27 ต.ค. 2020 เวลา 21:42 • ปรัชญา
“อานิสงส์ของการเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะมีคุณมีประโยชน์เท่ากับพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งคำสอนเป็นรสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวง รสแห่งธรรมก็คือรสของความสุขของความเจริญทางจิตใจ รสแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่สัตว์โลกทุกชนิด ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏจะต้องพบกันจะต้องเห็นกันจะต้องเจอกัน ไม่มีวันที่จะหลีกเลี่ยง ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ในสังสารวัฏนี้ไปได้เลย นอกจากผู้ที่ได้พบได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสั่งคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน เมื่อมีการศึกษาที่นำไปสู่การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับ การหลุดพ้นจากสังสารวัฏคือภพของการเวียนว่ายตายเกิดที่มีอยู่ ๓ ภพด้วยกัน ได้แก่
-กามภพ ภพของมนุษย์และเทวดา
-รูปภพ ภพของพรหม
-อรูปภพ ภพของอรูปพรหม
ก็จะเป็นผลตามมาตามลำดับ จากการได้ยินได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาแล้วก็น้อมนำเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วการบรรลุถึงมรรคผลนิพพานคือการหลุดออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับ
ลำดับที่ ๑ ก็คือลำดับของ “พระโสดาบัน “ พระโสดาบันนี้จะหลุดออกจากการไปเกิดในอบาย จะไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป ไม่ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย ไม่ต้องไปตกนรก ถึงแม้ว่าในอดีตชาติเคยสะสมบาปกรรมมามากน้อยเพียงไรก็ตาม แต่พอมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมขั้นที่ ๑ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บรรลุได้ จิตก็จะหลุดพ้นจากการที่จะต้องไปเกิดในอบาย แต่จะยังติดอยู่ในกามภพคือภพของมนุษย์หรือเทวดาไปอีกไม่เกิน ๗ ภพเป็นอย่างมาก นี่คือการหลุดพ้นขั้นที่ ๑ ของผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เรียกว่า “สุปฏิปันโน” จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ขั้นที่ ๑ คือหลุดพ้นจากการไปเกิดในอบาย และถ้ายังต้องกลับมาเกิดก็จะกลับมาเกิดไม่เกิน ๗ ภพเป็นอย่างมาก ภพของเทวดาหรือภพของมนุษย์
พอได้บรรลุถึงขั้นที่ ๑ พระโสดาบันก็จะมีการปฏิบัติธรรมขั้นต่อไปเพื่อขึ้นสู่ขั้นที่ ๒ ของพระอริยบุคคล ขั้นที่ ๒ ของพระอริยบุคคลก็คือขั้น “สกิทาคามี” ผู้ที่ได้ขึ้นสู่ขั้นสกิทาคามีก็จะลดจำนวนภพชาติที่จะต้องกลับมาเกิดในกามภพเหลือเพียงชาติเดียว จะไม่กลับมาเกิดมากกว่าอีก ๑ ครั้ง
และถ้าได้ปฏิบัติธรรมต่อไปก็จะได้ขึ้นสู่ขั้นที่ ๓ คือขั้นของ “พระอนาคามี” ขั้นของพระอนาคามีนี้ก็จะทำให้หลุดพ้นจากการที่จะต้องกลับมาเกิดในกามภพอีกต่อไป จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่กลับมาเกิดเป็นเทวดาอีกต่อไป แต่จะไปติดอยู่ในรูปภพกับอรูปภพ คือภพของพรหม พรหมที่มีรูปและพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า “รูปภพ” และ “อรูปภพ”
พอพระอนาคามีปฏิบัติธรรมต่อไปศึกษาธรรมต่อไป ก็จะได้บรรลุขั้นที่ ๔ คือขั้น “พระอรหันต์” พอได้ขั้นพระอรหันต์แล้วจิตก็จะหลุดพ้นออกจากรูปภพและอรูปภพ ก็จะหลุดพ้นจากไตรภพคือภพที่มีอยู่ในสังสารวัฏ คือกามภพ รูปภพและอรูปภพ จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพเหล่านี้อีกต่อไป
ทำไมถึงไม่ควรที่จะกลับมาเวียนว่ายตายเกิด เพราะภพเหล่านี้มีการเกิดแล้วก็ต้องมีการตายตามมา การเกิดนี้ให้ความสุข แต่ความตายก็จะดึงเอาความสุขที่ได้หายไปหมด ไม่ว่าใครก็ตามถ้ายังเกิดอยู่ในไตรภพอยู่ ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็จะต้องพบกับความทุกข์ทั้งนั้น พรหมก็ต้องทุกข์เพราะการไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหมก็จะต้องมีวันเสื่อมมีวันหมด พอจิตเสื่อมจากสวรรค์ชั้นพรหมก็จะเลื่อนลงมาสู่สวรรค์ชั้นเทพ จากสวรรค์ชั้นเทพก็จะเลื่อนลงมาสู่ภพของมนุษย์ แล้วพอมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องมาทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ อย่างที่พวกเราต้องมาทุกข์กัน แล้วก็จะต้องมาทำบุญทำบาปกันเพราะชีวิตของพวกเราต้องดิ้นรนหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ การหาสิ่งต่างๆ บางครั้งถ้าไม่สามารถหาได้โดยวิธีสุจริตก็จะหาโดยวิธีทุจริต คือหาด้วยการกระทำบาปนั่นเอง พอทำบาป บาปก็จะสะสมไว้ในจิตใจ ที่จะทำให้จิตใจหลังจากที่ตายจากภพของมนุษย์ก็จะต้องไปรับผลบาปที่ได้ทำไว้ต่อไป ก็เลยจะต้องไปเกิดในอบายกันนั่นเอง
“อบาย” ก็มีอยู่ ๔ ที่ด้วยกัน เป็นดวงวิญญาณที่รุ่มร้อนด้วยไฟนรก เรียกว่า “นรก” นี่คือที่ไปถ้าไปทำบาปในขณะที่เป็นมนุษย์ แต่ถ้าไม่ได้ทำบาปทั้ง ๔ เหตุผลนี้ก็จะไม่ต้องไปเกิดในอบาย แต่ก็จะต้องกลับมาเกิดใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะว่าใจมีเหตุที่จะคอยดึงใจให้กลับมาเกิดในไตรภพต่อไปอยู่เรื่อยๆ และจะไม่มีวันที่จะหลุดออกจากไตรภพนี้ไปได้จนกว่าจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาปรากฏขึ้นมาในโลกนี้ พอมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาปรากฏขึ้นมาในโลกนี้ ก็จะมีแสงสว่างแห่งธรรมนั่นเอง
“แสงสว่างแห่งธรรม” ก็คือความรู้ที่จะสอนสัตว์โลกที่ติดอยู่ในไตรภพนี้ให้รู้จักวิธีหลุดออกจากไตรภพ หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดในกามภพ ในรูปภพ และในอรูปภพ พอมีแสงสว่างแห่งธรรม มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเผยแผ่อยู่ในโลกนี้ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังได้เกิดมีศรัทธามีความเชื่อว่าเป็นคำสั่งคำสอนที่มีคุณค่ามีคุณประโยชน์ต่อจิตใจ ต่อการสิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลายของจิตใจ ก็จะน้อมนำเอาไปปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วผลได้แสดงไว้ในเบื้องต้นก็จะปรากฏขึ้นมา คือบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ๔ ขั้นด้วยกัน ขั้นที่ ๑ คือขั้นพระโสดาบัน หลุดพ้นจากการเกิดในอบาย ไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป และจะกลับมาเกิดในกามภพคือภพของมนุษย์หรือเทวดาไม่เกิน ๗ ครั้งเป็นอย่างมาก
พอได้บรรลุขั้นที่ ๒ ขั้นพระสกิทาคามีก็จะกลับมาเกิดในกามภพอีกเพียง ๑ ครั้งเป็นอย่างมาก
พอได้ขั้นที่ ๓ ขั้นพระอนาคามี ก็จะไม่ต้องกลับมาเกิดในกามภพอีกต่อไป จะไม่มาเป็นมนุษย์ไม่เป็นเทวดา แต่ยังจะไปเกิดในภพของพรหมที่มีอยู่ ๒ ระดับด้วยกันคือรูปพรหมกับอรูปพรหม
และถ้าปฏิบัติต่อไปก็จะบรรลุถึงขั้นที่ ๔ คือขั้นพระอรหันต์ พอได้ถึงขั้นที่ ๔ ก็จะหลุดพ้นจากการติดอยู่ในภพทั้ง ๓ อย่างสิ้นเชิง จะไม่ต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายในภพต่างๆ เหล่านี้อีกต่อไป เมื่อไม่มีการเกิด ทุกข์ก็ย่อมหมดไป ทุกข์ย่อมหมดไปสำหรับผู้ที่ไม่เกิดเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่ตราบนั้นก็ยังจะมีทุกข์ที่เกิดจากความแก่ความเจ็บความตายตามมาเสมอไป นี่คืออานิสงส์ประโยชน์ของการที่เข้าหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นมงคลอย่างยิ่งต่อชีวิต
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัด ชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
โฆษณา