27 ก.ค. 2020 เวลา 00:00 • บันเทิง
วิวัฒนการเพลงรักของ The Beatles
ผมเป็นคนๆนึงที่ชอบฟังเพลงเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่ว่าขนานนามว่าเสียงเพลงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมช่วงสมัยที่ผมเรียนอยู่ที่เมืองจีนในช่วงวัยเยาว์ เนื่องจากว่าช่วงสมัยนั้นตอนที่ผมอยู่ที่เมืองจีน ผมอยู่ตัวคนเดียวและอายุ 12 ขวบเท่านั้น และเนื่องจากว่าสถานการณ์อย่างเช่น Culture Shock เกิดขึ้นกับผม ทำให้ผมไม่สามารถเข้ากับใครได้ง่ายดาย ผมก็เลยมีเพื่อนเป็นเสียงเพลงที่คอยตอบสนองความรู้สึกที่เราเป็นอยู่ ณ ตอนนั้น ผมอยู่ที่นั่นปีครึ่ง ตอนนั้นเองเป็นช่วงแรกๆที่ผมได้มีโอกาสรู้จักเพลงของ The Beatles หรือ สี่เต่าทอง ฉายาที่คนไทยรู้จักกันโดยทั่ว แน่นอนว่าทุกคนก็จะรู้ว่ามีสมาชิกในวงอยู่ 4 คน นั่นคือ จอห์น เลนน่อน พอล แม็คคาร์ธนี่ย์ จอร์จ แฮร์ริสัน และ ริงโก้ สตารร์ เพลงช่วงนั้นที่ผมรู้จักก็จะเป็นเพลงที่เป็นเพลงอมตะอย่าง Let It Be ซึ่งอัลบั้มนั้นเอง พ่อผมก็ให้เทปคาสเซ็ทมาให้ผมเป็นอัลบั้มเลย ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บไว้อยู่ในห้องของผม
จอร์จ แฮริสัน พอล แม็คคาร์ธนี่ย์ ริงโก้ สตารร์ และ จอห์น เลนน่อน
หลังจากนั้นช่วงเหมือนปี 2018 ได้มีหนังเรื่องนึงที่ชื่อว่า Bohemian Rhapsody ที่เล่าเรื่องราวของวง Queen มา หนังเรื่องนี้ผมอยากดูเป็นอย่างมากเพราะว่าเขาใช้ผู้กำกับอย่าง Bryan Singer ที่กำกับหนังเรื่อง The Usual Suspects หนังเรื่องโปรดของผม พอหลังจากที่หนังของ Queen เข้าฉายในโรงหนัง ไม่นานหลังจากนั้นในปีถัดมาคือปี 2019 จะมีหนังเรื่องของ The Beatles เข้าฉายเหมือนกัน นั่นก็คือหนังที่มีชื่อว่า Yesterday ที่เขียนบทโดย Richard Curtis เพราะหนังเรื่องนี้จึงทำให้ผมตัดสินใจฟังและศึกษาเพลงของ The Beatles จนทำให้ได้รู้ว่าเพลงของ The Beatles มีวิวัฒนการของความรักจากอัลบั้มสู่อัลบั้ม ซึ่งมันทำให้เห็นความหมายของความรักในรูปแบบต่างๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ สนุก เสียใจ อกหัก ชินชา เพลิดเพลิม อิ่มใจ สบายใจ และ อบอุ่น
หนังเรื่อง Yesterday ของ Richard Curtis ที่พึ่งเข้าโรงเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา
จริงๆแล้ว 3 อัลบั้มแรกของ The Beatles มีเนื้อหาของเพลงที่เกี่ยวกับเพลงรัก และ อกหัก เกือบทั้งอัลบั้มเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญเวลาที่ The Beatles แต่งเพลงรักคือเขาพยายามที่จะพูดถึงความรักในบทบาทของบุคคลที่ 1 และเจาะจงผู้กญิงคนนั้นที่เขาจะกล่าวถึงคือ “You” หรือคุณผู้ฟัง ซึ่งมันบ่งบอกได้ในชื่อเพลงของ The Beatles ไปโดยปริยายอย่างเช่นเพลง “P.S. I Love You” “All My Loving” และ “I Want To Be Your Man” ซึ่งกลุ่มคนฟังตัวยงของ The Beatles คงหนีไม่พ้นวัยรุ่นในสมัยนั้น เริ่มต้นด้วยอัลบั้มแรก Please, Please Me ที่ออกเมื่อตอนปี 1963 มีเพลงฮิตที่เป็นเพลงฮิตเพลงแรกอย่างชื่อเพลงว่า “Love Me Do” ที่ร้องว่า “Love, Love Me Do, You Know I Love You” ซึ่งมันเป็นความหมายที่เรียบง่ายของความรัก คือการอยู่กับคนรัก และ ซื่อสัตย์กับเขา หลังจากนั้นตอนปี 1963 นี้เองที่ The Beatles ออกซิงเกิ้ลที่ดังมากจนถึงทุกวันนี้ถัดมาที่มีชื่อว่า “I Want To Hold Your Hand” ซึ่งถ้าลองฟังเพลงนี้ดู เราจะรู้สึกว่าเพลงเหมือนเด็กที่พึ่งมีความรักครั้งแรก มีความไร้เดียงสา และ ความบริสุทธิ์ใจอยู่อย่างมาก
