4 ต.ค. 2020 เวลา 11:05 • กีฬา
คัลเวิร์ต เลวิน: จากกองหน้าหมูหกสู่ดาวยิงตัวท็อปพรีเมียร์ลีก | MAIN STAND
เล่นนอกลีก - โดนอัดเละตอนสมัยอยู่ลีกทู - เล่นในลีกวันโดยยิงประตูไม่ได้สักลูก และสำคัญที่สุดคือการเคยเป็นกองหน้าที่น่าผิดหวังของ เอฟเวอร์ตัน จนต้องถูกจับโยกไปเล่นวิงแบ็คเมื่อ 3 ปีก่อน
นี่คือเรื่องราวก่อนที่ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ก่อนที่เขาจะครองตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกและทำให้ เอฟเวอร์ตัน ชนะรวด 4 เกมในทุกวันนี้
อะไรคือจุดเปลี่ยนจากคนที่ดูยังไงก็น่าผิดหวัง... ให้เป็นความหวังใหม่ของทีม ติดตามได้ที่นี่
เด็กยักษ์จากลีกทู
มีไม่บ่อยครั้งนักที่นักเตะดาวรุ่งจากลีกวันจะไต่ระดับก้าวขึ้นมาจนติดทีมชาติอังกฤษได้ แต่ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน คือหนึ่งในนั้น
Photo : sufc.co.uk
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในอคาเดมี่ของทีม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ยัอนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน คัลเวิร์ต-เลวิน ในวัย 8 ขวบ เข้าทดสอบฝีเท้าและได้เข้าสู่ทีมเยาวชนของทัพดาบคู่ หลังจากนั้นเขาก็หาตัวเองเจอในการเล่นตำแหน่งกองหน้า ผ่านการฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นจนได้ทุนการศึกษาจากทีมตอนอายุ 16 ปี และเติบโตขึ้นเเบบก้าวต่อก้าว จนสามารถขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ
จุดเด่นของ คัลเวิร์ต-เลวิน คือเขาเป็นเด็กตัวสูงใหญ่ ขายาวและวิ่งได้เร็วมาก ด้วยความสามารถเหล่านี้เขาสามารถลงเล่นในระดับลีกวัน ซึ่งเป็นลีกที่ เชฟฯ ยูไนเต็ด อยู่ ณ เวลานั้นได้ เพียงแต่ว่าเมื่อต้องเล่นกับทีมชุดใหญ่และต้องเจอกับคู่แข่งที่เตะเป็นเตะ หวดเป็นหวด เขาจะต้องฝึกรับมือกับเหล่าแข้งโหดเหล่านี้ให้ได้ก่อน ดังนั้นทีมงานโค้ชของ เชฟฯ ยูฯ จึงจับเขาส่งให้ทีมนอกลีกอย่าง สตาลี่ย์บริดจ์ เซลติก และทีมลีกทูอย่าง นอร์ธแฮมป์ตัน ยืมตัวไปใช้งานก่อน และเขาก็พบว่ามันยากจริงๆ
"เกมแรกที่เล่นให้กับ นอร์ธแฮมป์ตัน ผมได้ลงในนัดที่เจอกับ แบล็คพูล ในฟุตบอลถ้วย ตอนนั้นผมยิงประตูแรกได้ด้วยนะ ผมคิดว่ามันน่าจะไม่ยากเกินใจเราหรอก แต่เกมต่อไปที่เราต้องเจอกับ บาร์เน็ต ตอนนั้นแหละสุดๆไปเลย"
"เกมกับ บาร์เน็ต ผมได้เจอกับกองหลังที่ชื่อว่า บิรา เดมเบเล่ เซ็นเตอร์ร่างยักษ์ ไอ้หมอนี่เห็นผมกระโดดขึ้นโหม่งเมื่อไหร่เขาจะอัดผมเต็มแรงเกิดเมื่อนั้น ผมจำได้ว่าผมโดนอัดที่หัวจนน่วม ตอนนั้นผมรู้เลยหมอนี่กำลังจะบอกผมว่า ยินดีต้อนรับสู่ลีกทูนะไอ้หนู"
