26 มิ.ย. 2020 เวลา 09:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ทำไมมนุษย์จึงชอบดราม่า ?
1
(หมายเหตุ: เนื้อหาย่อและเรียบเรียงใหม่จากหนังสือ 500 ล้านปีของความรัก เล่ม 2 นะครับ)
สงสัยไหมครับว่าทำไมดราม่าต่างๆในโลกออนไลน์จึงน่าสนใจ ?
ทำไมเหตุการณ์ที่เหมือจะมีคนทำอะไรผิด มีการทะเลาะกัน มีการทำร้ายกัน จึงเป็นเรื่องน่าสนใจ?
หลายท่านอาจจะยังสงสัยว่ามันน่าแปลกยังไง เพราะคำตอบมันชัดๆอยู่แล้วคือ เพราะดราม่าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นดราม่าในข่าวหรือดราม่าโลกออนไลน์ มันสนุก ก็แค่นั้นเอง
แต่นั่นแหละครับคือความแปลก
เพราะดราม่าทั้งหลาย ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา ไม่มีผลอะไรกับเราโดยตรง
เรื่องราวของคนที่อยู่ในดราม่าเราก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว
แล้วที่ยิ่งน่าสนใจไปกว่านั้นคือ แม้แต่ดราม่าที่เป็นเหตุการณ์สมมติอย่าง นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ทั้งหลาย เราก็ยังชอบทั้งๆที่เรารู้ว่าสิ่งที่กำลังดูหรืออ่านเป็นเรื่องแต่ง นักแสดงไม่ได้ทุกข์ทรมาน ตัวละครไม่ได้อกหักจริงๆ แต่เราก็ยังอดมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังหรือตัวละครไม่ได้
เรารู้สึกเศร้า แค้น หน้าแดงจิกหมอน ไปกับเรื่องที่รู้ว่า เป็นของปลอมเหล่านั้น
คำถามคือ ทำไมสมองมนุษย์จึงวิวัฒนาการมาให้ชอบเรื่องราวเช่นนี้ ?
ทำไมสมองของมนุษย์จึงมองว่าเรื่องเหล่านี้สนุก หรือน่าสนใจ ?
ในทางตรงกันข้าม เราไม่ค่อยเห็นว่าสัตว์อื่น อย่างกวาง ม้าลาย มด จะสนใจดราม่าที่เกิดขึ้นภายในฝูงมากนัก ใครทิ้งใคร ใครมีชู้กับใคร ใครทิ้งลูก หรือกระทั่งกวางตัวนึงถูกสิงโตขย้ำกินไปต่อหน้าต่อตา กวางตัวอื่นๆก็ยืนเล็มกินหญ้าอยู่ใกล้ๆได้ โดยไม่หันไปมองหรือสนใจมากนัก
ทำไมสัตว์อื่นๆจึงไม่สนใจดราม่าของสมาชิกภายในฝูง ?
ทำไมสัตว์อื่นๆไม่มีพฤติกรรมแบบไทยมุง ?
พฤติกรรมที่ชอบดราม่าในสังคม มันวิวัฒนาการมาในมนุษย์เพื่ออะไร ?
และที่แปลกกว่านี้คือ
ดราม่าที่สนุก น่าสนใจ ส่วนใหญ่มักจะต้องเป็นเรื่องคาวๆฉาวๆ ต้องเป็นเรื่องไม่ดี หรือเป็นเรื่องเทาๆให้คนเข้าไปเถียงกัน
เช่นเดียวกัน ละคร หรือ ภาพยนตร์ที่สนุกส่วนใหญ่ต้องมีเรื่องราวที่ทำให้โกรธ สะเทือนอารมณ์ กลัว โกรธ ขึ้นมาก่อน
ยิ่งละครหรือภาพยนต์เรื่องไหน ที่กระตุ้นอารมณ์ทางลบได้มาก เราจะยิ่งรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันเข้มขัน
ความแปลกคือ ในชีวิตจริงเราต้องการแต่เรื่องราวดีๆ เราอยากหัวเราะ มีรอยยิ้ม มีความรัก มีความสุข สุขภาพดี ไม่มีใครอยากที่จะโดนแฟนทิ้ง แม่ผัวเกลียด พ่อเป็นมะเร็ง บ้านที่อาศัยอยู่มีผีสิง
1
แต่หนัง ละคร นิยายหรือข่าวจะสนุก น่าติดตาม สะเทือนขวัญ ต้องมี ดราม่า ด่ากัน ตบกัน เกลียดกัน หักหลังกัน หรือโหดร้ายทารุณ
หนังหรือละครเรื่องไหนที่เริ่มเรื่องมา นางเอกเกิดมารวย สวย จบการศึกษาสูง พบรักกับพระเอก พ่อแม่สามีรัก สามีไม่นอกใจ ลูกน่ารัก ทุกคนดีต่อนางเอง ไม่มีใครเป็นนางร้าย ไม่มีใครอิจฉาใคร แล้วเรื่องก็จบลงอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง ..... ไม่มีใครชอบละครแบบนี้
คำอธิบายว่าทำไมเราชอบฟังเรื่องเล่า อ่านนิยาย หรือชอบดราม่านั้น มีหลายสมมติฐานด้วยกัน
แต่สมมติฐานที่ดูเหมือนจะได้รับการยอมรับที่สุดในปัจจุบัน อธิบายไว้ว่าอย่างนี้ครับ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สมองของเราจึงต้องวิวัฒนาการมาเพื่อรับมือกับความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นในสังคม
การอยู่ร่วมเป็นสังคมในยุคหินมีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกันระวังภัย ช่วยกันหาอาหาร ช่วยกันดูแลลูกๆในเผ่า
แต่การอยู่เป็นสังคมก็มีข้อเสียหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเอาเปรียบ หักหลัง ทำร้ายร่างกาย ขโมยของ ขโมยคู่ครอง และอื่นๆที่ทุกวันนี้เราเรียกรวมๆกันว่า “ดราม่า”
นอกไปจากนี้ชีวิตในโลกยุคหินมีความตายซ่อนอยู่ทั่วทุกแห่ง การออกจากเผ่า (หรือถ้ำ) ไปหาอาหารแต่ละครั้งเราไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาบ้านอีกครั้งหรือไม่
มนุษย์เราก็ไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆคือ มีโอกาสตายได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะตายจากเสือ สิงโต จรเข้ งูพิษ เหยี่ยว ไข้ป่า เห็ดพิษหรือ ผลไม้หน้าตาแปลกๆที่ไม่เคยกินมาก่อน ความตายจึงเป็นของที่ใกล้ตัวมากๆที่มนุษย์ต้องเผชิญในเกือบทุกวันที่ออกไปทำงาน (หาอาหาร)
สมองของคนเราก็เหมือนกล้ามเนื้อ ส่วนไหนใช้งานมากก็แข็งแรง ส่วนไหนไม่ค่อยได้ใช้งานก็ลีบไป
เมื่ออารมณ์ด้านลบอย่างความกลัว ความโกรธ ความเศร้า เกลียด ฯลฯ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราหาทางหนีจากสถานการณ์ที่ไม่ดีทั้งหลาย เช่น ความกลัวทำให้เราอยากหนีจากอันตราย ความโกรธทำให้เราพร้อมที่จะต่อสู้ ความเศร้าทำให้เราอยากแก้ไข้สถานการณ์ที่น่าเศร้านั้น(มักเป็นจากการบาดเจ็บทางความสัมพันธ์) ความเกลียดทำให้เราอยากเลี่ยงจากคนที่ทำให้เราเกลียด (ซึ่งอาจจะมีอันตรายทางสังคมต่อเรา)
1
การฝึกรับมือและตอบสนองต่ออารมณ์ด้านลบจึงเป็นทักษะสำคัญในการมีชีวิตรอดในสังคมแบบยุคหิน สมองเราจึงวิวัฒนาการมาชอบรับรู้เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตจริงเหล่านี้
โลกของละคร หนังหรือนิยายจึงเป็นโลกเสมือนให้เราได้ฝึกที่จะเผชิญกับสิ่งที่เราไม่อยากเจอ
ให้เราได้ลองเผชิญกับความกลัว ความเสียใจ หรือปัญหาชีวิต
แม้แต่ในโลกยุคหินก่อนที่จะมีละคร นิยายหรือภาพยนตร์ เรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากการนินทาเรื่องราวของคนอื่นๆในเผ่าหรือในสังคม
หรือจะพูดว่าดราม่าทำหน้าที่เป็นเหมือน เครื่องฝึกบินจำลอง ให้สมองได้ฝึกซ้อมไว้ก่อนที่จะเจอเหตุการณ์จริง
เราได้ทดลองกลัวโดยไม่ต้องเสี่ยงตายจริงๆ เราได้ลองเสียใจโดยไม่ต้องมีใครตายจากไปจริงๆ
และไม่เพียงเราได้ลองมีอารมณ์ที่เราไม่ต้องการเท่านั้น
แต่เรายัง "ต้องการ" หรือ "ชอบ" จะเผชิญอารมณ์ที่ไม่ต้องการ (ในชีวิตจริง) เหล่านั้น ผ่านดราม่าและละคร
ถ้าสังเกตต่ออีกนิดจะเห็นว่าแนวคิดนี้ก็ไม่ต่างจากคำอธิบายว่า ทำไมเด็กจึงชอบเล่น?
ธรรมชาติให้สัญชาตญานการเล่นมากับเด็ก (รวมถึงลูกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น)
เพราะการเล่นเป็นการฝึกทักษะที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอด (ในชีวิตยุคหิน)
ลูกเสือชอบวิ่งไล่กัน ฟัดกัน กัดกัน
ลูกแมวชอบไล่ตะปบอะไรที่วิ่งไปมาหรือแกว่งไปมา
ลูกกวางชอบวิ่งเร่งความเร็วไปจนเต็มที่แล้วก็หักเลี้ยวซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว
เพราะทักษะเหล่านี้จำเป็นสำหรับการอยู่รอดเมื่อเติบโตไป (ฝึกสมองที่ควบคุมการตอบสนองของตาและเท้า)
เด็กผู้ชายชอบแกะรอย เข้าป่า เล่นต่อสู้ เพราะทักษะเหล่านี้จำเป็นในยุคหิน
เด็กผู้หญิงเล่นตุ๊กตา เล่นทำอาหาร เก็บดอกไม้ เพราะทักษะเหล่านี้จำเป็นสำหรับผู้หญิงยุคหิน
เช่นเดียวกัน
เราชอบรับรู้ดราม่าที่เร้าอารมณ์ต่างๆของมนุษย์
เพราะมันช่วยให้สมองเรารับมือกับดราม่าที่อาจจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ความต้องการเสพดราม่านี้เป็นกลไกดึกดำบรรพ์ของสมองที่วิวัฒนาการมาให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมแบบยุคหิน ซึ่งเรียบง่ายกว่าปัจจุบัน คนน้อยกว่าสังคมปัจจุบัน วันๆจึงมีดราม่าให้เสพไม่มากนัก
แต่เมื่อกลไกดึกดำบรรพ์นี้ต้องมาทำงานในโลกที่เต็มไปด้วย นิยาย ละคร Netflix หรือโซเชียลมีเดีย กลไกสมองที่ทำให้ชอบดราม่าจึงถูกกระตุ้นให้ทำงานหนัก ไม่ต่างไปจากที่ทุกวันนี้เรามีของหวานให้กินมากเกินความพอดีของร่างกาย
ด้วยเหตุนี้ถ้าเราไม่ระวัง
เราก็อาจจะเสพดราม่ามากจนเกินไปได้เหมือนกันครับ
ถ้าไม่อยากพลาดเรื่องที่ผมจะโพสต์จะแอดไลน์ Line ไว้เลยก็ได้ครับ
เมื่อผมเขียนบทความ ทำpodcast หรือคลิปวีดีโอ ที่ไหนจะไลน์ไปแจ้งเตือนให้ครับ
คลิกที่นี่เลยครับ https://lin.ee/3ZtoH06 หรือ
add line ID:@Chatchapol
(ปิดท้ายด้วยโฆษณา)
ถ้าชอบวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายหรือจิตวิทยาแบบนี้
แนะนำอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Best seller เรื่องเล่าจากร่างกายและ 500 ล้านปีของความรัก
อ่านบทความแนวประวัติศาสตร์ได้ที่
คลิปวีดีโอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
โฆษณา