29 ส.ค. 2020 เวลา 12:09 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่าชมรมศิลป์ Ep.7 : ขุมนรกของดันเต
[ Dante’s Inferno ]
“การรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งมวล”
– พระคัมภีร์ไบเบิล, 1 ทิโมธี 6:10 -
The Money Changer and His Wife, c 1514. oil on panel painting by the Flemish renaissance artist Quentin Matsys.
ชายผู้หนึ่งเพ่งมองภาพจิตรกรรมบนฝาผนังของพระอุโบสถด้วยความพินิจพิเคราะห์ เสื้อเชิ้ตตัวหลวมดูเรียบง่ายแมตช์คู่กับกางเกงสีเอิร์ธโทนและรองเท้าสนีกเกอร์ ดูเผิน ๆ ชวนให้นึกถึงตัวละครจาก Call Me By Your Name ภาพยนตร์สัญชาติอิตาเลียนสุดร้อนแรง
ทว่าริ้วรอยบนใบหน้าและผมสีน้ำตาลเกาลัดที่มีสีขาวแซมบ่งบอกให้รู้ว่าชายผู้นี้เดินทางมาไกลกว่าตัวเอกในเรื่องมากนัก สีที่ส่องประกายรอบตาดำของเขานั้นออกโทนเขียวจัดอมเทา ดูต่างจากชาวอิตาเลียนทั่วไป
สีของเงิน…ช่างเหมาะเจาะอะไรแบบนี้
ผมแอบนึกอยู่ในใจ ขณะที่เหลือบมองแขกกิตติมศักดิ์ที่ยืมชมภาพอยู่ใกล้ ๆ
“บ่ายนี้ฝากดูแลโรเบอร์โต้หน่อยนะ เฮียติดธุระด่วนจริง ๆ ขอโทษที…ตอนเย็นค่อยพาเขาไปส่งโรงแรม ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องรถกับเซอร์วิสจัดการเอาไว้หมดแล้ว”
ภารกิจในบ่ายวันนี้ของผมมาจากการไหว้วานของพี่พีร์ รุ่นพี่ที่รู้จักกันมานานและเป็นอดีตหัวหน้าชมรมศิลป์ก่อนจะห่างหายไปจากชมรมด้วยธุรกิจด้านการเงินที่รัดตัว
ส่วนชายที่อยู่ข้าง ๆ นี้คือ มิสเตอร์ โรเบอร์โต้ ปิโรกา หัวหน้าคณะนักวิเคราะห์การลงทุนของบริษัทการเงินในอิตาลี ซึ่งเป็นพันธมิตรกับองค์กรที่พี่พีร์ทำงานอยู่
ผมเองเคยได้มีโอกาสคุยกับโรเบอร์โต้อยู่สองสามครั้งเกี่ยวกับการสืบค้นเรื่องราวของงานศิลปะยุคเรอเนสซองส์ ผ่านการแนะนำของพี่พีร์ นอกจากจะเป็นนักการเงินผู้คร่ำหวอดในวงการแล้ว โรเบอร์โต้ ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานศิลปะและการลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกอีกด้วย
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดดุสิดารามฯ วัดเก่าแก่ในย่านบางกอกน้อย
“งดงามมาก…สมแล้วที่โปรเฟสเซอร์ เฟโรชี ชื่นชมเอาไว้”
คำพูดของโรเบอร์โต้ทำให้ผมอดทึ่งกับความรู้กว้างขวางของเขาไม่ได้ อันที่จริงการมาเยือนวัดดุสิดารามวรวิหารของเราในบ่ายวันนี้เป็นไปตามที่เขาขอ
ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะตอบออกไป
“ผมอ่านเจอมาเหมือนกันครับว่าศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ท่านเคยมาชมงานจิตรกรรมที่นี่ด้วยตนเอง ส่วนผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเลยครับ”
บนฝาผนังของอุโบสถทั้งสี่ด้านตกแต่งด้วยงานจิตรกรรมที่ช่างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้วาดขึ้น ลายเส้นและสีสันดูสวยสดงดงามร้อยเรียงเรื่องราวพุทธประวัติ มนุษยโลก เทวโลก ไปจนถึงยมโลก
ฝีเท้าของโรเบอร์โต้หยุดลงที่ผนังเบื้องหลังพระประธาน เสียงของเขาพึมพำออกมาพอได้ยินเบา ๆ
“Dante’s Inferno”