ทุกอย่างต้องเริ่มจากการเรียนรู้ และคนที่ช่วยสอนให้ คัลเวิร์ต-เลวิน เข้าใจถึงการเล่นในระดับอาชีพที่แท้จริง ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ คริส ไวล์เดอร์ กุนซือคนปัจจุบันของ เชฟฯ ยูไนเต็ด ที่ ณ เวลานั้นยังคุมทีม นอร์ธแฮมป์ตัน ในลีกทู นั่นเอง
"คริส ไวล์เดอร์ น่ะสำคัญกับผมมากๆเลย เขาคือแฟนเชฟฯ ยูฯ เต็มขึ้น เขาจึงดูแลและสอนผมอย่างดี เรื่องหลักๆที่เขาสอนคือการจัดการตัวเองในการเล่นแบบลีกอาชีพ เขาบอกผมว่าผมน่ะเร็วมาก แข็งแรงด้วย”
“แต่ตอนนั้นผมยังเปลี่ยนวิธีเล่นสมัยอยู่ทีมอคาเดมี่มาเป็นแบบการเล่นฟุตบอลของผู้ใหญ่ (บอลอาชีพ) ไม่ได้ เขาบอกทุกอย่างดีแล้ว แต่ผมต้องดุดันกว่านี้ คริส บอกว่าเอาเลยไอ้หนูห้าวๆหน่อยสิวะ"
Photo : www.zimbio.com
จุดเปลี่ยนเล็กๆนำไปสู่การกระโดดชนกับกองหลังร่างยักษ์ที่ชอบเล่นคนอย่างไม่กลัวเกรง คัลเวิร์ต-เลวิน เลิกหงอ แล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นมา เขาลงสนามให้ นอร์ธแฮมป์ตัน 26 นัด ยิงได้ 8 ประตู และมีส่วนร่วมกับเกมรุกของทีมทุกรูปแบบ เมื่อนั้น ไนเจล แอดกิ้นส์ กุนซือของ เชฟฯ ยูฯ ณ เวลานั้น ก็เห็นว่าเขาพร้อมแล้วที่จะลงเล่นในระดับลีกวัน
เลวิน กลับมาสู่สังกัดแม่พร้อมความเป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้น ไม่ใช่แค่การเล่น แต่มันคือการใช้ชีวิต ช่วงที่อยู่กับ นอร์ธแฮมป์ตัน เขาต้องอาศัยอยู่ในแฟลตร่วมกับเพื่อนนักเตะอีก 3 คนในห้องเดียวกัน วิชาชีวิตในการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆสำคัญมาก เขาสนิทกับหลายคนและเขารู้ว่าถ้าตนเองสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้ ก็จะสามารถช่วยรีดผลงานในสนามได้ดีขึ้น เพราะเกิดการเล่นที่เข้าขารู้ใจอะไรประมาณนั้น
"ผมโตขึ้นมากจริงๆหลังโดนปล่อยยืมตัว ผมได้มุมมองใหม่ๆ ได้สัมผัสชีวิตนักฟุตบอลของทีมชุดใหญ่แบบเต็มๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมั่นใจในตัวเอง ผมไม่หงอเเล้ว และเช่นเดียวกันผมว่าผมก็เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย" คัลเวิร์ต-เลวิน ว่าไว้กับ เดอะ การ์เดี้ยน เมื่อหลายปีก่อน
ก้าวกระโดดในปีเดียว
การบอกว่าตัวเองเก่งขึ้นอาจจะดูละเมอเพ้อพกเพราะความจริงเเล้ว เก่งไม่เก่งต้องให้คนอื่นชมจึงจะถูก แต่สำหรับ คัลเวิร์ต-เลวิน คงต้องบอกว่ามันเป็นข้อยกเว้น เด็กยักษ์จาก ลีกทู ได้ลงเล่นในลีกวันและแสดงความสามารถออกมาในการฝึกซ้อม แต่น่าเสียดายอยู่อย่าง ตรงที่เมื่อเขากลับมา ไนเจล แอดกิ้นส์ ก็โดนออกจากตำแหน่งไปก่อน และมี ไนเจล คลัฟ เข้ามาคุมทีมแทน เขาจึงต้องรอสักพักเพื่อจะได้พิสูจน์ตัวเองกับต้นสังกัดที่แท้จริง ซึ่งเป็นทีมรักของเขาด้วย
Photo : www.sheffieldtelegraph.co.uk
