23 ก.ค. 2020 เวลา 01:51 • การเมือง
หากการปรับครม.เป็นไปตาม “น้ำเสียง” อันออกมาจากปาก พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสานกับอาการแย้มยิ้มอารมณ์ดีอย่างเป็นพิเศษของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นั่นก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่มีการควบตำแหน่งใหม่ กับรองนายกรัฐมนตรี
นั่นก็คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยังคงนั่งอยู่กับเก้าอี้กระทรวงอุตสาหกรรม และ นายอนุชา นาคาศัย เข้าไปแทนที่ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ที่กระทรวงอุดมศึกษาและการวิจัย
1
โดย นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ยึดครองทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เท่ากับทุกอย่างเรียบร้อยโรงเรียน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เท่ากับพรรคพลังประชารัฐไม่ได้รับการขานรับเหมือนที่ปรากฏออกมาเป็นมติพรรค เท่ากับเหมือนไม่มีเสียงชโยโห่ร้องเมื่อมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้ไปอยู่มหาดไทยเกิดขึ้น
ก็อย่าเพิ่งส่งเสียงแซร่ซร้องไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากนัก
เพราะนี่คือสถานการณ์พึง”ระวัง”มากกว่าจะ”ชะล่า”ใจ
การยุติตำแหน่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่ที่รองนายกรัฐมนตรี เพียงตำแหน่งเดียว การไม่ยืนยันความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของโควต้ากระทรวงพลังงานของพรรคพลังประชารัฐ
ด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มกุมอำนาจ”ใหม่”ในพรรคพลังประชารัฐมิได้ดำเนินยุทธวิธีแบบ”รุกตะบัน”
หากพึงพอใจใน”ชัยชนะ”ที่ได้มาในระดับแน่นอนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง ในเมื่อเป้าหมายอย่างแท้จริงคือการดันหัวหน้าพรรคให้ไปยึดครองกระทรวงบางกระทรวงอันมีผลต่อการเลือกตั้ง
และเป้าหมายสำคัญที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยืนยันตั้งแต่ก่อนและหลังเลือกตั้งคือกระทรวงพลังงาน
มีหรือที่พรรคพลังประชารัฐจะยอมยึดกุมลัทธิ”ทิ้งกลางคัน”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจสามารถแย้มยิ้มอารมณ์ดีได้เพราะดู เหมือนจะสกัดความฮึกห้าวเหิมหาญอันมาจากพรรคพลังประชารัฐได้ด้วยความยินยอมพร้อมใจจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แต่สภาพการณ์นี้ก็เสมอเป็นเพียงสภาพการณ์ในลักษณะ”ชั่ว คราว”เท่านั้น
สรุปตามสำนวนทหาร พรรคพลังประชารัฐทำศึกกดดันจนยึด ครองพรรคจาก”กลุ่ม 4 กุมาร”ได้สำเร็จด้วยกลยุทธ์อันแยบยล มีอะไรอีกหรือที่จะสกัดมิให้พวกเขารุกคืบไปอีกเพียงแต่เมื่อใดเท่านั้น
โฆษณา