17 ก.ย. 2020 เวลา 05:31 • ปรัชญา
เมื่อถึงคราวต้องใช้พรหมวิหาร4 กับลูกที่บ้านแล้ว อนาคตทั้งหมดของเขาอยู่ที่การมีความรู้และการที่จะใช้ชีวิตในสังคมให้รอด จริงหรือ?
พ่อแม่ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตหรือลูกที่ขาดประสบการณ์ แต่ต้องการเลือกการมีอนาคตที่ไม่เหมือนพ่อแม่ ?
cr: thaipost tvhd.com
สุดแรงเหวี่ยงเมื่อลูกออกไปเดินตามถนนในวันที่ต้องดูแลรักษาอนาคตของตนเองกับการศึกษา ความเห็นต่างจะเป็นอย่างไรหรือใครเป็นท่อน้ำเลี้ยง ถูกหลอกหรือพร้อมใจ ไม่เกี่ยวกับบทความนี้ แต่วันนี้จะขอเขียนถึงพ่อแม่ที่หวังจะให้ลูกที่มีอนาคตสวยงาม และเพราะความรักผูกพันที่มีหวังให้เขาสุขสบายเมื่อพ่อแม่จากโลกนี้ไปแล้ว
และเมื่อลูกเลือกเส้นทางที่ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่คาดหวัง บทลงโทษ จากการเห็นสิ่งที่ลูกกำลังทำ กลายเป็นอารมณ์ผิดหวังที่สะท้อนพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการดุด่า เฆี่ยนตี ตัดพ้อต่อว่า ตัดขาด ทำทุกอย่างที่จะแสดงให้รู้ว่าว่าใครเป็นผู้กำชีวิตของเขา อนาคตของเขาไว้ในกำมือ
ใช่คุณกำลังแสดงอำนาจและคุณมีอำนาจนั้นอย่างชอบธรรม??
รู้มัยถ้าลูกเจ็บใครเจ็บกว่าลูก
คำว่าแก้วตาดวงใจไม่ใช่คำเรียกขานที่เกิดขึ้นมาลอยๆ
ยิ่งคุณระเบิดอารมณ์แรงเท่าใดผลสะท้อนกลับมาที่คุณยิ่งเจ็บเท่านั้นเพราะอะไร
แก้วตาดวงใจ=ลูก=ตัวคุณเองเพราะนั้นคือแก้วตาและดวงใจของคุณ
จริงหรือไม่!!
เข็มทิศชีวิต สำหรับพวกเราที่ผ่านโลกมานาน บ้างอย่างได้ตกผลึกเป็น
ตรรกะที่อยู่ในระดับการรับรู้พื้นฐานในบางเรื่องแล้วอย่างแท้จริง วัยเรียน
ก็ต้องเรียนหนังสือ
พวกเราเข้าใจอย่างท่องแท้ แม้แต่คนที่ไม่ได้มีวุฒิปัญญาหรือปริญญาหลายใบต่างก็เข้าใจว่า วัยเด็กคือวัยเรียน เป็นวัยที่ต้องเล่าเรียน พ่อแม่
ที่มีปัญญา ส่งให้ลูกเล่าเรียนก็จะพยายามส่งเสียให้ลูกได้เรียนสูงๆเพื่อให้ลูกสุขสบาย(อย่าลำบากเหมือนพ่อแม่) อย่างน้อยก็จะได้เลี้ยงชีพด้วยตัวเองเสมอพ่อแม่ หรือเท่าที่โอกาสความสามารถที่พ่อแม่จะสร้างให้ได้
รัฐบาลกำหนดระดับการศึกษาภาคบังคับ ที่มัธยมศึกษาปีที่ 3
เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำไว้
ใครสูงกว่านั้นก็ไม่มีปัญหา เด็กหลายๆยังไม่เข้าใจเรื่องช่วงเวลาของวัย(บางคน) เด็กอาจคิดว่าถูกบังคับให้เรียนตามคนอื่นๆที่ต้องเรียน อาจคิดแค่ที่พ่อแม่บอกเล่ากล่าวขานว่าการเรียนจะทำให้เกิดอนาคตที่ดี จริงหรือเปล่าก็ไม่ได้สนใจ(??)
เด็กอาจยังไม่รู้และเข้าใจถึงคำว่าอนาคต ดีๆ นั้นเป็นอย่างไร ถ้าตั้งใจเรียน เรียนเก่งเรียนดี อนาคตดีจริงหรือ เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นหลายๆอย่างในช่วงชีวิตและเวลาที่ผ่านมาไม่นาน ภาพที่เห็นหลายอย่างไม่ได้สะท้อนความสำเร็จหรือสูตรสำเร็จของชีวิต ความยากลำบากจากการทำงานที่พ่อแม่อาจบ่นให้ฟัง ภาพลูกเศรษฐีจบเมืองนอกเมืองนาก่อเหตุร้ายแรง ความแตกต่างของชนชั้น คนทำงานที่ไม่เคยชอบงานที่ทำคนตกงาน ฯลฯ
คนที่เป็นพ่อแม่ต่างพุ่งมองไปที่กลุ่ม ม็อบ ลูกของฉันคือหนึ่งในนั้นฉันจะเอาลูกของฉันกลับบ้านให้ได้ วัยเด็กคือวัยของการเล่าเรียนศึกษาพวกเธอไม่รู้หรือยังงัย เสียงเด็กๆก็แว่วมา ก็ถ้าไม่เรียนตามระบบเราก็หาวิธีอื่นเรียนได้ กยศ. สายอาชีพคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนไม่เห็นต้องได้จากใบปริญญา
มีอะไรไม่จริงจากคำพูดของเด็กๆบ้าง เราให้เขาไปโรงเรียนตามระบบทุกวันพยายามทำในสิ่งที่สังคมมองว่าดีถูกต้อง เราเข้าใจว่าในวันหนึ่งลูกจะเข้าใจเองว่าการที่ลูกเล่าเรียนศึกษาจะเป็นรากฐานของอนาคตที่จะต้องทำงาน เวลาในช่วงเป็นเด็กที่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรพ่อแม่ทุ่มเทให้ก็ประมาณ 22 ปี+++(+,- ค่าเสียหายกันเอง)
วัยทำงานก็หลังจากที่จบการศึกษาเป็นต้นไป(30-40++) บริบทของคนทั่วไปอาจแตกต่างไม่เหมือนกันบางคนจบแค่ระดับพื้นฐาน ต้องออกมาช่วยครอบครัว บางคนก็มีอาชีพของครอบครัวเป็นเส้นทางที่รอให้กลับมาดำเนินการต่อ
และอีกหลายๆความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ในเมื่อกำหนดไม่ได้เราจะทำอย่างไรกับทางเลือกของลูก
ลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจ กำลังเรียนรู้ความเป็นไปของโลกไม่ใช่แค่ไปโรงเรียนหรือเพื่อเรียนให้จบเท่านั้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่เริ่มตั้งไข่เกาะโซฟา หรือยืนด้วยตัวเอง ลูกคาดหวังว่าจะช่วยเหลือประคับประครองเขาก็คือที่พ่อแม่หรือคนที่บ้าน จะเป็นใครก็ได้ และถ้าคนที่บ้านยื่นคำขาดให้เลือก ไม่ว่าลูกจะเลือกผิดหรือถูกใจก็ตาม คนที่เจ็บหรือมีความสุขไม่น้อยกว่าลูกก็คือพ่อแม่หรือคนที่บ้าน สุดท้ายผลกระทบต่อสังคมที่จะตามมา
เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กที่จะคิดได้คิดเป็น ในแง่มุมที่ผู้ใหญ่ใช้คำว่าได้พูดคุยหรืออธิบาย อย่าคิดว่าเด็กโง่ไม่รู้เรื่อง เด็กสามารถมีสัญชาตญาณระแวงภัยและรับรู้บางอย่างมีความผิดปกติหรือไม่ชอบมาพากล แต่สิ่งที่เด็กทำอาจมองด้วยสายตาผู้ใหญ่ว่าทำตามภาษาเด็กคือการขาดเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เมื่อหลักการปกครองคนอาจต้องนำมาพิจารณาที่บ้านและเราต้องใช้ให้เป็นเข็มทิศชีวิตให้ลูกและตัวเราเอง
พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เมตตา
คือ ปรารถนาให้เขามีความสุข ต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ประเด็นนี้คือใจความหลักที่หลายคนๆอาจยังไม่ท่องแท้เพราะหลงลืม ลูกไม่ได้รู้สึกทุกข์กับการที่ออกไปเดินตามถนน บางคนอาจรู้สึกมีคุณค่า มีมิตรที่มากมายเกิดขึ้น มีคนที่เข้าใจตัวเขา(พ่อแม่ไม่เข้าใจ?) เราเมตตามาตลอดชีวิต ที่ออกกฏบังคับทั้งหลายก็เพราะความเมตตาเรามองว่าเขาคิดผิดที่ละทิ้งการเรียน คิดผิดที่ใช้ช่วงเวลาเรียนออกมาทำกิจกรรมที่เราเองมองว่ากำลังทำลายอนาคตของเขา
กรุณา
คือ ลงมือช่วยเขาให้พ้นทุกข์ แต่สิ่งที่เรากำหนดคือบทลงโทษสำหรับคนไม่เชื่อฟัง ไม่ไปเรียนแหกกฏกติกาบ้าน พ่อแม่อย่าลืมว่าสิ่งที่ลูกต้องการกับสิ่งที่เราต้องการ ในขณะนี้คืออะไรและความจริงของความกรุณาที่จะช่วยให้เขาพ้นทุกข์จากการไม่รู้ทั้งหลาย ในขณะที่คิดว่าเรารู้แจ้งรู้จริง รู้ทุกอย่างแล้วจากประสบการณ์ว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นวัฏจักรที่ซ้ำซากมาตลอดแต่พวกเด็กๆยังไม่เคยรู้ เราจะทำยังไงให้ความกรุณาที่มีอยู่ล้นอก แต่ต้องไล่ลูกออกจากบ้าน ทำร้ายเขาทุกทางที่คิดว่าจะทำให้เขาสำนึก
cr:matichon.tvhd
มุทิตา
คือ ยินดีกับความสุขความสำเร็จของเขา บางครั้งความต้องการความสำเร็จของเขา คือสิ่งที่พ่อแม่อาจมองว่ามันคือจินตนาการความเพ้อฝันหลายสิ่งที่เด็กอาจยังแยกไม่ออกเพราะเวลาที่มีมามันจำกัดในการใช้ชีวิตที่ผ่นมา ประสบการณ์ในบางเรื่องยังไม่เกิด คนที่แขนขาดมีชีวิตอย่างไรเขายังไม่รู้ แขนขาดคือคนที่ไม่มีแขน คือคำจำกัดความสั้นๆของเขา เพราะเขาอาจยังไม่ท่องแท้กับความจริงของการที่ชีวิตของคนที่แขนไปหนึ่งข้างนั้นสำคัญแค่ไหน ลำบากแค่ไหนที่จะต้องใช้ชีวิตเพียงแขนข้างเดียว และถ้าเลือกได้คงไม่เอาแขนข้างหนึ่งไปแลกกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น แม้การแขนขาดคือความท้าท้ายของความสำเร็จแต่การมีอวัยวะครบๆยังไม่แน่ที่ชีวิตอาจจะถึงดวงดาว แต่ถ้าแขนขาดแล้วไปได้ไกลนั้นคือ ยอดคน
ถ้าวันนี้ลูกยังไม่สามารถสร้างความยินดีหรือความสำเร็จที่เขาต้องการได้ มุทิตาของพ่อแม่เกิดได้อย่างไร ลองไตร่ตรองด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร และโปรดอย่าลืม เวลาของลูกคืออดีตที่เราเองเคยผ่าน และลูกคือเลือดเนื้อที่บอกได้ว่า ความดื้อของเขาคือผลงานของเรา
อุเบกขา
คือการวางเฉย นิ่งแต่รับรู้รักษาสมดุลของจิตใจของตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากความ เมตตา กรุณา มุทิตา และสุดท้ายมาที่อุเบกขา
สำหรับการวางเฉยนั้น เราเลือกที่จะหาความสงบให้จิตใจที่พร้อมจะกลับไปเริ่ม เมตตาใหม่ กรุณาใหม่ อุเบกขาใหม่ ให้เกิดได้ตลอดเวลาแม้จะต้องเจ็บปวดอีกครั้งกับการที่ไปต้องเริ่มต้นใหม่ นั้นคือการที่จะพยายามให้สังคมส่วนรวมและทุกๆคนได้อยู่กัน
การเลือกแล้วในจิตใจของใครล้วนต้องรอการตกผลึก ไม่ว่าจะเป็นการ กระทำของ พ่อแม่ ลูก ทุกอย่างต่างมีเส้นทางที่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นตามสัจจธรรม "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" ยิ่งเรากระแทกหรือกำหมัดใส่ใครด้วยแรงแบบไม่ยั่งเราก็ได้แรงสวนที่เท่านเทียมกัน
เรากำหนดชีวิตใครไม่ได้ เราอาจคิดว่าเรามีหน้าที่สร้างควบคุม และรับผิดชอบ ชีวิตของลูกให้เดินตรงทาง ไม่ไปตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กที่ไหน ไม่ไปทำร้ายสังคมหรือทำตัวแย่ๆสุดท้ายอนาคตต้องไปจบในที่แย่ๆ
cr:thairath. com
ทุกคนปรารถนาสิ่งที่จะให้เกิดขึ้นดีงามทั้ง 2 ฝ่าย แต่เมื่อมาถึงขณะนี้ปัญญาธรรมของแต่ละครอบครัวจะเป็นเช่นใด คงต้องใช้เวลาพิสูจน์ให้เห็นแจ้งปรากฏจริงขึ้น ไม่มีใครบอกถึงความสำเร็จในอนาคตได้ แต่ปัจจุบันจะเป็นตัวกำหนดอนาคต ท่องไว้
เป็นความคิดเห็นที่เกิดขึ้นเพื่อสะท้อนในบางครอบครัวที่กำลังประสบปัญหากับคนในครอบครัวอันเป็นที่รัก ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีเจตนาพาดพิงหรือตำหนิผู้ใด ถ้าคิดต่างก็เลื่อนผ่านและ🙏ขอโทษถ้าไม่ตรงใจบางท่าน
reference
โฆษณา