1
Please Please Me อัลบั้มแรกของ The Beatles
ในอัลบั้มที่สาม A Hard Day’s Night วง The Beatles ได้ออกเพลงๆนึงซึ่งเหมือนเป็นภาคต่อของเพลง “I Want To Hold Your Hand” ชื่อเพลงว่า “If I Fell” ที่ร้องว่า “And I Found that love was more than just holding hands” ซึ่งเพลงๆนี้เราจะได้เห็นว่า The Beatles พยายามเปลี่ยนแนวเพลงให้มีความช้าลง และ นุ่มนวลมากขึ้น อีก 1 เพลงที่อยู่ในอัลบั้มนี้ที่พยายามพูดถึงคุณค่าของความรักมากขึ้นกว่าเดิมคือเพลง “Can’t Buy Me Love” ที่พูดถึงความรักว่าไม่ใช่สิ่งของที่สามารถซื้อได้ แต่มันเป็นอะไรที่มีคุณค่ามากกว่านั้น พออัลบั้มต่อมา Beatles For Sale ในปี 1964 จากทั้งหมด 8 เพลงที่อยู่ในอัลบั้มนั้น 5 เพลงในนั้นเป็นเพลงที่เกี่ยวกับการอกหัก ซึ่งมีเพลงอย่าง “I’m A Loser” ที่เป็นตัวอย่างให้เห็น ซึ่งตอนนั้นเองในวง จอห์น เลนน่อน เริ่มจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและต้องสู้กับโรคนี้ ซึ่งพอผ่านมา 3 อัลบั้มความไร้เดียงสาของความรักหายไปจากเนื้อเพลงหมดแล้ว The Beatles มีมุมมองความรักที่ซับซ้อนมากขึ้น และไม่ใช่เรื่องง่ายๆอีกต่อไป ไม่ใช่เพียงแค่จอห์นที่เริ่มหม่นหมองกับความรัก อีกคนในนั้นก็คือ พอล แม็คคาร์ธนี่ย์
1
A Hard Day's Night อัลบั้มที่ 4 ของ The Beatles
ในอัลบั้มที่ห้านี้ Help! พอลได้ร้องเพลงๆนึง ที่ต่อมาเพลงนี้เป็นเพลงที่ถูกขับร้องต่อบ่อยที่สุดในเพลงทั้งหมดทั่วโลก คือเพลง “Yesterday” ซึ่งเพลงนี้เองก็ได้ถูกขับร้องในการประกาศรางวัลออสการ์ที่ผ่านมาในปีนี้โดย Billie Ellish สิ่งนึงที่ทำให้เพลง “Yesterday” โดดเด่นขึ้นมาคือการที่พูดถึงเรื่องราวที่ดูจะซับซ้อนออกมาได้อย่างง่ายดาย และการที่ในเพลงนี้พอลไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรเข้าไปในเนื้อเพลงเลย มันเลยเหมือนกับว่าเราสามารถเอาเหตุการณ์ของตัวเราเองไปใส่แทนที่ในเพลง ซึ่งทุกคนที่ฟังเลยจะรู้สึกอินไปกับเพลงมากกว่าเดิม ซึ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงระยะที่สอง The Beatles มองความรักเป็นพลังงานบางอย่างที่ทรงพลังมากกว่าอะไรที่โรแมนติก และสิ่งนี้เองเราเลยได้เห็นในอัลบั้มที่หก Rubber Soul ของ The Beatles อย่างเพลง “The Word” และในอัลบั้มนั้นเองทางวงก็กล้าที่จะพูดเรื่องเซ็กส์มากขึ้นอย่างเช่นเพลงโปรดของผมอย่าง “Drive My Car” ที่พูดถึงความรักที่ฉาบฉวยมากขึ้นกว่าเดิม และจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จุดประกายให้เกิดยุคของฮิปปี้อย่างแท้จริง
Billie Ellish ร้องเพลง Yesterday ในงานประกาศรางวัลออสการ์ในปีนี้
ในอัลบั้มที่เจ็ด Revolver ตอนปี 1965 วง The Beatles เกิดมีการเปลี่ยนแปลงในวงครั้งใหญ่ The Beatles ในตอนนั้นไม่ได้เป็นเพลงแค่วงป็อปธรรมดาอีกต่อไป ในตอนนั้น The Bealtes แจ้งเกิดที่สหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว ผ่านรายการ Ed Sullivan Show เมื่อปี 1964 หลายๆอัลบั้มที่ผ่านมา The Beatles ได้ทดลองแนวเพลงต่างๆ และพูดถึงแต่เรื่องความรัก แต่ในอัลบั้มนี้ The Beatles พูดตั้งแต่เรื่อง การนอน (I’m Only Sleeping) ยาเสพติด (Dr. Robert) และ ภาษี (Taxman) ในอัลบั้มนี้ จอร์จ แฮริสัน ได้แต่งเพลงที่มีชื่อว่า “Love To You” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากทำนองเพลง และ ปรัชญาจากตะวันออกมากขึ้น โดยเฉพาะทางอินเดีย ซึ่งจอร์จเลยแต่งเพลงมาในแนวของจิตวิญญาณของการมีความรัก และ อีกเพลงนึงในอัลบั้มนี้ที่ย้ำในแนวทางการได้รับแรงบันดาลใจมาจากตะวันออกอีก คือ “Tomorrow Never Knows”
The Beatles กับการเริ่มต้นภารกิจ British Invasion
จอห์น เลนน่อน มองว่าความรักไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่สำคัญอีกต่อไป แต่มองว่าความรักคือทุกๆอย่าง ในอัลบั้มถัดมา Sgt. Pepper’s Lonely Hearts Club Band จอร์จ แฮริสันได้แต่งเพลงนึงที่มีชื่อว่า “Within You Without You” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากศาสนาฮินดู จอร์จเขียนเพลงที่บอกว่า ความรักสามารถกู้โลกได้ ซึ่งเลยเป็นที่ๆมาของซิงเกิ้ลที่โปรดปรานของหลายๆคนอย่าง “All You Need is Love” มันพูดความรักที่สวยสดงดงาม เป็นความรักที่บริสุทธิ์ และเป็นโลกในอุดมคติ หลังจากนั้นในปี 1968 The Beatles ออกอัลบั้มที่ 10 The White Album ทางวงออกอัลบั้มนี้มาซึ่งเป็นอัลบั้มที่ยาวที่สุดของ The Beatles มีเพลงที่เกียวกับความรักเหลืออยู่น้อยมาก แต่หนึ่งในนั้นคือเพลงที่มีชื่อว่า “Julia” ที่เป็นเพลงรักแต่ทางจอห์น เลนน่อน แต่งให้กับแม่ของเขาเอง The Beatles เองได้ย้อนกลับมาที่ต้นตอของความรักตั้งแต่แรกคือความรักเกี่ยวกับคนสองคนมากขึ้น จนมาอัลบั้มรองสุดท้าย Abbey Road ซึ่งในอัลบั้มนี้ จอร์จ แฮริสัน ได้แต่งเพลงๆนึงที่ผมชอบที่สุดในเพลงของ The Beatles ทั้งหมด นั่นคือ “Something” ซึ่งเพลงนี้เองพูดถึงความรู้สึกพิเศษของคนรักของเรา ความรักที่เปรียบเสมือนสิ่งดึงดูดซึ่งทำให้เราตกหลุมรักคนนี้ตั้งแต่ตอนแรก และทำให้เราอยากที่จะอยู่กับเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งเพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่โรแมนติกที่สุดของ The Beatles เลยก็ว่าได้จน ซึ่งตอนที่จอร์จ แฮริสันแต่งเพลงนี้ขึ้นมา จอร์จได้นึกถึงนักร้องผิวสีหนึ่งคนตอนแต่งคือ เรย์ ชาร์ลส์ (Ray Charles)
The Beatles ช่วงท้ายๆของวง
ซึ่งสุดท้ายเราสามารถสรุปได้อย่างนึงว่า ความรักนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้ The Beatles ยิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้ ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ สิ่งนึงที่ทำให้ผมอยากเขีนบทความเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่าเมื่อผมเติบโตขึ้นมา ผมพบเจอความรักมาตั้งแต่สมัยมัธยม มหาลัย จนกระทั่งวัยทำงาน ความรักของผมแตกต่างกันไป สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสมัยมัธยมเวลามีความรักคงเป็น การชวนสาวออกไปดูหนัง ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของตอนมีความรักคือ การจะทำอย่างไรให้ความรักของเรายืนยาวที่สุด ความรักของผมเลยเปรียบเสมือนเพลง The Beatles ที่ตอนแรกแค่เราจับมือเขาก็เหมือนความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้วสำหรับเด็กมัธยมคนนึง ในตอนนี้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงเป็นการได้ลงหลักปักฐานกับใครบางคน เปรียบเสมือนเพลง “Something” ที่ร้องว่า “I Don’t Want to Leave her now, You know I believe and How”
โฆษณา