ภาพที่ตรึงสายตาของเขาไว้คือ นรกภูมิ ที่เต็มไปด้วยสัตว์นรก เหล่ามนุษย์ที่สิ้นชีพและถูกลงทัณฑ์ในนรกขุมต่าง ๆ อันมีรายละเอียดชวนให้รู้สึกพรั่นพรึง
ภาพนรกภูมิและการลงโทษ
“จริงด้วยสินะครับ หากเปลี่ยนจากพญายมเป็นลูซิเฟอร์ ภาพนี้ก็ชวนให้นึกถึงขุมนรกของดันเตเหมือนกันนะครับ”
ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเปล่งประกายวิบวับเหมือนนึกอะไรสนุกขึ้นมาได้ ก่อนจะหันมาคุยกับผมอย่างอารมณ์ดี
“ภาพพวกนี้ดูน่ากลัว แต่ผมก็ชอบที่มันทำให้เราได้คิด ว่าตอนยังมีชีวิตอยู่เราทำดีพอแล้วรึยัง ไม่ว่าตาชั่งของพระเจ้าจะเอียงไปทางไหน ที่แน่ ๆ ไม่มีใครอยากเจอสิ่งเหล่านี้รออยู่ คุณว่ามั้ย?”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยตอบ เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบชวนให้อุณหภูมิของเลือดในร่างกายลดลงสององศา
1
“แต่ถ้าผมบอกกับคุณว่า…ยังมีวิธีต่อรองให้หลุดพ้นจากนรกในชีวิตหลังความตายล่ะ คุณสนใจรึเปล่า?”
บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเกิดเป็นความเงียบงัน มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายดังเอื้อกอยู่ในลำคอ ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าได้ยินไปถึงหูของเขา
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว จนนกกาที่เกาะกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างโผบินหนี เณรรูปหนึ่งชะโงกหน้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผมได้แต่ค้อมหัวพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงขออภัยแทนเจ้าตัวที่ขำน้ำหูน้ำตาไหลอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกระซิบให้ออกไปด้านนอกอุโบสถ
ทันทีที่เราออกมายังพื้นที่ด้านนอก โรเบอร์โต้ก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขอโทษ ๆ ผมเห็นคุณเมื่อตะกี้แล้วอดขำไม่ได้จริง ๆ คุณน่าจะเห็นสีหน้าของตัวเองนะ อย่างกับโดนผีหลอก”
ผีหลอกยังไม่น่ากลัวเท่าโดนคนหลอก…ผมได้แต่รำพึงในใจ สหายต่างวัยอมยิ้มแล้วตบบ่าผมเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ
“เอาน่า เพื่อเป็นการไถ่โทษ…ผมจะเล่าเรื่องให้คุณฟังแล้วกัน ที่จริงผมไม่ได้ล้อเล่นนะ มีคนเคยทำเรื่องแลกเปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตหลังความตายหลุดพ้นจากนรกชั่วกัลป์ชั่วกัลป์จริง ๆ หรืออย่างน้อย...เขาก็เชื่อแบบนั้น”
หลังจากหาที่นั่งเหมาะ ๆ ใต้ร่มไม้ที่มีลมพัดผ่านได้เรียบร้อยแล้ว แขกวีไอพีที่กลายมาเป็นอาจารย์ของผมในวันนี้ก็เริ่มเล่าเรื่อง
“La divina commedia…”
เขาเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอิตาเลียนด้วยความคุ้นชินก่อนจะสลับกลับมาเป็นภาษาอังกฤษดังเดิม
“ผมหมายถึง The Divine Comedy (เดอะ ดีไวน์ คอมเมดี) บทกวีของดันเต ที่เล่าถึงการเดินทางของวิญญาณมนุษย์ผ่านดินแดนหลังความตายในสามภพภูมิ ตามความเชื่อในศาสนาคริสต์ยุคนั้น”
ภาพวาดแผนภูมินรก โดย Sandro Botticelli ซึ่งรวมไว้ในต้นฉบับ The Divine Comedy ของ Dante
ภาพนรกขุมที่ 8 'Fraud' ใน The Divine Comedy วาดโดย Botticelli
นิ้วของเขาถูกชูขึ้นมาทีละหนึ่งขณะที่กล่าวต่อ “นรก แดนชำระ และสวรรค์”
“ตัวเอกของเราที่กำลังพูดถึงนี้ มาจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดและมีอำนาจสูงสุดในฟลอเรนซ์ อิตาเลียนเรอเนสซองส์จะไม่มีทางเฟื่องฟูในแบบที่เป็น...หากไม่มีพวกเขา”
มาถึงจุดนี้ผมรู้แล้วว่าเขากำลังจะพูดถึงใคร
“ตระกูลเมดิชี”
โรเบอร์โต้พยักหน้าอย่างพอใจ
“ในจำนวนนรกทั้ง 9 ขุมของดันเต มีอยู่ขุมหนึ่งที่ตระกูลเมดิชีหวาดกลัวเป็นที่สุด นั่นก็คือขุมที่ 7 อันเป็นบาปจากการกระทำรุนแรง ซึ่งรวมถึงการปล่อยเงินกู้แบบหน้าเลือด
ดันเตเล่าไว้ในบทกวีว่าตอนมีชีวิตอยู่พวกคนเหล่านี้ไม่ได้ใช้สองมือทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่เอากำไรจากการทำงานของผู้อื่น วิญญาณที่ถูกลงโทษนั้นจึงต้องทุกข์ทรมานจากการถูกลมพายุกรรโชกที่บางครั้งก็พัดทรายร้อนจัดหรือเปลวไฟมาใส่ทำให้พวกเขาต้องยกมือขึ้นมาปัดป้องอยู่อย่างนั้นจนชั่วนิรันดร์”
“ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าจิโอวานนี ดิ บิชชิ ต้นตระกูลผู้ก่อตั้งธนาคารเมดีชี และโคสิโม เดอ เมดีชี ลูกชายของเขาที่รับช่วงต่อ จะหวั่นใจกับชีวิตหลังความตายของพวกเขาและครอบครัวขนาดไหน แม้ว่าธนาคารเมดีชีจะเป็นธนาคารที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรปขณะนั้น แต่กองเงินของพวกเขา ก็ไม่อาจทำให้ใจสงบได้เมื่อนึกถึงภาพนรกของดันเต”
ผมนึกถึงเหล่าบรรดาศิลปินภายใต้การอุปถัมป์ของเมดิชี ไม่ว่าจะเป็น ฟรา อันเจลีโก ฟิลิปโป ลิปปี บอตตีเชลลี โดนาเทลโล มิเคลันเจโล ดาวินชี และราฟาเอล และงานศิลปะมากมายก่ายกองที่เป็นสมบัติของตระกูลเมดิชี พลันนึกถึงทางแก้ปัญหาด้านจิตวิญญาณของเมดิชีขึ้นมาได้
“ถ้ามีเงินเยอะนัก ก็ใช้เงินไถ่บาปเอา…ใช่ไหมครับ”
นักการเงินชาวอิตาเลียนหัวเราะชอบใจ
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ ทางออกของปัญหานี้มีชื่อว่า ซาน มาร์โก”
ด้านหน้าอาราม ซาน มาร์โก
โรเบอร์โต้เล่าว่า ในปีค.ศ. 1430 เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปายูจีนที่ 4 เสนอให้ โคสิโม เดอ เมดีชี สนับสนุนค่าก่อสร้างและบูรณะอาราม ซาน มาร์โก อันเป็นโบสถ์และที่พักของเหล่านักบวชคณะโดมินิกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับการไถ่ถอนบาป...สำหรับโคสิโมข้อตกลงนั้นราวกับสวรรค์มาโปรด
“สัญญาการแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐานบนแผ่นแกะสลักเหนือประตูทางเข้าห้องของโคสิโมด้วยนะ สมกับเป็นนายธนาคารจริง ๆ”
ข้อความระบุไว้ว่า Pope Eugene IV ไถ่ถอนบาปทั้งปวงของ Medici เพื่อแลกเปลี่ยนกับการก่อสร้างอารามแห่งนี้
เราหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แต่ผมยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่
“ตะกี้ที่พูดถึงทางเข้าห้องของโคสิโม เขามีห้องส่วนตัวในอารามด้วยเหรอครับ”
“ใช่แล้ว อ้อ ผมลืมเล่าไปว่าภายในอารามนักบวชแต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวขนาดเล็ก ๆ เอาไว้พักและสวดภาวนา แต่ละห้องมีภาพวาดสีบนผนังปูนเปียก (เฟรสโก) จำลองเหตุการณ์จากพระทรมานของพระเยซู ซึ่งเป็นผลงานของ ฟรา อันเจลีโก นักบวชผู้เป็นศิลปินชื่อดังผู้พำนักในอาคารแห่งนี้
