3 ก.ค. 2020 เวลา 03:33 • การเมือง
พลันที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ออกมาคาดหมาย “การปรับครม.ยังอีกนาน” การเมืองก็เพิ่ม “ปม” ขึ้นมาอีกปมนอกเหนือจากการคงอยู่ของพรก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ไม่ว่าการยืดเวลา "ปรับครม." ไม่ว่าการยืดเวลายกเลิกพรก. "ฉุก เฉิน" ดำเนินไปอย่างที่เรียกว่า "ทวิลักษณะ"
มองด้านหนึ่งเหมือนกับจะเป็น "ผลดี"
เป็นผลดีเพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงรักษาสถานะเดิมของตนเอาไว้ ไม่ว่าจะมองผ่าน "ครม." ไม่ว่าจะมองผ่าน เครื่องมือพรก. "ฉุกเฉิน"
เท่ากับเป็นการชะลอความขัดแย้งทั้งในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเรียกร้องต้องการจากพรรคต่ำสิบทั้งหลายที่อยู่ร่วมรัฐบาล
เหมือนกับการชะลอ FLASH MOB ภายใต้คำว่า "ฉุกเฉิน"
กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่าการชะลอประกาศภาวะ "ฉุกเฉิน" มีผลเสียกับการแก้ปัญหาในทางเศรษฐกิจ เพราะว่าหลายอย่างต้องถูกตรึงอยู่ในเงื่อนปมนี้
แม้จะมีความพยายามในการคลายและผ่อนปรน "ล็อก" เป็นลำดับก็ตาม
ขณะเดียวกัน ในทางเป็นจริงภาวะ "ฉุกเฉิน" อาจสามารถสกัดการเคลื่อนไหวอย่างที่ปรากฏตามมหาวิทยาลัยต่างๆในห้วงก่อนเกิด สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19
แต่ถามว่าสามารถสกัดขัดขวางมิให้มีการเคลื่อนไหวได้จริงละหรือ
นอกจากนั้น ต่อกรณีการยืดเวลาปรับครม.ให้เนิ่นยาวออกไปอีกจากเดือนกรกฎาคม ต่อเนื่องไปยังเดือนสิงหาคมหรือแม้กระทั่งเดือนตุลาคม
ในอีกด้านก็เท่ากับบ่มความขัดแย้งที่มีอยู่ "ภายใน" และ "ระหว่าง" พรรคร่วมรัฐบาลให้ดำรงคงอยู่
ดำรงคงอยู่ในลักษณะที่รอวันปะทุเกิดอาการ "ฝีแตก"
สภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเป็นสภาพอันเรียก ได้ตามสำนวนโบราณของไทยที่ว่า "ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก"
มิอาจขยับขับเคลื่อนอะไรได้ มีแต่เพียงการซื้อเวลา
เป็นการซื้อเวลาประกาศภาวะ "ฉุกเฉิน" เป็นการซื้อเวลาในการปรับ "ครม." โดยที่ยังไม่รู้ว่าตอนสุดท้ายของสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
โฆษณา