17 ก.ค. 2020 เวลา 05:16 • ธุรกิจ
ก่อนอื่นผมต้องบอกว่า ภาพนี้ผมได้แรงบันดาลใจมาจากเพจ MONEYLAND คือ แบบพอเห็น Content นี้ ผมก็คิดถึงเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาทันที เพราะผมก็เรียนจบใหม่และเพิ่งทำงานประจำได้ครบ 1 ปี พอดี ก็เลยทำภาพนี้ในเวอร์ชั่นจากประสบการณ์จริงของตัวเอง มาเเชร์ให้เพื่อนๆ กันครับ
1
จริงๆ แล้ว ผมเองก็เริ่มทำธุรกิจเสริมตั้งเเต่สมัยเรียนมัธยมปลายเเล้ว เเต่เพื่อให้ภาพมันดูง่าย เลยขอทำภาพที่เริ่มต้นนับ 1 พร้อมงานประจำเลย
2
ด้วยความที่ผมเป็นนักกีฬาเทควันโดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ บวกกับตัวเองพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพราะเคยไปแข่งขันในระดับประเทศมาทุกรายการแล้ว เเละมีวุฒิสายดำดั่ง 4 ซึ่งมันมากพอสำหรับการเป็นครูได้ ก็เลยคิดว่าเราสามารถนำวิชาเเละประสบการณ์ที่มีมาสอนคนอื่นได้
ผมเริ่มจากการขอเปิดชมรมในโรงเรียนมัธยมแล้วเก็บค่าเรียน 500 บาท/เดือน ตอนนั้นก็มีคนเรียนนิดหน่อยไม่เกิน 10 คน มีรายได้ประมาณ 4,000-5,000 บาท
เเต่ก็ต้องไปซื้อน้ำให้นักเรียนดื่มระหว่างพักและซื้ออุปกรณ์มาให้นักกีฬาใช้ ซึ่งอุปกรณ์เเต่ละอย่างราคา 1,000 up
สรุปเดือนนึงเหลือไม่เกิน 3,000 บาท แต่มันก็ถือว่าเยอะมากๆ สำหรับเด็ก ม.5 คนนึง
หลังจากนั้นเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยผมก็ยังสอนที่โรงเรียนมัธยมเดิมอยู่โดยมีคนเข้ามาเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเป็นครั้งเเรกที่ผมมีรายได้ 20,000 เดือน เเต่ก็ได้ไม่นานผมมีรายได้ประมาณนี้อยู่ไม่เกิน 3 เดือน ก็เกิดปัญหาเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของโรงเรียน
ผมจึงออกมาเช่าสถานที่เปิดเป็นโรงเรียนของตัวเอง แน่นอนว่ามีรายได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องแลกคือ “ค่าใช้จ่าย” ที่มากขึ้นเช่นกัน รายได้ที่ได้มาหักต้นทุนเเล้วผมเหลือเงินที่เป็นกำไรจริงๆ เดือนละไม่เกิน 8,000 บาท
เมื่อผมขึ้นปี 4 ตอนนั้นต้องมาฝึกงานที่กรุงเทพฯ ด้วยเงินเดือน Start เหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไป ทำให้ผมเริ่มมีรายได้สองทาง
แต่พอผมเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ผมจำเป็นต้องจ้างครูเทควันโดมาสอนแทน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก จนสุดท้ายผมแทบไม่เหลือเงินเป็นกำไรให้กับตัวเองเลย
บางเดือนก็ติดลบ เนื่องจากพอให้คนอื่นสอนแทน คุณภาพมันไม่ได้เท่าเรา คนที่เรียนก็เริ่มทยอยลาออกไป แต่ผมก็ยังต้องจ่ายค่าจ้าง และค่าเช่า เท่าเดิม
ผมทำประคองอยู่ประมาณ 4 เดือน ผมก็เริ่มมาทำงานประจำในกรุงเทพฯ กับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ผมฝึกงาน
ตอนนั้นเริ่ม Live เล่าเรื่องราวในหนังสือให้เพื่อนๆ ฟังใน facebook ส่วนตัว เพราะเพื่อนหลายคนที่เห็นผมอ่านหนังสือ เลยมาขอให้ผมเล่าให้ฟัง พอหลายคนขอให้เล่า ผมต้องพูดเรื่องเดิมๆ กับหลายคน เลยเปลี่ยนเป็น Live ให้มาฟังกันที่เดียวเเทน
พอ Live ไปสักพักผมก็รู้จักกับแอพ Blockdit ซึ่งสามารถสร้างรายได้จากงานเขียนได้ ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานเขียนแทน
ตอนนั้นเริ่มเขียนแรกๆ มีรายได้เดือนละ 1,000-2,000 บาท พอทำไปสักพักเริ่มมีวินัยมากขึ้น ผมพยายามเขียนบทความให้ได้ทุกวัน จนมีรายได้ 7,000 บาท ต่อเดือน เป็นรายได้ทางที่สาม
พอเริ่มเขียนได้ไม่นานผมก็ได้มีโอกาสรู้จักกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเขามาทำการตลาดให้กับบริษัทที่ผมทำงานอยู่ บังเอิญว่าผมกับพี่เขาเป็นคนอ่านหนังสือเหมือนกัน ก็เลยคุยกันถูกคอ เหมือนคุยเรื่องเดียวกัน
คุยไปคุยมาก็มารู้ว่าพี่เขาเป็นเจัาของ 2 เพจ ไปให้ถึง100ล้าน และ เพจ TEDTOP ซึ่งเป็นเพจใหญ่มากๆ ในประเทศไทย
พี่เเกเลยให้โอกาสผมเป็นนักเขียนฟรีเเลนซ์ให้บริษัทเเก เป็นรายได้ทางที่สี่ พร้อมทั้งช่วยขัดเกลาฝีมือการเขียนของผม แถมให้ผมได้เข้าไปศึกษาการทำ Content ในคอร์สของบริษัทแกจนผมมีทักษะการเขียนที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น
หลังจากทำมาอยู่สักพัก COVID-19 เริ่มเข้ามา ทำให้ผมต้องตัดสินใจปิดตัวโรงเรียนสอนเทควันโดลงเพราะรายได้กลายเป็น 0 แต่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งผมแบกไม่ไหว
คือ ผมต้องเอาเงินเดือนและรายได้เสริมทั้งหมดมาจ่ายค่าใช้จ่ายในธุรกิจตัวนี้ติดต่อกัน 3 เดือนแล้ว ซึ่งมันยื้อไม่ไหวจริงๆ ต่อให้ผมรักกีฬานี้มากแค่ไหนก็ไม่ไหว
ตอนนี้ผมเหลือรายได้แค่สามทางเหมือนเดิมเเล้ว
ช่วงนั้นผมเคว้งอยู่สักพักหนึ่ง เพราะเริ่มกลับมามีรายได้ทางเดียว ประกอบกับผมก็ทำเพจ สมองไหล นี้โดยไม่ได้คิดอะไร เพราะมันคืองานอดิเรก จึงทำเพราะความชอบล้วนๆ
ผู้ติดตามทาง facebook
แต่พอทำไปสักพักเริ่มมีคนสนับสนุนและสนใจมากขึ้น มีคนเข้ามาขอคำแนะนำให้เลือกหนังสือให้ แล้วบอกผมว่าถ้าผมมีขาย เขาจะซื้อ
ผมก็เลยเกิดไอเดีย ขายหนังสือผ่านเพจนี้ทันที ตอนนั้นก็มีรายได้ไม่มาก เพราะหนังสือมันไม่เหมือนสินค้าอื่น คือ เราซื้อจากร้านหนังสือราคาปก มาขายราคาปกเลย แทบไม่มีกำไร
แต่ผมก็ยังทำต่อไปเพราะอยากสนับสนุนให้คนอ่านหนังสือ และส่วนใหญ่คนที่เข้ามาคุยกับผมพวกเขาก็อ่านหนังสือเล่มแรกกันทั้งนั้น
เลยคิดแค่ว่าอยากเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนอ่านหนังสือเล่มแรกเเละเล่มต่อๆ ไป อีกอย่างผมก็ไม่ได้มีต้นทุนอะไรเลย ผมก็รับออเดอร์ก่อน แล้วขับรถไปซื้อหนังสือใกล้คอนโดมาเเพ็คส่ง ซึ่งเมื่อผมไม่ได้สต๊อกของ ผมก็ไม่มีความเสี่ยง
พอทำมา 1 เดือน โดยไม่มีกำไร มันก็เริ่มมียอดการสั่งซื้อมากขึ้น ผมก็เริ่มสามารถไปซื้อหนังสือจากร้านได้ทีละเยอะๆ พอเรามียอดจำนวนนวนเยอะๆ เราก็จะได้ส่วนลด แถมเริ่มรู้จักกับตัวนักเขียนเองโดยตรง
ซึ่งพอเราซื้อจากนักเขียนโดยตรงเราก็จะได้ส่วนลดอีก ซึ่งตรงนี้เเหละทำให้ผมเริ่มมีรายได้เพิ่มเป็นทางที่สาม
ประกอบกับพอเพจเริ่มโตก็มีผู้สนับสนุนเข้ามาซื้อโฆษณาเพิ่มรายได้ช่องทางที่ 4 อีกครั้ง
แต่หลายเจ้าผมก็ไม่รับโฆษณา ถ้าเนื้อหาและวิธีการนำเสนอที่ผมต้องทำมันไม่ได้ให้คุณค่าอะไรกับผู้อ่านของผม เพราะผู้อ่านเป็นคนสนับสนุนผมให้มีวันนี้
ดังนั้น คนที่ผมต้องเเคร์ที่สุดคือ “ลูกเพจ” ไม่ใช่ “ลูกค้า”
หลายคนอาจสังเกตได้ว่า บทความโฆษณาของผม จะมอบ ”คุณค่า” ผ่านตัวอักษรก่อนเสมอ
สรุปคือ ตอนนี้ผมมี “รายได้เสริม” รวมกันทุกช่องทางแซง “รายได้หลัก” จากงานประจำไปเรียบร้อยแล้ว
แต่สิ่งที่ต้องแลก คือ คุณต้องพยายามมากๆ ในช่วงแรก ต้องนอนน้อย ต้องเหนื่อยมาก ไม่มีวันหยุด ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำงานหนัก หนักจนแผ่นหลังผมแทบไม่ได้พิงที่นอนเลย
แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่จำนวน “รายได้” เท่าไหร่ แต่คือ จะ “ยืนระยะ” ได้นานแค่ไหนต่างหาก
เพราะกุญแจความสำเร็จของ “งานไม่ประจำ” คือ ต้องทำมันเป็น “ประจำ” อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความมี “วินัย”
ผมจึงอยากบอกทุกคนว่า เราทุกคนมีธุรกิจซ่อนอยู่ในตัว อย่างน้อยคนละ 1 ธุรกิจ
โดยสิ่งเหล่านี้มักจะอยู่ในรูปแบบของ ความชอบ งานอดิเรก หรือ สิ่งที่เราถนัด ขอเพียงแค่เราลองเอามันออกมาปัดฝุ่นใช้ “หาเงิน” เท่านั้นเอง
ไม่ต้องคิดมากว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อน ไม่ต้องรอให้พร้อม แต่ให้เริ่มตรงไหนก็ได้ เพราะถ้าเราเริ่มจุดเเรก เราจะเริ่มมองเห็นโอกาส เริ่มรู้จักคนมากขึ้น เริ่มเห็นช่องทางที่จะต่อยอดจุดต่อไป
ใครมีงานประจำอยู่แล้วก็หาเวลาว่างทำควบคู่กันไปก็ไม่เสียหาย แถมลดความเสี่ยงเวลาล้มเหลวอีกต่างหาก
ไม่ต้องรอเงินทุน ลองหาวิธีใช้เงินทุนให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะยุคนี้มีช่องทางออนไลน์ ลองโพสต์ลงไปก่อน ไม่ต้องลงทุนไปซื้อของมาสต๊อกหรอก โพสต์ทดลองความสนใจของคนไปก่อน ถ้าคนสนใจเราค่อยเริ่มทีละเล็กละน้อย เพราะถ้ามันล้มจะได้ไม่เจ็บหนัก
แต่สำคัญ คือ ต้อง “เริ่มลงมือทำ” ตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้าเราไม่เริ่มจุดแรกเสียที มันก็ไม่มีทางเลยที่จะเห็นจุดต่อไป
โฆษณา