โคสิโมเองก็สร้างห้องของเขาเอาไว้เหมือนกัน เพื่อปลีกวิเวกและสวดภาวนา และภายในห้องนั้นก็ยังมีพื้นที่ต่อออกไปอีก ซึ่งประดับด้วยภาพเฟรสโกอีกหนึ่งชิ้นที่พิเศษกว่าชิ้นอื่น ๆ”
Fra Angelico, The Annunciation, c. 1443, fresco, 195 x 273 cm, Convento di San Marco, Florence
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป
”เดาว่าเกี่ยวกับการไถ่ถอนบาปใช่ไหมครับ ถ้าผมมองในมุมของโคสิโม จ่ายเงินสร้างอาคารทั้งหลังไปขนาดนี้แล้ว คงต้องทำให้มั่นใจว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะคุ้มค่านะครับ”
ดวงตาสีเขียวคู่นั้นเป็นประกายด้วยความขบขัน
“สมกับเป็นรุ่นน้องของพีร์จริง ๆ ฮ่าๆๆ ที่คุณพูดมาก็ใกล้เคียงนะ ภาพวาดที่ว่านี้คือภาพเล่าเหตุการณ์การมาถึงของนักปราชญ์สามองค์ ที่มาจากแดนไกลเพื่อนำของขวัญมามอบให้แก่พระกุมารเยซู ของขวัญทั้งสามชิ้นคือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ
ในมุมมองของโคสิโม นักปราชญ์คือสัญลักษณ์ของผู้ร่ำรวยและความดี แทนตัวตนที่สองของตระกูลเมดิชี และแน่นอนว่าอารามแห่งนี้ก็ถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่จากโคสิโมเพื่อไถ่บาปของเขา”
ภาพวาดเฟรสโก้ในห้องของ Cosimo "Adorations of the Magi and Man of Sorrows" c 1441-42
เวลาในช่วงบ่ายกับแขกวีไอพีของผม ผ่านไปไวกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาเรียกรถมารับไปส่งที่โรงแรมตามที่พี่พีร์ได้วางแผนไว้ โรเบอร์โต้ชวนให้ผมติดรถนั่งไปด้วยกัน ทันทีที่เริ่มออกเดินทางเสียงเพลงในรถก็ดังขึ้น
เสียงหัวเราะของแขกพิเศษผู้มาเยือนระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง จนผมสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือน ก่อนที่เขาจะพึมพำออกมา
“Mo Money Mo Problems…ใช่แล้วล่ะยิ่งมีเงินมาก ปัญหาก็มากตามมา May God bless our soul.”
รถพุ่งทะยานออกไปสู่ถนนใหญ่พร้อม ๆ เม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายราวกับถูกส่งมาช่วยชำระล้างจิตใจ
🎵 “I don't know what they want from me
It's like the more money we come across
The more problems we see…”🎶
ฟังเพลง “Mo Money Mo Problems” (1997) โดย The Notorious B.I.G. ft. Puff Daddy and Mase ได้ที่นี่ 👇
“The love of money is the root of all evil”
- BIBLE, 1 Timothy 6:10 –
เรื่องในตอนนี้ได้แรงบันดาลใจในการขยายเรื่อง และยืมตัวละครต่อจากจักรวาลเรื่องเล่าจากชมรมศิลป์ที่เพจ FA Talk ได้ลงไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วครับ ใครยังไม่ได้อ่านขอแนะนำครับ
ขอบคุณพี่ FA ที่ช่วยลากเส้นขนานของโลกการเงินและศิลปะให้มาเชื่อมโยงกันในมุมที่เราอาจจะคาดไม่ถึง ตามไปอ่านได้ที่ด้านล่างนี้เลย
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นข้อมูลจริงผสมส่วนที่แต่งขึ้นเพื่ออรรถรสในการนำเสนอ
แล้วพบกันใหม่ในชมรมศิลปะนอกเวลาครั้งหน้าครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา