17 ก.ค. 2020 เวลา 00:00 • ธุรกิจ
Fintech คืออะไร? และทำไมบริษัทระดับโลกถึงอยากสร้าง Fintech ของตัวเองขึ้นมา?
ก่อนอื่นครับ เราต้องมาทำความเข้าใจของคำว่า Fintech ก่อน Fintech ย่อมาจาก Financial Technology หรือระบบการเงินที่ใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือ นั่นหมายถึงการจ่ายเงินด้วยการใช้ QR Code การไปซื้อกาแฟ Starbucks โดยใช้ Starbucks Card ที่อยู่ในมือถือ การโอนเงินผ่าน mobile banking ถือว่าเป็นรูปแบบของการใช้ Fintech หมด ยิ่งทุกวันนี้อย่าง การจ่ายเงินผ่าน Grab Wallet การซื้อเหรียญ Crytocurrency ผ่าน Bitkub.com ล้วนแล้วแต่เป็น Fintech หมดเลย หรือแม้กระทั่งว่าการบริจาคไปให้มูลนิธิอย่าง Change.org ก็ถือว่าเป็น Fintech อีกเหมือนกัน แล้วนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งบริษัท Fintech เหล่านี้พยายามที่จะมา disrupt การจ่ายเงินรูปแบบเก่าให้มีความสะดวก รวดเร็ว กว่าเดิม แล้วไม่ต้องผ่านคนกลางอย่าง ธนาคาร ซึ่งมีคนจำนวนถึงประมาณ 1.7 พันล้านคนที่ยังไม่มีบัญชีธนาคาร Fintech ก็สามารถตอบโจทย์พวกนี้ได้ครับ
Fintech สิ่งที่จะเข้ามา Disrupt การเงินในรูปแบบเก่า
ยกตัวอย่างประเทศอย่าง เคนย่า ที่เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา ในเคนย่า คนส่วนใหญ่ที่นั่นไม่มีบัญชีธนาคาร แต่เนื่องจากพวกเขามีมือถือ เขาเลยมีแอพพลิเคชั่นตัวนึงที่มีชื่อว่า M-Pesa (เอ็ม-เพซ่า แปลว่า โมบายมันนี่ ภาษาสวาฮิลี่) ซึ่งเป็นแอพที่สามารถขอเงินกู้ได้ ถอนเงินได้ และ จ่ายเงิน ซึ่งข้อดีของคนใช้ที่นั่นคือ ถ้าเขามีโทรศัพท์ธรรมดาที่ไม่ใช่สมาร์ทโฟน พวกเขาก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน เจ้าของ M. Pesa เอง คือบริษัทผู้ให้บริการมือถือยักษ์ใหญ่ของอังกฤษอย่าง Vodafone ซึ่งทุกวันนี้มีคนใช้ M-Pesa ในประเทศเคนย่าถึง 96% และด้วยเอ็มเพซ่านี้เองที่ทำให้คนออกจากความยากจนถึง 2% และยังช่วยลดอัตราความรุนแรงและอาชญกรรมได้ด้วยเพราะว่าเงินไปอยู่ในมือถือนี่เอง ด้วยความสำเร็จของ M-Pesa ทำให้ทุกวันนี้คนสามารถซื้อของผ่านแอพ Google Play ใน M-Pesa ได้ด้วย
ความสำเร็จของ M-Pesa กับในประเทศที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้สัมผัสกับสมาร์ทโฟน
อีกตัวอย่างนึงคือของประเทศจีนที่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ที่นั่นใช้กันอยู่ 2 เจ้าคือ Alipay กับ WeChatPay ซึ่งทุกวันนี้ถ้าคุณจะซื้อรถ คุณสามารถซื้อรถโดยใช้ Alipay ได้แล้ว? หรือถ้าคุณจะซื้อประกันจากบริษัทอย่างผิงอัน ก็สามารถซื้อผ่านมือถือได้แล้ว และเมืองจีนก็ไปไกลกว่านั้นมากแม้แต่คนที่เป็นขอทานทุกวันนี้ก็ขอเงินผ่านทาง QR Code ที่ห้อยคอพวกเขาได้แล้ว เรียกได้ว่า ไม่ต้องแบกขันไปขอทานแล้ว แค่มีรูปภาพของ QR Code ห้อยคอก็สามารถได้เงินได้แล้ว และนี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
WeChat Pay และ Alipay 2 แอพที่คนในเมืองจีนใช้กันอย่างกว้างขวาง
แล้วทำไมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ที่ทุกวันนี้ทำบัตรเครดิตของตัวเองขึ้นมา Facebook ที่สร้างสกุลเงิน Libra ของตัวเองขึ้นมา และ Google มีแผนที่จะมีบัญชีเงินฝากให้กับผู้ใช้บริการของพวกเขาในเร็ววันนี้ เพราะอะไรถึงบริษัทพวกนี้ถึงอยากทำอย่างนั้น คำตอบก็คือ ข้อมูลครับ หรือ data อย่างที่เราทราบกันดีทุกวันนี้เรามีการใช้คำอย่างคำว่า Big Data แพร่หลายกันมากขึ้นซึ่งถ้าลูกค้าของบริษัทเหล่านี้ใช้การจ่ายเงินผ่าน Apple Pay หรือ Libra พวกเราจะได้ข้อมูลอย่างมหาศาล เช่น คุณซื้ออะไรไป ซื้อที่ไหน ซื้อเท่าไหร่ และ ซื้อเมื่อไหร่ ซึ่งมันสามารถเอาข้อมูลเหล่านี้ไปขายโฆษณาได้มหาศาล และในเมื่อทุกวันนี้ที่เราเริ่มมีนิสัยโอนเงินผ่านโทรศัพท์ กดเงินโดยไม่ต้องใช้บัตรเดบิต บริษัทเหล่านี้จึงพยายามที่จะให้ลูกค้าของพวกเขาใช้ธุรกรรมทางการเงินผ่านทางแอพของพวกเขาด้วย
Partner ของ Libra ก่อนที่แต่หละคนจะเริ่มถอนตัวออกไป
อย่างเช่น Apple ที่ถ้าคุณสมัครบัตรเครดิต Apple แล้วไปซื้อผลิตภัณฑ์ Apple คุณก็จะได้เงินคืนทันทีเลย และไม่เก็บเงินค่าธรรมเนียมใดๆด้วย หรือตัว Libra ของ Facebook ที่จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการโอนเงินข้ามประเทศได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าการโอนเงินผ่านธนาคาร อีกอย่างนึงที่ Libra พยายามจะเป็นคือเป็นคล้ายๆ M-Pesa ที่ผมอธิบายเมื่อตอนต้น คือเป็น mobile banking ให้กับคนทุกคนทั่วโลกที่ยังไม่มีบัญชีธนาคารเป็นของตัวเอง ซึ่งคนจำนวนดังกล่าวก็มากถึงพันล้านคน แต่ปัญหาคือว่าตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกอย่าง Facebook Google Apple กำลังโดนตรวจสอบอย่างหนักในเรื่องที่ผูกขาดตลาด และ ทุกวันนี้บริษัทพวกนี้ที่คอยเก็บ cookies ของพวกเราก็คือข้อมูลส่วนตัว และดักฟังเรา จนเราเริ่มวิตกกังวลในเรื่องของความเป็นส่วนตัวของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งบริษัทเหล่านี้ในการสร้าง Fintech ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งยกตัวอย่างเรามีบัญชีธนาคารกับ Libra ของ Facebook แล้วพอเงินเดือนเราเข้าไปที่บัญชี Facebook สามารถรู้ได้ทันทีว่าเรามีเงินเดือนเท่าไหร่ และก็จะสามารถโฆษณาตามที่เงินเดือนที่เรามีอย่างถ้าเราเงินเดือน 30,000 ก็อาจจะโฆษณารถ eco-car ให้เรา แต่ถ้าเราเงินเดือน 100,000 ก็อาจจะโฆษณารถหรูๆพวกเบนซ์หรือบีเอ็มให้เราอีกทีนึง เรื่องนี้ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับพวกเราอยู่ดี
บัตรเครดิตของ Apple
คราวนี้กลับมาดูที่ไทยกันบ้าง บ้านเราเองก็มีการกำเนิดขึ้นมาของ Wallet ต่างๆเช่น True Money Wallet Grab Wallet และ Rabbit Line Pay ที่บริษัทเหล่านี้พยายามจะมี wallet ของตัวเองขึ้นมา และใช้ wallet อันนี้ในการใช้จ่ายในสถานที่ต่างๆ 2 บริษัทที่ดูจะทำได้ดีที่สุดในบรรดานี้ทั้งหมดก็คือ True Money Wallet และ Rabbit Line Pay เพราะพวกเขาเองมีคนที่เป็นผู้ให้บริการอยู่ค่อนข้างเยอะ อย่างถ้าคุณไป food court ที่ห้างต่างๆ คุณก็จะเห็นตัวสแกนบัตร Rabbit Line Pay อยู่ทุกจุด ซึ่งข้อดีของบัตรพวกนี้คือเงินยังไงก็อยู่ในบัญชีของพวกเขา และเงินก็ไม่ได้หายไปที่คู่แข่งของพวกเขา เพราะเงินมันอยู่ในแอพของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริษัทที่ให้บริการในรูปแบบ wallet และ มีคนฝากเงินเข้าไปในบัญชี wallet มากที่สุด คงหนีไม่พ้น Starbucks ที่ทุกวันนี้มีคนฝากเงินใน Starbucks มากถึง 38,500 ล้านบาท เรียกได้ว่าใหญ่พอๆกับธนาคารแห่งนึงเลยก็ว่าได้ และเงินก้อนนี้จะไม่สามารถหนีจากมือ Starbucks ไปได้อย่างแน่นอน ซึ่ง Starbucks เปิดตัวแอพนี้ตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งนี่แหละครับคือตัวอย่างของการใช้ Fintech อย่างประสบความสำเร็จ
True Money Wallet
ขอบคุณภาพจาก Brand Inside, Flashfly, HBS Digital Initiative, Medium, Moneyduck, และ Oaktree Group
โฆษณา