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน ณ ป่าแห่งนี้มีม้ามหัศจรรย์ที่ผสมลวดลายระหว่างม้าลายกับม้ากันได้อย่างลงตัว (ม้าสายพันธุ์ควากกา) และจุดขายของมันดันไปแตะตามนุษย์เข้าให้ เหล่านายพรานจึงออกล่าและสังหารเพื่อเอาแค่เนื้อและหนังไปประดับบารมี
พวกเขามีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย จนเจ้าป่าต้องเรียกประชุมกับสัตว์นักล่าสายพันธุ์อื่นๆ เพื่อตกลงกันว่าจะไม่ล่าควากกาจนกว่าพวกเขาจะขยายเผ่าพันธุ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ แต่ด้วยความบ้าคลั่งของมนุษย์ทำให้ควากกาตัวสุดท้ายถูกพรากไปจากป่าของเราตลอดกาล
มีบันทึกว่า 'ควากกา (Quagga)' ตัวสุดท้ายในธรรมชาติถูกยิงตายในปี 1878 และถูกบันทึกให้เป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปจากโลกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ.1883 หลังจากควากกาตัวสุดท้ายที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์อัมสเตอร์ดัมได้เสียชีวิตลง : เครดิตภาพ https://www.britannica.com/animal/quagga
และด้วยสติปัญญาที่มีจำกัดเพียงน้อยนิดของข้า ข้าตอบได้ว่าคงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดบนโลกนี้ที่มีพลังอำนาจล้างเผ่าพันธุ์หนึ่งออกจากสารบบธรรมชาติได้เท่ากับมนุษย์อีกแล้ว
ว่าแล้วข้าก็นึกเสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสถามตาแก่นั่นว่า ‘แล้วมนุษย์ล่ะ จัดพวกเราอยู่ในชนชั้นใดในสารบบของพวกเขากันแน่?’
แต่ใจข้ากลับร้องเตือนว่าไม่ควรถามคำถามนี้ออกไป เพื่อเป็นรักษามิตรภาพและบรรยากาศที่ดีระหว่างเราทั้งคู่เอาไว้ ข้าจึงเริ่มไม่แน่ใจว่าควรถามไปดีหรือไม่?
ข้าครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน
เม็ดปุยสีขาวเริ่มถูกฟากฟ้าโปรยลงมา อันเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่าได้เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว อากาศที่หนาวสะเทือนทรวงบังเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีสายลมพัดมากระทบร่างประหนึ่งถูกเข็มหมุดทิ่มแทง
นี่เป็นคืนที่เท่าไรแล้วที่ชายแก่ไม่ได้พบกับสหายสี่ขาตัวน้อยของเขา ความกังวลใจเริ่มจับกุมจิตใจที่หวั่นวิตกเสมือนหยาดน้ำค้างแข็งที่เกาะตามใบไม้และใบหญ้า
“เจ้าหายไปไหนของเจ้านะ?” ชายแก่เริ่มรำพึงคิดถึง
ภาพที่ชายแก่เห็นสหายของเขาครั้งสุดท้าย คือวินาทีที่มันวิ่งหายลับไปตรงประตูหน้ากระท่อมเพื่อเอาอัญมณีไปให้หนุ่มนักเขียนนั้น
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ชายแก่รู้สึกว่าความโดดเดี่ยวเริ่มหันมาประกาศเป็นศัตรูกับเขาชัดเจนและแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้น ทำเอาชายแก่ต้องเดินกะหยอกกะแหยกไปเปิดประตู แล้วพบว่ามีชายหนุ่มที่คุ้นหน้าคุ้นตาเขาเสียเหลือเกินยืนอยู่...ใช่แล้วนักเขียนหนุ่มคนนั่นนั้นเอง
“อัญมณีอะไรหรือ?” ชายแก่ทำไขสือ
“ข้าตามสืบค้นข้อมูลจนรู้ว่าอัญมณีนี้เป็นของใคร” ชายหนุ่มเริ่มสาธยาย “อัญมณีถูกเจียระไนมาด้วยความประณีตเป็นพิเศษเพื่อมอบมันให้กับท่าน ผู้ที่ชักนำความเจริญมาให้กับเมืองของเรา”
“บ้าจริง! ท่านนายกเทศมนตรีไม่ได้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับตามคำขอร้องของข้าหรือเนี่ย?” ชายแก่เริ่มหงุดหงิด
“ว่าแต่ท่าน...ขาของท่าน” ชายหนุ่มเพ่งมองไปที่ไม้เท้า “มีอะไรที่พอให้ข้าช่วยได้ ได้โปรดบอกข้าได้ไม่ต้องเกรงใจ”
“งานเขียนของเจ้าถึงไหนแล้วล่ะ?”
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มที่ดูจะภาคภูมิใจออกมา “มันเกินกว่าที่ข้าหวังไว้ ข้านำไปเสนอแล้วปรากฏว่าพวกเขาขอซื้อเพื่อนำไปแสดงละครเวทีทันทีเลยครับ และมันเป็นที่ถูกใจกับผู้ชมมาก”
“ว้าว! ข้าขออ่านมันหน่อยได้หรือไม่?”
เครดิตภาพ : https://www.kingwriters.co.uk/top-10-careers-writer-adopt/
“ข้าคัดต้นฉบับเก็บไว้อีกชุดหนึ่ง เดี๋ยววันหลังข้าจะแวะนำมาให้ท่านนะครับ” หัวคิ้วของชายหนุ่มเริ่มขมวดติดกัน “ว่าแต่...ท่านนำเพชรไปให้กับข้าได้อย่างไรกัน?”
ชายแก่เล่ามันเสียหมดเปลือก ทั้งเรื่องการแจกจ่ายผ้าและสหายจิ้งจอกตัวน้อย แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำว่าจิ้งจอก
อะไรหรือพ่อหนุ่ม? เจ้ามีอะไรอยากจะบอกข้าไหม?” ตาของชายแก่จับสีหน้าส่อพิรุธได้ราวกับตาเหยี่ยว
“เออ...” ชายหนุ่มมีอาการพะอืดพะอมอย่างชัดเจน เริ่มสั่นขาและถูมือทั้งสองข้างไปมา ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะอากาศหนาวแน่นอน “ช่วงที่ผ่านมามีเสียงเล่าลือกันต่อๆ มาว่า พวกเขาพบเห็นจิ้งจอกตัวหนึ่งชอบเข้ามาเพ่นพ่านแถวบริเวณหมู่บ้าน พวกเขาทั้งประหลาดใจและก็ตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของสุนัขจิ้งจอก และพวกเขาก็ได้ข่าวกันมาว่าขนและหนังของจิ้งจอกกำลังเป็นที่ต้องการของเหล่าชนชั้นสูงและราคาซื้อขายมันงามมากๆ” ชายหนุ่มพยายามจะเค้นคำพูดสุดท้ายออกมา “พวกเขาจึง...ออกไปล่ามัน”
“ว่าไงนะ!!!” ชายแก่คำรามเสียงดังกัมปนาท ลุกพรวดพราดขึ้นมาด้วยความลืมตัวจนเซถลาเกือบจะล้มไปข้างหน้า ซึ่งยังดีที่ชายหนุ่มพุ่งเข้ามาช่วยพยุงไว้ได้ทัน “โฮ! เป็นเพราะข้าหรือไม่ที่ชักนำฝูงนักล่าผู้ไม่รู้จักอิ่มไปหาเขา”
“สงบใจไว้ก่อนครับท่านผู้เฒ่า” ชายหนุ่มพยายามปลอบประโลมอย่างเต็มความสามารถ “บางทีสหายของท่านอาจจะยังสุขสบายดีอยู่ก็ได้นะครับ”
“แต่ข้าไม่พบเห็นมันมาหลายคืนแล้วนะ”
ราวกับถูกผ้ายัดเข้าที่ปาก ชายหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปสักพักใหญ่ๆ
ชายแก่เริ่มฟูมฟายและกล่าวโทษตัวเอง กล่าวโทษโชคชะตา และว่าร้ายเหล่าผู้คนที่มีใจอำมหิต โดยมีชายหนุ่มคอยปลอบประโลมอยู่ไม่ห่าง
ชายหนุ่มอยู่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ชายเฒ่าจนถึงบ่ายแก่ๆ และเขาจำต้องขอตัวกลับก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้า เพื่อขากลับจะได้ไม่ต้องพบเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้ายมากไปกว่านี้ โดยสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมเยียนเป็นเพื่อนร่วมสนทนาเรื่อยๆ
ชายแก่ตอบรับความปรารถนาดีของชายหนุ่มนั้นไว้
หน้าหนาวนี้ช่างโหดร้ายสำหรับคนแก่อย่างเขาเหลือเกิน ความเดี่ยวดายเริ่มกัดกินเขาด้วยการวาดภาพสหายสี่ขาขึ้นมาในความทรงจำ
ไออุ่นของดวงอาทิตย์เริ่มออกฤทธิ์เปร่งพลานุภาพมากขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ เสียงนกที่เริ่มอพยพกลับมานั่นต่างส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดุจการขับร้องประสานเสียงอันแสนไพเราะ แต่น่าเสียดายที่มันไม่เพียงพอที่จะมอบความอบอุ่นกลับเข้ามาในใจของชายแก่ได้เลย
เขายังคงไม่สามารถสลัดความอาวรณ์ที่มีต่อสหายสี่ขาออกไปจากใจของเขาได้ ราวกับว่ามันได้ถูกสลักลงไปภายในใจของเขาโดยไม่มีวันลืมเลือนไปเสียแล้ว
การมาเยี่ยมเยือนของชายหนุ่มทำได้แค่เยียวจิตใจของเขาได้เป็นพักๆ เสมือนยาบรรเทาแก้ปวด
ชายแก่ได้ยินเสียงขูดประตูดังแกรกๆ พ่อหนุ่มนั้นคงอยากจะลองอะไรใหม่ๆ เผื่อทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นกระมั้ง?
ชายแก่เปิดประตูผัวะออกไป เขาถึงกับยืนค้างอยู่หน้าประตู ริมฝีปากสั่นระริกราวกับจะพยายามเค้นคำพูดอะไรบางอย่างออกไป
“ไงตาแก่สบายดีไหม?”
เสียงที่ชายแก่ถวิลหาและเฝ้าคิดถึงมาโดยตลอด ดังออกมาจากปากเจ้าสี่ขาขนสีน้ำตาลแดง ว่าแล้วมันพุ่งพรวนเข้าไปในบ้าน จมูกแหลมยาวขยับขมุบขมิบ หูใหญ่ชี้ตั้งหมุนไปมา
“ข้าถามว่าสบายดีไหม หูเจ้าไม่ได้ยินเสียแล้วเหรอตาแก่”
“จ..จ...เจ้า” ชายแก่พูดตะกุกตะกัก เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความดีใจ “เจ้าหายไปไหนมา ทำไมถึงไม่ยอมมาหาข้าบ้าง”
“อ๋อ...ช่วงหน้าหนาวข้าจะอพยพขึ้นไปป่าเขตร้อนทางตอนเหนือน่ะ เพราะที่นี่อาหารมันจะเริ่มหายากขึ้น” จิ้งจอกตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยผิดคาด “มันฉุกละหุกจนไม่มีเวลากลับมาบอกเจ้าน่ะ”
ชายแก่เริ่มปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่เขินอาย และมันไหลลงเปื้อนรอยยิ้มบนใบหน้า
หูเจ้าจิ้งจอกลู่ลงและเอียงคอเหมือนคนขี้สงสัย “ฝุ่นเข้าตาเหรอตาแก่ ถึงได้น้ำตาไหลพรากแบบนั้น”
ไอ้หมาบ้าเอ๊ย!!!
เครดิตภาพ : https://www.thaiticketmajor.com/variety/travel/6469/
*** [ จบบริบูรณ์] ***
เรื่องสั้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก
1. เรื่องสั้น 'นกไนเติงเกลกับดอกกุหลาบ' และ 'เจ้าชายผู้มีความสุข' ของออสการ์ ไวลด์
2. เสือดำจากคดีเปรมชัย (เมื่อปี 2561) และแคมเปญฉลองไม่ (หู) ฉลาม ของ WildAid Thailand
3. ความเชื่อของ 'อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์' ที่เชื่อว่า "โลกจะอยู่ร่วมกันโดยปกติสุขได้ หากอิสรภาพได้วางอยู่บนพื้นฐานที่เห็นค่าและความหมายของคนรอบข้าง" จากหนังสือมนุษยชาติอันเป็นที่รัก เขียนโดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และแปลโดย วิจักขณา
เครดิตข้อมูล 'ควากกา (Quagga)' : https://ngthai.com/animals/15271/fantastic-extinction-beast/

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา