หลังจากนั้นช่วงเหมือนปี 2018 ได้มีหนังเรื่องนึงที่ชื่อว่า Bohemian Rhapsody ที่เล่าเรื่องราวของวง Queen มา หนังเรื่องนี้ผมอยากดูเป็นอย่างมากเพราะว่าเขาใช้ผู้กำกับอย่าง Bryan Singer ที่กำกับหนังเรื่อง The Usual Suspects หนังเรื่องโปรดของผม พอหลังจากที่หนังของ Queen เข้าฉายในโรงหนัง ไม่นานหลังจากนั้นในปีถัดมาคือปี 2019 จะมีหนังเรื่องของ The Beatles เข้าฉายเหมือนกัน นั่นก็คือหนังที่มีชื่อว่า Yesterday ที่เขียนบทโดย Richard Curtis เพราะหนังเรื่องนี้จึงทำให้ผมตัดสินใจฟังและศึกษาเพลงของ The Beatles จนทำให้ได้รู้ว่าเพลงของ The Beatles มีวิวัฒนการของความรักจากอัลบั้มสู่อัลบั้ม ซึ่งมันทำให้เห็นความหมายของความรักในรูปแบบต่างๆ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ สนุก เสียใจ อกหัก ชินชา เพลิดเพลิม อิ่มใจ สบายใจ และ อบอุ่น
หนังเรื่อง Yesterday ของ Richard Curtis ที่พึ่งเข้าโรงเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา
จริงๆแล้ว 3 อัลบั้มแรกของ The Beatles มีเนื้อหาของเพลงที่เกี่ยวกับเพลงรัก และ อกหัก เกือบทั้งอัลบั้มเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญเวลาที่ The Beatles แต่งเพลงรักคือเขาพยายามที่จะพูดถึงความรักในบทบาทของบุคคลที่ 1 และเจาะจงผู้กญิงคนนั้นที่เขาจะกล่าวถึงคือ “You” หรือคุณผู้ฟัง ซึ่งมันบ่งบอกได้ในชื่อเพลงของ The Beatles ไปโดยปริยายอย่างเช่นเพลง “P.S. I Love You” “All My Loving” และ “I Want To Be Your Man” ซึ่งกลุ่มคนฟังตัวยงของ The Beatles คงหนีไม่พ้นวัยรุ่นในสมัยนั้น เริ่มต้นด้วยอัลบั้มแรก Please, Please Me ที่ออกเมื่อตอนปี 1963 มีเพลงฮิตที่เป็นเพลงฮิตเพลงแรกอย่างชื่อเพลงว่า “Love Me Do” ที่ร้องว่า “Love, Love Me Do, You Know I Love You” ซึ่งมันเป็นความหมายที่เรียบง่ายของความรัก คือการอยู่กับคนรัก และ ซื่อสัตย์กับเขา หลังจากนั้นตอนปี 1963 นี้เองที่ The Beatles ออกซิงเกิ้ลที่ดังมากจนถึงทุกวันนี้ถัดมาที่มีชื่อว่า “I Want To Hold Your Hand” ซึ่งถ้าลองฟังเพลงนี้ดู เราจะรู้สึกว่าเพลงเหมือนเด็กที่พึ่งมีความรักครั้งแรก มีความไร้เดียงสา และ ความบริสุทธิ์ใจอยู่อย่างมาก
1
Please Please Me อัลบั้มแรกของ The Beatles
ในอัลบั้มที่สาม A Hard Day’s Night วง The Beatles ได้ออกเพลงๆนึงซึ่งเหมือนเป็นภาคต่อของเพลง “I Want To Hold Your Hand” ชื่อเพลงว่า “If I Fell” ที่ร้องว่า “And I Found that love was more than just holding hands” ซึ่งเพลงๆนี้เราจะได้เห็นว่า The Beatles พยายามเปลี่ยนแนวเพลงให้มีความช้าลง และ นุ่มนวลมากขึ้น อีก 1 เพลงที่อยู่ในอัลบั้มนี้ที่พยายามพูดถึงคุณค่าของความรักมากขึ้นกว่าเดิมคือเพลง “Can’t Buy Me Love” ที่พูดถึงความรักว่าไม่ใช่สิ่งของที่สามารถซื้อได้ แต่มันเป็นอะไรที่มีคุณค่ามากกว่านั้น พออัลบั้มต่อมา Beatles For Sale ในปี 1964 จากทั้งหมด 8 เพลงที่อยู่ในอัลบั้มนั้น 5 เพลงในนั้นเป็นเพลงที่เกี่ยวกับการอกหัก ซึ่งมีเพลงอย่าง “I’m A Loser” ที่เป็นตัวอย่างให้เห็น ซึ่งตอนนั้นเองในวง จอห์น เลนน่อน เริ่มจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและต้องสู้กับโรคนี้ ซึ่งพอผ่านมา 3 อัลบั้มความไร้เดียงสาของความรักหายไปจากเนื้อเพลงหมดแล้ว The Beatles มีมุมมองความรักที่ซับซ้อนมากขึ้น และไม่ใช่เรื่องง่ายๆอีกต่อไป ไม่ใช่เพียงแค่จอห์นที่เริ่มหม่นหมองกับความรัก อีกคนในนั้นก็คือ พอล แม็คคาร์ธนี่ย์
1
A Hard Day's Night อัลบั้มที่ 4 ของ The Beatles
ในอัลบั้มที่ห้านี้ Help! พอลได้ร้องเพลงๆนึง ที่ต่อมาเพลงนี้เป็นเพลงที่ถูกขับร้องต่อบ่อยที่สุดในเพลงทั้งหมดทั่วโลก คือเพลง “Yesterday” ซึ่งเพลงนี้เองก็ได้ถูกขับร้องในการประกาศรางวัลออสการ์ที่ผ่านมาในปีนี้โดย Billie Ellish สิ่งนึงที่ทำให้เพลง “Yesterday” โดดเด่นขึ้นมาคือการที่พูดถึงเรื่องราวที่ดูจะซับซ้อนออกมาได้อย่างง่ายดาย และการที่ในเพลงนี้พอลไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรเข้าไปในเนื้อเพลงเลย มันเลยเหมือนกับว่าเราสามารถเอาเหตุการณ์ของตัวเราเองไปใส่แทนที่ในเพลง ซึ่งทุกคนที่ฟังเลยจะรู้สึกอินไปกับเพลงมากกว่าเดิม ซึ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงระยะที่สอง The Beatles มองความรักเป็นพลังงานบางอย่างที่ทรงพลังมากกว่าอะไรที่โรแมนติก และสิ่งนี้เองเราเลยได้เห็นในอัลบั้มที่หก Rubber Soul ของ The Beatles อย่างเพลง “The Word” และในอัลบั้มนั้นเองทางวงก็กล้าที่จะพูดเรื่องเซ็กส์มากขึ้นอย่างเช่นเพลงโปรดของผมอย่าง “Drive My Car” ที่พูดถึงความรักที่ฉาบฉวยมากขึ้นกว่าเดิม และจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จุดประกายให้เกิดยุคของฮิปปี้อย่างแท้จริง