11 ก.ค. 2020 เวลา 03:30 • สุขภาพ
6 เดือนผ่านไป ทำไม 'โควิด-19' ยังไม่หยุดกัดกินโลก?
ทั่วโลกต่างเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ที่พุ่งทะยานรายวันไม่หยุด จนสถิติผู้ป่วยสะสมช่วงสัปดาห์นี้ทะลุ 200,000 รายแล้ว
6 เดือนผ่านไป ทำไม 'โควิด-19' ยังไม่หยุดกัดกินโลก? | กรุงเทพธุรกิจ
สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า สถิติผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้หลายประเทศจำต้องระงับแผนผ่อนคลายมาตรการจำกัดด้านการใช้ชีวิตของประชาชนและการทยอยเปิดภาคเศรษฐกิจไว้ก่อน และต้องกลับมาดำเนินมาตรการล็อคดาวน์อีกครั้งในหลายเมือง ตั้งแต่ทางยุโรปตะวันตกจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก
นอกจากนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐ ยังเผชิญกับจำนวนผู้ป่วยที่ล้นเกินรับอีกครั้ง ราวกับเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าจะเกิดการระบาดระลอกใหม่ที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นอีก
บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เกือบครึ่งปีแล้วนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคโควิด-19 แต่บางประเทศยังคงดิ้นรนหาหนทางลดจำนวนผู้ป่วยไวรัสขณะผลักดันนโยบายปลดล็อกก่อนเวลาอันสมควรไปพร้อมกัน
เมื่อทั่วโลกเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องร่วมมือกัน ปฏิบัติการเพื่อยุติการระบาดใหญ่อย่างถาวร เป็นวงกว้าง และอิงข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์
สถิติใหม่วันแล้ววันเล่า
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่า นับถึงวันพฤหัสบดี (9 ก.ค.) โรคโควิด-19 ใช้เวลาเพียง 10 วันเท่านั้นสำหรับการแพร่ระบาดสู่ผู้คนราว 12 ล้านชีวิตทั่วโลก ถือเป็นสถิติที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
สหรัฐเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคร้ายนี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยมีผู้ติดเชื้อกว่า 3 ล้านราย รองลงมาคือบราซิล ซึ่งมีผู้ป่วยเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของสหรัฐ
สหรัฐซึ่งประกอบด้วยรัฐทั้งหมด 50 แห่งเริ่มคลายมาตรการล็อคดาวน์บางส่วนในเดือน พ.ค. และกำลังเผชิญการกลับมาของผู้ป่วยใหม่ โดยมีรัฐฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย และเท็กซัสที่สร้างสถิติผู้ป่วยใหม่รายวันสูงสุดอีกครั้ง
ฟลอริดาทำสถิติผู้ป่วยรายวันทะลุ 10,000 รายจนดันยอดสะสมสูงกว่า 200,000 รายแล้ว ขณะที่โรงพยาบาลมากกว่า 40 แห่งในรัฐแห่งนี้เผยรับผู้ป่วยแผนกไอซียูจนเต็มขีดจำกัดแล้วเมื่อวันอังคาร (7 ก.ค.) หน่วยงานท้องถิ่นหลายแห่งถูกบังคับให้ปิดชายหาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ไม่ใส่หน้ากากและไม่รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเหมาะสม
สถานการณ์ที่ว่าน่าขนหัวลุกสักเพียงใด ก็อาจยังไม่เท่ากับการได้เห็นของจริง โดยช่วงปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ หรือ ซีดีซี (CDC) กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐมีแนวโน้มสูงกว่าที่มีการรายงานถึง 10 เท่า
เมื่อวันจันทร์ (6 ก.ค.) แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐ ออกมาเตือนว่า “มีสถานการณ์มากมายที่เกี่ยวข้องกับความพยายามในการเปิดรัฐและเมืองต่างๆ ในแง่ของการกลับสู่ภาวะปกติบางรูปแบบ ที่นำไปสู่การทำลายสถิติผู้ติดเชื้อครั้งใหม่ของสหรัฐ”
แม้จะถูกโจมตีเรื่องการจัดการกับการระบาดใหญ่ที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ แต่ทำเนียบขาวยังคงยืนกรานหนักแน่นว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากการทดสอบติดเชื้อที่มากขึ้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขหลายคนไม่ยอมรับคำกล่าวอ้างนี้
โพลิติโก สื่อของสหรัฐ ระบุในบทความแสดงความคิดเห็นเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า รัฐบาลวอชิงตันยังไม่เข้าใจความสำคัญของการทดสอบการติดเชื้อ จึงไม่อาจยุติการระบาดใหญ่ในช่วง 6 เดือนได้
“นักการเมืองที่กล่าวถึง ‘จำนวนผู้เข้ารับการทดสอบที่สูงขึ้น’ และ ‘อัตราการเสียชีวิตและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่ลดลง’ ว่าเป็นสัญญาณที่ดี ล้วนแต่พยายามบิดเบือนความเป็นจริง ปัญหาอยู่ที่ตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่การทดสอบที่เพิ่มขึ้น” โรเบิร์ต สคูลลีย์ ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ สาขาโรคติดเชื้อและสาธารณสุขทั่วโลก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว
โรเบิร์ต ลอว์เรนซ์ คุห์น ประธานมูลนิธิคุห์น ระบุว่า “เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลสหรัฐตอบโต้ช้าเกินไปและหน่วยงานรัฐไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะยับยั้งหายนะอันเกิดจากการระบาดใหญ่นี้”
สมดุลที่เปราะบาง
ยังมีหลายเมืองในประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐ ที่ตัดสินใจปลดล็อกก่อนเวลาอันควร และผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุม เช่นรัฐบาลในภูมิภาคทางตอนเหนือของสเปนที่จำต้องกลับมาบังคับใช้มาตรการจำกัดช่วงสุดสัปดาห์อีกครั้ง เพื่อยับยั้งการเกิดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ขณะที่รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ประกาศล็อคดาวน์ 6 สัปดาห์ในวันอังคาร (7 ก.ค.) รวมถึงประกาศปิดพรมแดนของทั้งประเทศ
ขณะเดียวกันมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อใหม่ในตะวันออกกลาง ซึ่งบางประเทศพยายามที่จะกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งพร้อมออกมาตรการป้องกันที่ไม่มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทำลายสมดุลที่เปราะบางระหว่างการปลดล็อกกับการควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสที่จำเป็นต้องมีการโน้มนำของรัฐบาล ต้องมีการสังเกตการณ์ ความรอบคอบ และความเพียรของทุกฝ่ายทั่วประเทศ
ด้านตุรกีพบตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวลตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. หลังการเปิดพื้นที่สาธารณะในวันที่ 1 มิ.ย. โดยขณะนี้ตุรกียังคงพบผู้ป่วยรายใหม่มากกว่า 1,000 รายต่อวัน จึงจำเป็นต้องบังคับใช้คำสั่งสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ
“เหตุผลที่ผู้ป่วยใหม่รายวันของเรามีมากกว่า 1,000 ราย นั่นเพราะพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎ” ฟาห์เรตติน โคกา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขตุรกีกล่าวเมื่อวันจันทร์
ยิ่งไปกว่านั้น ในวันจันทร์ รัฐบาลอิสราเอลได้ออกข้อจำกัดหลายประการรวมถึงการปิดยิม บาร์ ไนท์คลับ และสถานที่จัดกิจกรรม รวมถึงจำกัดจำนวนผู้มานมัสการในโบสถ์ หลังผ่านพ้นการผ่อนคลายมาตรการจำกัดเพียงไม่กี่สัปดาห์
“เราจำต้องบังคับใช้กฎระเบียบเหล่านี้ หลังจากเห็นการชุมนุมของผู้คน 1,000 คนที่ไม่สวมหน้ากาก ผู้คนยังรักษาระเบียบวินัยไม่มากพอและรัฐบาลต้องดำเนินมาตรการอย่างแข็งขัน” ซีริล โคเฮน รองคณบดีคณะธรรมชาติ มหาวิทยาลัยบาร์-อิลาน กล่าวเกี่ยวกับการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในอิสราเอล
จีนา ทัมบีนี ตัวแทนประเทศโคลัมเบียในองค์การสุขภาพของภาคพื้นอเมริกา (PAHO) ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่หลากหลายของแต่ละเมืองในแต่ละประเทศ และแนะนำว่าไม่ควรผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ลงจนกว่าความเร็วในการแพร่ระบาดจะอยู่ภายใต้การควบคุม
“รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลระดับชาติจะต้องยอมให้การเปลี่ยนแปลงของการอพร่ระบาดที่เกิดขึ้นเป็นตัวกำหนดเวลาในการวางมาตรการต่างๆ และการปลดล็อก โดยมีเป้าหมายคือทำให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญก่อนที่จะผ่อนคลายข้อจำกัดใด ๆ” เธอกล่าว
โฆษณา