22 ส.ค. 2020 เวลา 00:41 • ไลฟ์สไตล์
สวัสดีทุกคนค่ะ ..
มาอีกแล้ว กับเรื่องเล่าวัยเด็ก ที่เกริ่นแบบไถออกข้างทางไปไกลพอสมควร
จากโพสต์วันก่อน ตามลิงค์นี้ ...
..
1
วันนี้แม่ป๋อมจะมาต่อ แบบพยายามตบให้อยู่ในกรอบของวัยเด็กจริง ๆ กันนะคะ ..
..
น่าจะใกล้ ๆ 10 ขวบ .. ไม่แน่ใจ .. ลืมถามแม่มา
อย่างที่บอกไปว่าแม่ป๋อมและพี่สาว มีปู่กับย่าคอยดูแลตั้งแต่เราเกิด เพราะพ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้านทั้งคู่
แถมความที่พ่อมาจากต่างจังหวัด และเป็นคนแรกในตระกูลที่เข้ากรุงเทพฯ มาเรียน จนมีงานทำ ..
ประกอบกับรูปแบบสังคมพึ่งพากันในสมัยก่อน ที่ยึดครอบครัว ที่มีรากเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน เช่น ถึงปู่เราจะคนละคนกัน แต่ปู่ของปู่ของปู่ ... ของเราเป็นคนเดียวกัน .. เราก็คือพี่น้องกัน ... ประมาณนี้
ป.ล. เด็กรุ่นใหม่จะเข้าใจความรู้สึกโยงกันเป็นใยแมงมุมแบบนี้มั้ยเนี่ย 😅
..
ต่อ ๆๆ ..
..
1
ทำให้ญาติฝั่งปู่กับย่า ที่อยู่ต่างจังหวัด ได้อาศัยการนำร่องของพ่อ .. เข้ามาเรียน มาทำงาน และอาศัยอยู่ในบ้านของเราด้วยเป็นครั้งคราว
ตั้งแต่เด็ก แม่ป๋อมเลยโตมาแบบครอบครัวขนาดเล็ก คือมีกันแค่พ่อแม่ลูก .. แต่ก็ที่มีญาติพี่น้อง และญาติพี่น้อง และญาติพี่น้อง ..
ล้อมหน้าล้อมหลัง แวะเวียนไปมาหาสู่ ทั้งที่ค้างคืนอยู่ด้วยไม่กี่วัน ทำธุระในกรุงเสร็จแล้วก็กลับบ้านนอก แต่ก็มีที่มาค้างเป็นแรมเดือน ด้วยธุระอื่น ๆ ต่าง ๆ กันไป
ไม่นับที่แวะแค่มาพูดคุย ไหว้ปู่กับย่า พากันไปทำบุญทุก ๆ เทศกาล รวมถึงมาสร้างบ้านอยู่ใกล้ ๆ กัน อีกหลายหลังคาเรือน .. เอาเป็นว่า ซอยนั้นเราเป็นญาติกันเกือบทั้งซอย
ปัญหาเรื่องความอบอุ่นเลยไม่เคยมี .. (ก็จากที่เล่ามา .. มันจะมีมั้ยละเนี่ย 😑)
นอกจากญาติแล้ว ตัวแม่ป๋อมในวัยประถม ก็เป็นเด็กสังคมจัดและขาดเพื่อนไม่ได้...😝
ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ไปโรงเรียน หรือหลังเลิกเรียน ตื่นมากินข้าวกินปลาเสร็จ ต้องวิ่งออกไปหาเพื่อน ไม่ก็ญาติ บ้านที่มีเด็กเหมือนกัน .. ไม่บ้านใดก็บ้านหนึ่ง ..
ตัวตนในบีดีดูจะถอดมาจากตัวตนในวัยนั้น .. รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนกันค่ะ 😅
..
ป.ล. แต่นอกจอ ตั้งแต่เข้าวัยผู้ใหญ่จนถึงปัจจุบันนี่คนละเรื่องกันเลยนะ ขอน้อย ๆ เงียบ ๆ ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.. คาดว่าวัยเด็กคงได้ความวุ่นวายมาในระดับที่พอใจแล้ว พอถึงวัยนึงเลยขอมีแค่เรากับมุมสงบ ๆ ส่วนตัว.. คือพอ
..
อันนี้ก็ไม่น่าเกิน 4 ขวบ .. ต้องไปถามแม่เหมือนกัน
ชีวิตอีกช่วงของวัยเด็กที่ประทับอยู่ในใจเสมอ คือเวลาปิดเทอม
เพราะพอปิดเทอมที ปู่กับย่าจะพาเราสองคนกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดด้วย ..
บ้านปู่กับย่าเป็นบ้านทรงไทยใต้ถุนสูง ตั้งประชิดริมแม่น้ำสายหลักของจังหวัด ...
แม่ป๋อมตอนเด็ก ๆ .. ปกติวันหยุด หรือปิดเทอมก็ชอบอยู่แล้วเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน แต่สำหรับช่วงปิดเทอมใหญ่ ที่จะได้ไปอยู่บ้านริมน้ำที่ต่างจังหวัดกับปู่ย่า ถือเป็นไฮไลท์.. ชอบยิ่งกว่าช่วงเวลาไหนของปี
เพราะจะได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ กลางแจ้ง กับเพื่อนเด็กกลุ่มเดิม ๆ ที่จะเจอกันเฉพาะปิดเทอม เพราะส่วนใหญ่ก็จะตามปู่ย่าตายายกลับต่างจังหวัดเหมือนกัน
ถ้าวันไหนจังหวะเหมาะ ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ ให้เล่นด้วยกันได้ เราจะหากิจกรรมเล่นซนได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
ตั้งแต่เล่นขายของ ตั้งเต วิ่งไล่จับ กระโดดหนังยาง เลยไปถึงที่โลดโผนขึ้นมาอีกนิดอย่างปีนต้นไม้ หรือเล่นซ่อนแอบในกองฟาง ขุดดินหาแมลง จับกิ้งกา แมลงปอ ผีเสื้อ หรือหาผัก หญ้า ผลไม้ป่ามากิน ..
และที่ชอบสุดคือกิจกรรมปิดท้ายของวัน ..
ลงเล่นน้ำในแม่น้ำ ... งมหอย เก็บผักบุ้ง ช้อนลูกกุ้งลูกปลาตามประสาเด็ก..
ส่วนถ้าวันไหน ที่วัดใกล้บ้านมีงานทำบุญใหญ่ หรือเทศกาลประจำปี.. ญาติผู้ใหญ่ก็จะพาเราไปด้วย
เช้าใส่บาตร ฟังพระ ทำบุญ พอตกบ่ายก็ถึงคิวมหรสพ เล่นกิจกรรมตามซุ้มต่าง ๆ ดูขบวนกลองยาว ลำตัด บางทีก็นั่งดูลิเก หนังกางแปลงจนดึก..
ยิ่งถ้าวันไหนไม่ได้อาศัยรถญาติคนไหนไป หรือกลับ.. ป้าญาติสนิทท่านนึง ที่ดูแลเราเวลาอยู่ที่นั้น ก็จะพาเรานั่งเรือ พายกลับมาพร้อมกันเป็นกลุ่ม กับเรือของญาติคนอื่น ๆ ..
ที่แม่น้ำ.. มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด อาจจะมีแสงไฟฉายของเรือลำข้างหน้า หรือแสงตะเกียง แสงไฟเล็ก ๆ จากบ้าน ที่ตั้งอยู่ริมสองฝั่ง.. เล็ดลอดประตู หน้าต่างออกมา ทำให้พอเห็นว่า เรากำลังพายอยู่ตำแหน่งไหนของลำน้ำ.. อีกไกล - ใกล้แค่ไหนถึงจะถึงจุดหมาย.. คือบ้านของเรา
ถึงจะมืด แต่ก็ไม่รู้สึกกลัว..
เพราะเราจะได้ยินเสียงผู้ใหญ่ ตะโกนคุย หัวเราะ เล่าเรื่องตลก เลยไปถึงเรื่องปนทะลึ่งนิด ๆ ตามประสาคนต่างจังหวัด.. ข้ามลำเรือกันไปมา.. ดังก้องทั่วคุ้งน้ำ
และถ้าวันไหนจังหวะเหมาะ ได้นอนหนุนตักผู้ใหญ่สักคน.. ถึงหัวจะหนุนอยู่ที่ตัก แต่ตาได้มองขึ้นฟ้า..
1
ในความมืดนั้น.. เราจะเห็นดาวเกินล้านดวง ส่องแสง กระพริบระยิบระยับ.. งามประทับอยู่ในใจ
แม้ขณะนั่งเขียนอยู่นี่ ก็ยังมีภาพต่าง ๆ ลอยออกมาให้เห็น ชัดเจนในหัว .. เหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
รูปซ้ำ .. รู้แหละ .. แต่ที่มีอยู่ มีแค่นี้อ่ะ
โพสต์ยาวอีกแล้ว.. และก็ดูจะไม่ใช่ชีวิตในวัยเด็กซะทีเดียว.. แต่เหมือนแม่ป๋อมหยิบภาพเก่าความทรงจำในอดีตมาเล่าให้ฟังมากกว่า
ว่าไปไม่เคยเรียงเรื่องของตัวเอง ในมุมนี้ออกมาเป็นตัวอักษรเลย.. พอได้ลงมือเขียน และนึกอีกทีก็ถือเป็นว่าโอกาสที่ดีมาก
แถมสนุกและรู้สึกดี ที่เล่าแล้วมีเพื่อนหลายคนนั่งข้าง ๆ อ่านสิ่งที่เราเขียน.. รับรู้ประสบการณ์ของแม่ป๋อม ผ่านตัวอักษรแบบนี้ไปด้วยกัน
วัยเด็กมุมอื่นแม่ป๋อมก็ยังมี..
ความดี ความประทับใจของปู่กับย่าที่เลี้ยงดูเรามา..
ปัญหาที่บ้านในบางช่วงเวลาที่เกิดตอนแม่ป๋อมเป็นเด็ก ก็อยากเล่า..
เอาไว้จะลองเขียนและลงเก็บไว้ให้ใครที่สนใจอ่านในเพจส่วนตัวนี้นะคะ..
ส่วนเรื่องวัยเด็กมุมนี้คงมีแค่นี้.. ขอบคุณมดดี้อีกครั้งสำหรับซาเล้งสนุก ๆ..
และแน่นอน เพื่อนทุกคนที่รักและเอ็นดูกัน... ที่อ่านมาถึงบรรทัดสุดท้าย
ซาบซึ้งน้ำใจ และรับรู้ได้ถึงกำลังใจที่ส่งให้
..
อ้อ... ขอเสริมอีกว่า ยายยายตาตาของปุญ เคยให้สัมภาษณ์ในหนังสือชื่อ บ้านหลังนี้มีความรัก ที่เขียนโดยคุณอรสม สุทธิสาครเอาไว้ เมื่อสิบกว่าปีก่อน
เกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ ตั่งแต่พบกัน รัก แต่งงาน และการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตที่ยากลำบากบางช่วง
ขออนุญาตพี่อรสม เอามาลงไว้ในเพจ
Poon Station Fanpage ในเฟซบุ๊ค
ถ้าใครสนใจอ่าน คลิกทจากลิ้งค์ที่แนบมานี้เลยค่ะ
..
ขอบคุณที่ติดตาม
มีความสุขมาก ๆ ในวันหยุดพักผ่อน
พบกันใหม่โพสต์หน้า..
สวัสดีและขอบคุณเสมอค่ะ 😊
โฆษณา