คนที่ได้รับหน้าที่ให้คอยจับตาดูพัฒนาการของ คัลเวิร์ต-เลวิน คือ นีลล์ คอลลินส์ ผู้ช่วยของ คลัฟ และการที่ได้รับหน้าที่นี้ทำให้เขาเป็นคนแรกที่เริ่มสะกิดคลัฟว่า "เด็กคนนี้มีของ" ไม่ว่าจะด้วยสรีระที่ใหญ่แต่รวดเร็ว แถมทัศนคติก็ยังยอดเยี่ยม ดูแล้วยังไงก็ต้องดันให้ได้
"ทัศนคติของ คัลเวิร์ต-เลวิน ยอดเยี่ยมมาก และมันจับคู่กับความสามารถของเขาได้ดีเลยทีเดียว เขาเป็นคนทำงานหนักมากทั้งในสนามและนอกสนาม แม้กระทั่งการปรับสภาพร่างกาย เขาเองก็ให้ความสำคัญการพัฒนากล้ามเนื้อด้านต่างๆที่จำเป็น ดูเหมือนว่าเขาจะว่องไวและแข็งแรง สามารถเล่นได้ทุกที่ที่เขาอยากจะไป"
"พูดตรงๆร่างกายของเขาทำให้ผมนึกถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สมัยที่ยังไม่เข้ายิม แต่เมื่อได้รับการดูแลที่ถูกต้องแล้วเขาจะเติบโตเป็นจอมโหดได้แน่ๆ"
"สิ่งเหล่านี้ผมเห็นมาตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้ดูพัฒนาการของเขา บอกได้เลยว่า คัลเวิร์ต-เลวิน นี่แหละสามารถเปลี่ยนเกมได้ดี ทำประตูได้เยี่ยม ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าวันหนึ่งเขาจะประสบความสำเร็จ" คอลลินส์ ว่าไว้เช่นนั้น
Photo : www.thestar.co.uk
ทว่าคลัฟ ยังไม่ทันได้ทำตามที่ คอลลินส์ บอกเขาก็กระเด็นออกจากตำแหน่งเสียก่อน และเป็น คริส ไวล์เดอร์ เข้ามาคุมทีมแทน ซึ่งเป็นเหมือนคนที่รู้มือกันดี แต่กุนซือคนใหม่ก็มีโอกาสได้ใช้งานเขาเพียงแค่เกมเดียวในลีกคัพ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ทีมจากลีกสูงสุดอย่างเอฟเวอร์ตัน จะติดต่อขอซื้อตัวของเขาด้วยราคา 1.5 ล้านปอนด์
สำหรับทีมจากลีกวัน นักเตะราคา 1.5 ล้านก็ถือว่าไม่ได้แย่นัก (เมื่อ 5 ก่อน) และเมื่อบวกกับนักเตะอยากจะย้ายเพื่อความก้าวหน้า สโมสรก็ไม่ขวาง คัลเวิร์ต-เลวิน ก้าวกระโดดข้ามขั้นจาก นอกลีก, ลีกทู, ลีกวัน .... ก่อนจะข้ามไปพรีเมียร์ลีกเลย ทั้งๆที่ฟอร์มสนามยังไม่ได้โชว์อะไรชัดๆเลยด้วยซ้ำไป
พรีเมียร์ลีกมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
การกระโดดข้ามขั้นด้วยวัยแค่ 19 ปี แถมยังเป็นเวทีอย่างพรีเมียร์ลีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องยากอยู่แล้ว คัลเวิร์ต-เลวิน เองรู้สึกแบบนั้นทันทีที่มาถึง แม้จะมั่นใจมาจากไหน แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ ความกดดันที่ได้เจอในระดับนี้มันมากกว่าที่เขาเคยเจอไม่รู้กี่เท่า
"ที่เอฟเวอร์ตันความคาดหวังสูงมาก มันมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ถ้าคุณไปไม่ถึง คุณจะต้องเจอกับความยากลำบากและโดดเดี่ยวบนเส้นทางแน่นอน" นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกในวันแรก
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ คัลเวิร์ต-เลวิน อาจจะมาแบบก้าวกระโดด แต่ก็ต้องบอกว่าเขามาในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะทีมเปลี่ยนโค้ชบ่อยมากจนผลงานย่ำแย่จับต้นชนปลายไม่ถูก เรียกว่ามองอนาคตทีมไม่เห็นเลยด้วยซ้ำในช่วง 4-5 ปีก่อน
หนักที่สุดคือในยุคของ โรนัลด์ คูมันน์ (มิถุนายน ปี 2016 ถึง ตุลาคม 2017) ทีมซื้อนักเตะเข้ามาเยอะมากในแต่ละซัมเมอร์ แต่ก็หาจุดลงตัวไม่ได้สักที นักเตะในทีมโดนโยกตำแหน่งไปหลายที่ ส่วน คัลเวิร์ต-เลวิน นั้นหนักสุด เพราะเคยโดนจับไปเล่นเป็นวิงแบ็คมาเเล้ว ซึ่งมันไม่ได้ตรงกับขีดความสามารถที่เขามีเลยแม้แต่น้อย เขายิงได้แค่ลูกเดียวในปีนั้น ก่อนที่ทีมจะเปลี่ยนโค้ชมาเป็น แซม อัลลาร์ไดซ์ ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์ของเขาไม่ต่างจากเดิมเลย
เนื่องจากทีมไม่มีระบบการเล่นที่แน่นอน ผู้เล่น 11 ตัวจริงก็ยังหาไม่เจอ รวมถึงตัวเขาเองก็โดนโยกไปเล่นหลายที่ทั้งวิงแบ็ค ปีกซ้าย ปีกขวา หน้าต่ำ เรียกได้ว่าเล่นหมดทุกตำแหน่ง แต่ก็ไม่ดีสักตำแหน่ง
จุดอ่อนของ คัลเวิร์ต-เลวิน คือการยิงประตู เขามักจะเป็นคนที่ได้โอกาสจบสกอร์แบบ "ง่ายๆ" เป็นประจำ กล่าวคือการวิ่งหลุดเดี่ยวดวล 1-1 กับประตู หรือการเข้าแท็บอินที่เป็นของถนัดที่กองหน้าหมายเลข 9 ควรจะทำได้ แต่ เลวิน ก็พลาดแบบหมูหกอยู่บ่อยครั้ง จนบางทีแฟนเอฟเวอร์ตัน อดรนทนไม่ไหว ต้องโพสต์ระบายในทวิตเตอร์หลังจบเกมเป็นประจำ
มีครั้งหนึ่งที่ทวิตเตอร์ของสโมสร เอฟเวอร์ตัน โพสต์ข้อความว่า "โชคไม่ดี คัลเวิร์ต-เลวิน ยิงหลุดกรอบไปนิดเดียว" เท่านั้นเองแฟนทอฟฟี่ก็ขึ้นเลย
"ยิงแบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าโชคไม่ดีโว้ย มันเรียกว่ายิงพลาด", "ห่วยมากยอมรับเหอะ" หรือ "ถามจริง? จ่อขนาดนี้ยังกล้าพลาดอีกเหรอ?" นี่คือส่วนหนึ่งของข้อความที่แฟนบอลระบายออกมาอย่างมีอารมณ์
คัลเวิร์ต-เลวิน รู้ดีว่าเขาทำพลาด เขารู้ถึงความสามารถตัวเองว่าเร็วและสามารถหาโอกาสจบสกอร์ได้ดี แต่การยิงไม่เข้าสำหรับกองหน้ามันไม่มีความหมายอะไรเลย
"ถ้าคุณเล่นดีแต่ยิงไม่ได้คุณจะถูกมองว่าไม่ดีพอ แต่ถ้าคุณสามารถยิงได้เเล้วล่ะก็ คุณจะถูกพูดในฐานะนักเตะที่ยอดเยี่ยม" คัลเวิร์ต-เลวิน ว่าถึงวิถีชีวิตนักเตะตำแหน่งกองหน้า
ความเข้าใจมาพร้อมกับการยอมรับและหาข้อผิดพลาดของตัวเอง สิ่งสำคัญของคนที่ผิดพลาดคือการเรียนรู้และแก้ไข ซึ่ง คัลเวิร์ต-เลวิน ไม่กลัวที่จะต้องท้าทายสิ่งนี้
"การแบกรับความกดดันกับความคาดหวังไว้บนบ่าคือสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด ... ผมมั่นใจว่าสักวันผมจะทำมันได้(การยิงประตูแบบสม่ำเสมอ)"
"ที่ผมพูดแบบนี้มันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายหรอก แค่พูด ใครๆก็พูดได้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องแสดงมันให้เห็นในสนามจริง ผมจะทำให้ตัวเองเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดสำหรับ เอฟเวอร์ตัน ให้ได้"
แก้อะไรไม่ได้ให้แก้ที่ตัวเอง
สถานการณ์ทีมของ เอฟเวอร์ตัน ยังคงโคลงเคลงมาตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปี 2019 ที่ใช้บริการของ มาร์โก ซิลวา แม้ คัลเวิร์ต-เลวิน จะยังทำได้ไม่ดีนัก ในทีมที่ขาดๆเกินๆ จะรับก็ไม่แน่น จะรุกก็ไม่คม แต่เขาเริ่มยิงประตูได้มากขึ้นและก้าวขึ้นมาเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของทีมจริงๆ เพียงแต่ว่าเขารู้ตัวดีว่ามันยังไม่พอ การศึกษาแบบนอกสนามจึงเกิดขึ้น
"อย่างแรกที่ผมฝึกคือเรื่องของการเคลื่อนที่ในสนาม สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดในสนามซ้อมอย่างเดียวนะ ผมอยู่กับบ้านผมก็เปิดคอมฯศึกษาเกมของคู่แข่งหลายๆคน ผมทำตัวเหมือนกับตัวเองเป็นนักเรียนฟุตบอล วิเคราะห์อะไรของผมไปเรื่อย รายละเอียดแบบนี้ช่วยผมได้มากเลย"
"ไอ้วิ่งเร็วนี่ใครๆก็วิ่งได้ แต่ที่เเจ๋วจริงคือต้องเริ่มออกวิ่งในระยะเวลาที่เหมาะสม เข้าสู่จุดนัดพบในไทม์มิ่งที่พอดีเป๊ะเพื่อให้การจบสกอร์มีคุณภาพที่สุด ผมพยายามฝึกทักษะนี้ของตัวเองและรวบรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันเสมอ"
"ผมเปิดดูกองหน้าระดับโลกคนอื่นๆ บอกไม่ได้หรอกนะว่าเป็นใคร แต่ผมดูเพื่อหาวิธีจบสกอร์ของพวกเขา จากนั้นผมก็ถามตัวเองว่าแล้วเราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?"
"ผมศึกษาทีมที่มีระบบการเล่นคล้ายๆกับเรา แม้สิ่งเหล่านี้จะช่วยได้แค่ 1-2% แต่ถ้ามันคือการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผมก็เต็มใจที่จะทำมันนะ.. เมื่อคุณลงมือทำคุณก็จะได้ผลลัพท์ นั่นล่ะชีวิตมนุษย์อย่างผม"
การแก้ปัญหานี้ค่อนข้างตรงจุด เพราะปัญหาของเขาคือการทำหมูหก ซึ่งมันขาดๆเกินๆ เข้าจุดนัดพบช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง จนทำให้การควบคุมทิศทางยากขึ้น ซึ่งหลังจากแก้จุดนี้ได้ดีขึ้นทีละนิด เอฟเวอร์ตัน ก็หมดความอดทนกับ มาร์โก้ ซิลวา และแต่งตั้ง ดันแคน เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีมชั่วคราวนั่นแหละคือการปลดล็อกพลังของ คัลเวิร์ต-เลวิน อย่างแท้จริง
เฟอร์กูสัน เข้าใจหัวอกของ คัลเวิร์ต-เลวิน อย่างดี เขาเป็นกองหน้ามาก่อน รู้ถึงความกดดันของตำแหน่งนี้ อีกทั้งยังเป็นอดีตนักเตะของ เอฟเวอร์ตัน อีกด้วย นั่นทำให้เขาพร้อมช่วยดาวยิงวัย 21 ปีอย่างเต็มที่
"ทันทีที่ ดันแคน ได้งาน เขาก็ช่วยการเล่นของผมทันที เขาปล่อยให้ผมเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ผมจำวันแรกที่เข้ามาเจอเขาในห้องทำงานได้ เขาเข้ามากอดผมและบอกว่าเขาให้ความมั่นใจในตัวผมสุดๆ"
"เขาบอกว่า จำไว้ไอหนูจากนี้ไปแกเป็นเด็กฉันแล้ว ออกไปพาตัวเองบินสูงซะ แกจะได้ลงเล่นแน่นอน... เขาบอกแบบนั้นแล้วก็ถามผมว่า เอางี้แกคิดยังไงกับแผนการเล่นที่เราใช้อยู่ในตอนนี้ ผมเลยตอบกลับเขาเยี่ยมเลยพี่ นี่แหละคือครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เล่นหมายเลข 9 (กองหน้าตัวเป้า) โดยแท้จริง"
ดันแคน เฟอร์กูสัน เข้ามาและเปลี่ยนให้ เอฟเวอร์ตัน เป็นทีมที่เล่นแบบมีพลัง แม้ไม่เก่งเท่าใครแต่พวกเขาไม่เคยกลัวใคร "บิ๊กดังค์" เข้ามาคุมและปรับมาเล่นระบบกองหน้า 2 ตัวโดยมี ริชาร์ลิสัน จับคู่กับ คัลเวิร์ต-เลวิน ที่เป็นกองหน้าตัวเป้า เมื่อนั้นทั้งสองคนก็กลายเป็นตัวอันตราย พวกเขาวิ่งไล่กวดใส่กองหลังคู่แข่งและเฉียบคมมากในจังหวะกรอบเขตโทษ โดยเฉพาะ คัลเวิร์ต-เลวิน นั้นยิงกระจายจนเมื่อมีการเปลี่ยนกุนซือมาเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ หลายสิ่งมีแต่จะดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะ บิ๊กดังค์ ยังคงเป็นมือขวาของ อันเช่ และระบบการเล่นของทีมยังเป็นกองหน้าคู่ไม่ต่างจากเดิมนัก คัลเวิร์ต-เลวิน ยังคงสำคัญกับทีมเหมือนเช่นเคย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อในยุคที่ มาร์โก ซิลวา เป็นโค้ช คัลเวิร์ต-เลวิน ยิงได้แค่ 3 ประตูเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงยุคของ เฟอร์กูสัน และต่อถึง อันเชล็อตติ เขายิงเพิ่มอีก 10 ลูก ในจำนวนเกมแค่ 16 เกมเท่านั้น สถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆกำลังจะเปลี่ยนไป กูดิสัน พาร์ค กำลังจะกลับมาดีขึ้นกว่าที่เคย และมันขึ้นอยู่กับการเสริมทัพในซีซั่น 2020-21 ที่เพิ่งมาถึง
หากอาวุธครบมือ ผมคือตัวอันตราย
จุดนี้เราคงไม่ต้องอธิบายกันเยอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับการเสริมทัพของ เอฟเวอร์ตัน ในซีซั่นนี้ นักเตะใหม่แค่ 3 คนเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปสิ้นเชิง อัลลัน จาก นาโปลี, อับดุลลาย ดูกูเร่ จาก วัตฟอร์ด และ ฮาเมส โรดริเกซ จาก เรอัล มาดริด ... นักเตะแดนกลาง 3 ราย เข้ามาทำให้ เอฟเวอร์ตัน สมดุลทั้งรุกและรับ เสียประตูยาก และใช้โอกาสไม่เปลืองเหมือนที่เคย และหนึ่งในคนที่ยกระดับตัวเองได้ที่สุดคือ คัลเวิร์ต-เลวิน นั่นเอง
เมื่อรอบข้างเต็มไปด้วยนักเตะคุณภาพ คัลเวิร์ต-เลวิน กลายเป็นคนสำคัญของทีมที่ทีม การเข้าทำแต่ละประตูของ เอฟเวอร์ตัน ในตอนนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นประตูของ คัลเวิร์ต เลวิน ในเกมกับ คริสตัล พาเลซ ที่ประสานงานกันสามจังหวะจาก ฮาเมส สู่ เชมุส โคลแมน และตบเข้าในให้ คัลเวิร์ต-เลวิน เข้ามาแท็บอิน ... นี่คือสิ่งที่อันเชล็อตติเรียกว่า "ซิมเพิล ฟุตบอล" เรียบง่ายที่สุด แต่มีประสิทธิภาพที่สุด
การฝึกในสนาม และผ่านการวิเคราะห์ของ คัลเวิร์ต-เลวิน เห็นผลมากที่สุดในซีซั่นนี้ จังหวะการเคลื่อนตัวเข้าพื้นที่สุดท้ายของเข้าได้จังหวะไทม์มิ่งเป๊ะมาก ทำให้การยิงประตูที่เคยหมูหกเปลี่ยนเป็นการยิงซุกตาข่าย นอกจากนี้ศักยภาพการเล่นลูกโด่งที่ดีอยู่แล้ว ก็ถูกขัดเกลาขึ้นจากการเคลื่อนไปยังที่ว่าง ที่ทำให้เพื่อนๆมองหาเขาในกรอบเขตโทษได้ง่ายขึ้นด้วย
"ผมบอกตรงๆ คัลเวิร์ค-เลวิน น่ะร้อนแรงสุดๆ ฮ็อตกว่านี้ไม่มีอีกเเล้ว เขากำลังยิงประตูแบบถล่มทลาย เขาอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ไม่ว่าเขาจะเป็นกองหน้าอังกฤษที่เก่งที่สุดหรือไม่ผมไม่สนใจหรอก แต่สำหรับเราเขาคือคนนั้นแน่นอน" อันเชล็อตติ ว่าไว้
น้อยคนนักที่คิดว่า คัลเวิร์ต-เลวิน จะมาถึงจุดนี้ได้ จากองหน้าที่แทบเอาดีไม่ได้สักทาง กลับมายิงประตูมากมายจนกลายเป็นดาวซัลโวของลีก และช่วยให้ต้นสังกัดชนะรวดเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากทัศนคติที่ยอดเยี่ยมในแบบของมืออาชีพ คนที่โดนด่ามากที่สุด อาจจะไม่ใช้คนที่กระจอกงอกง่อยที่สุด หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดอย่างจริงจัง ซึ่งทุกวันนี้เขาแสดงให้เห็นเเล้วว่า "ความพยายามได้ส่งเขามาถึงจุดที่ตนเองควรจะอยู่จนได้"
"ผมรู้สึกหงุดหงิดเสมอในเวลาที่ผมไม่สามารถก้าวไปยังจุดที่สูงกว่าที่เคยยืนอยู่ได้ ผมเป็นคนที่โดนวิจารณ์เยอะ โดนบอกว่าไม่ดีพอ และมันส่งผลต่ออารมณ์ของคุณแน่ เรื่องนี้ผมไม่ปฎิเสธ แต่ฟุตบอลสมัยนี้มันเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว คุณจะอยู่กับที่และจมปลักกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ คุณต้องกลับมาเตรียมพร้อม แก้ไขมันสำหรับเกมที่จะมาถึง"
"ในฐานะกองหน้าคุณจะเป็นเป้าโดนสับแหลก แต่นักฟุตบอลทุกคนล้วนก็อยากจะลงเล่นทุกเกม ดังนั้นห้ามถอดใจ สภาพจิตใจคุณต้องเเข็งแกร่งเข้าไว้ บอกตัวเองว่าทุกคนมีวันที่ดีและแย่ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว"
"สำหรับผมวันไหนที่ผมเล่นไม่ดี ผมรู้ตัวเองว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่นใครได้ ... ชีวิตมันคือถนนที่สมบุกสมบันและแข็งกร้าวกับคุณเสมอ... ทุ่งหญ้าไม่ได้มีสีเขียวตลอดไป และเมื่อคุณเห็นอุปสรรคเหล่านั้น คุณเตรียมตัวให้พร้อม บดขยี้มันให้ได้ด้วยความมุ่งมั่น และจงเชื่อเสมอว่าคุณนี่แหละจะไปถึงจุดสุดยอดได้"
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา