6 ก.ย. 2020 เวลา 18:27 • การเมือง
บทวิเคราะห์: กระแสการแบนมู่หลาน ไม่กระเทือนอะไร Disney !
ช่วงนี้มีประเด็นเรื่องการบอยคอตหนังเรื่อง Mulan ของ Disney กันไปตามๆกันทั่วเอเชียตะวันออก ทั้งในฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และแม้แต่ในไทยเองก็ตาม โดยมีตัวตั้งตัวตีคนสำคัญคือ Joshua Wong ส่วนในไทยก็มีเนติวิทย์ออกมาถือป้ายรณรงค์
โดยต้นเรื่องนั้นมาจากกรณีที่ดาราหญิง Liu Yifei นางเอกของเรื่องได้โพสต์ข้อความบน Weibo ว่าตัวเธอนั้นสนับสนุนการกระทำ และการจัดการม็อบของตำรวจฮ่องกง เมื่อปี 2019 (ซึ่งนั่นทำให้มีการตีความสารของเธอว่าเธอสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วงชาวฮ่องกง)
ก็เลยพัฒนาขึ้นมาเป็นกระแสในการบอยคอตหนัง Mulan และตัวดารา Liu Yifei จริงๆประเด็นนี้ไม่ใช่มีแค่ Liu Yifei เท่านั้นที่โดนจุดกระแสบอยคอต แต่ตัว Donnie Yen นักแสดงที่รับบทแม่ทัพของค่ายที่มู่หลานไปประจำการอยู่เองก็โดน Joshua Wong จุดกระแสต่อต้านเช่นกัน
ทาง Joshua Wong นั้นอ้างว่า Donnie Yen เคยทำ Blackface หรือทาหน้าให้เป็นสีดำ เลียนแบบ ล้อเลียนคนผิวดำมาก่อน ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่เหยียดเพศ จึงควรมีการแบน และบอยคอตผลงานของดาราเหล่านี้
ผมไม่ได้อยากจะขัดหรือคัดค้านแนวทางของน้องๆที่รักประชาธิปไตย หรือขบวนการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในฮ่องกง หรือในไทยแต่อย่างใด แต่อยากจะชวนมาขบคิดกันอีกด้านหนึ่ง ถึงกรณีดังกล่าวนี้
วงการ Hollywood ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมานี้เริ่มมีการขยายตลาดและฐานลูกค้าออกมานอกสหรัฐอเมริกาเยอะมาก และหนึ่งในตลาดที่ค่ายหนังภายใน Hollywood นั้นพยายามจะเจาะมากที่สุดก็คือ ตลาดที่ประเทศจีน
จะสังเกตได้ว่าในช่วงหลายปีนี้มีหนัง Hollywood ที่เน้นทำออกมาขายให้ประเทศจีน และคนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ใครที่เป็นแฟนๆหนัง Hollywood คงน่าจะเคยได้ยินผ่านๆหูกันมาบ้าง ถึงกรณีที่ค่ายหนังใน Hollywood เริ่มมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหา
และตกแต่งเนื้อหาภายในหนังบางส่วน หรือเพิ่มฉากพิเศษ เพิ่ม Easter eggs ต่างๆเพื่อที่จะได้เอาไปฉายให้กับโรงหนังภายในประเทศจีนโดยหวังจะโกยเงินรายได้หลัก 500-600 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากประชาชนชาวจีนที่มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านคน
ซึ่งถือว่ามากกว่าประชากรสหรัฐอเมริกาถึง 2-3 เท่าตัว (ปัจจุบันประชากรอเมริกาทั้งหมดยังมีไม่ถึง 350 ล้านคนเลย และุถึงขนาดเอาประชากรไปรวมกับในแถบสหภาพยุโรปก็ยังมีไม่เท่าประชากรจีน)
ตลาดจีนภายในอุตสาหกรรมหนังของ Hollywood จึงกลายมาเป็นหมุดหมายแห่งใหม่ที่ใครๆก็อยากจะโดดเข้าไปมีบทบาทในการเล่น เพราะถึงประเทศจีนจะยังมีหลายเมืองทางตะวันตก ที่ผู้คนยังยากจนกันอยู่
แต่แค่พวกมณฑล และหัวเมืองในแถบชายฝั่งทะเลทางตะวันออกนั้น ประชากรรวมกันก็มีมากกว่าแถบตะวันตกเยอะแล้ว แถมมีกำลังซื้ออย่างเต็มที่ เพราะเศรษฐกิจก็อยู่ในสภาพที่ดีกว่า
ที่สำคัญคือ ตั้งแต่มีไวรัส COVID-19 ระบาดกันทั่วโลกมาตั้งแต่ต้นปี 2020 อุตสาหกรรมโรงหนัง และหนังทั่วโลกก็เริ่มซบเซา หนังเกือบทุกเรื่องถูกเลื่อนฉายออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลายๆเรื่องถึงขั้นต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก กว่าจะได้กำหนดวันฉายจริงๆจังๆ
ณ เวลานี้อุตสาหกรรมโรงหนังภายในอเมริกาเองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวง่ายๆกันเลย เพราะมีทั้งการก่อม็อบ มีทั้งการล็อคดาวน์ขนาดย่อมๆในบางพื้นที่ และมีทั้งภาวะการระบาดของ COVID-19 ที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบง่ายๆ
โรงหนังก็ไม่ได้เปิดจริงๆจังๆสักที หนังหลายๆเรื่องถึงขั้นต้องวางแผนที่จะเปลี่ยนทิศทางจากการนำหนังขึ้นฉายที่โรงไปเป็นการส่งหนังของตัวเองเข้าสู่ระบบสตรีมมิ่ง หรือพวกเว็ปดูหนังโดยตรงกันไปเลย ทำให้ต้องขาดรายได้จากการขายตั๋วไปตามๆกัน
ทว่าในเอเชียนั้น สถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่สหรัฐอเมริกา เพราะหลายๆประเทศในเอเชียเองไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะการติดเชื้อที่รุนแรงเท่ากับในแถบยุโรป การจะเปิดโรงหนัง หรือเอาหนังมาฉายให้ประชาชนดูจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินความจำเป็น
แน่นอนหนึ่งในประเทศที่กำลังเปิดโรงหนังให้คนออกมาเที่ยวภายในประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจกันอยู่ก็มีทั้งไทย และจีน ที่เริ่มทยอยเปิดโรงหนังให้คนเข้าไปดูหนังกันได้ตั้งแต่ช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา
สภาพพื้นฐานและแนวโน้มความเป็นไปได้หลังจากนี้ คงจะได้เห็นวงการ Hollywood ต้องพึ่งพาตลาดจีนไปอยู่อีกพักใหญ่ๆ ผมไม่คิดว่าค่ายหนังอย่าง Disney จะสนใจกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ และการบอยคอตหนังเรื่อง Mulan แต่อย่างใด
เพราะกระแสภายในจีนนั้นค่อนข้างสวนทางกับกระแสที่ฮ่องกง คนจีนจำนวนมากพอเห็น Joshua Wong โพสต์ข้อความชักชวนให้แบนหนัง Mulan ก็เกิดอาการรักชาติ ชาตินิยมพยายามช่วยจุดกระแสแทงสวน Joshua Wong
ด้วยการรณรงค์ให้คนภายในประเทศจีนหันไปช่วยกันอุดหนุนหนังที่ Liu Yifei แสดงกันยกใหญ่ โดยไม่สนใจคำกล่าวหาของ Joshua Wong และพรรคพวกที่เปิดหน้าวิจารณ์ Liu Yifei ว่าเป็นพวกไม่เคารพหลักสิทธิมนุษยชน
ดังนั้น ต่อให้แบน Mulan ไปในวันนี้ ก็คงไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อภาพรวมของหนังมากมายนัก และอีกอย่างทาง Disney เองก็ไม่ได้คาดหวังรายได้จากโรงหนังเป็นหลักอยู่แล้ว เนื่องจากทางบริษัทได้สง Mulan ลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งให้คนจ่ายตังค์ดูที่บ้านกันไปเรียบร้อยแล้ว
และก็คงเป็นแบบเดียวกันกับค่ายหนังค่ายอื่นๆภายใน Hollywood ที่หลังจากนี้คงจะได้เห็นการปรับตัวเอนเอียงเข้าไปหาสังคม และลูกค้าชาวจีนมากยิ่งขึ้น เพื่อขยายฐานแฟนคลับ (อย่างน้อยๆก็ในช่วง 2-3 ปีให้หลังจากนี้ เพราะดูทรงแล้วอุตสาหกรรมโรงหนังของจีนน่าจะฟื้นตัวได้ก่อนใครเพื่อน)
ถึงแบนหนังเรื่อง Mulan ครั้งนี้ไป เดี๋ยวพวกค่ายหนังใน Hollywood ในอนาคตก็ทำหนัง หรือนำนักแสดงที่มีลักษณะ ทัศนคติคล้ายๆกันกับ Yifei นี้ออกมาฉายกันอีกเรื่อยๆ แค่การประท้วงของคนฮ่องกง ไต้หวัน หรือในไทย ในทางปฏิบัติแล้วไม่น่าจะทำให้ Disney และวงการ Hollywood เจ็บเสียหายถึงขั้นต้องเปลี่ยนแนวทางง่ายๆหรอกครับ
** ใครเป็นแฟนหนังมาก่อน น่าจะทราบกันดีว่าไม่ได้มีแต่ค่าย Disney เท่านั้นที่ทำหนังเอาใจประเทศจีน และรัฐบาลจีน แต่ยังมีอีกหลายค่าย หลายผู้กำกับที่พยายามจะทำเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดภายในจีนเพื่อที่จะเรียกเงินจากลูกค้าชาวจีน ใครสนใจเรื่องอุตสาหกรรมหนัง Hollywood และความสัมพันธ์ที่มีต่อจีนนี้สามารถไปหาอ่านเพิ่มเติมได้จากนิตยสาร The Economist ฉบับสุดท้ายของเดือนสิงหาคมก็ได้ มีรายละเอียดปลีกย่อยให้อ่านอยู่ครับ
โฆษณา