28 ต.ค. 2020 เวลา 12:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ
OIL UPDATE : เศรษฐกิจที่ทรุดตัวลงของอิรักกำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อ OPEC ขณะที่ราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่าระดับ 40 $/บาร์เรลและปริมาณน้ำมันในถังกักเก็บของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
1
จากสำนักงานชั้น 3 ทางตะวันออกของกรุงแบกแดด Ihsan Abdul Jabbar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันของอิรัก สามารถมองเห็นผู้ประท้วงที่พลุกพล่านอยู่ด้านล่างขณะที่พวกเขาเดินขบวนไปยัง Tahrir Square ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการลุกฮือครั้งล่าสุดในอิรัก
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาวอิรักหลายพันคนรวมตัวกันอีกครั้งและถือธงชาติที่บริเวณ Tahrir Square ข้ามแม่น้ำ Tigris และตรงข้ามกับเขตกรีนโซนที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาซึ่งสหรัฐฯ มีสถานทูตตั้งอยู่
ประเด็นร้องทุกข์ของพวกเขาก็คือ : การขับไล่นักการเมืองที่ทุจริต, การแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับในวงกว้าง, ปรับปรุงโรงพยาบาลที่ทรุดโทรม, ซ่อมถนนที่พังและช่วยเหลือผู้คนที่ไม่มีงานทำ
อิรักอาจจะเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก แต่เศรษฐกิจของพวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหลังจากการระบาดของ Coronavirus ได้ทำให้ Demand สำหรับการใช้พลังงานทั่วโลกทรุดตัวลง และก่อให้เกิดการล่มสลายของราคาน้ำมันในปีนี้
ขณะเดียวกัน ภาคการเงินของรัฐก็เลวร้ายมากจนไม่สามารถจ่ายเงินให้ครูและข้าราชการได้ตรงเวลา และยังเป็นความเสี่ยงให้เกิดความวุ่นวายซ้ำซากเช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้วซึ่งทำให้รัฐบาลอยู่ในภาวะตกต่ำโดย Adil Abd Al-Mahdi ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และมีผู้ประท้วงหลายร้อยคนเสียชีวิต
นั่นทำให้เกิดภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับเนื่องจากความต้องการของประชากรที่กำลังโกรธแค้นและคำมั่นสัญญาที่อิรักทำไว้กับพันธมิตรในกลุ่ม OPEC ซึ่งพยายามที่จะพยุงตลาดที่เปราะบางโดยการลด Supply ลงให้สมดุลกับ Demand ที่หายไป ซึ่งการทำเช่นนั้นจำเป็นต้องให้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างอิรักร่วมมือด้วย
สำหรับอิรัก การลด Supply นั้นจะมีต้นทุนทางเศรษฐกิจและการเมืองมหาศาล ขณะที่การละเมิดข้อตกลงก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ซึ่งการทำเช่นนั้นอาจหมายถึงราคาน้ำมันที่ตกต่ำลงสำหรับทุกประเทศ
อย่างไรก็ตาม ชาวอิรักบางคนต้องการให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับพวกเขาเป็นอันดับแรก โดยการสนใจเพียงแค่สูบน้ำมันให้มากขึ้น
Ziyad Al-Mustansir ครูโรงเรียนมัธยมวัย 44 ปีในกรุงแบกแดดกล่าวว่า
“I waited more than 45 days for my so-called monthly salary, The government should have looked after the country’s interests when it came to OPEC. If such deals mean losses for the country, we shouldn’t go with them.”
“ฉันรอมามากกว่า 45 วันสำหรับเงินเดือน (ที่ควรจะจ่ายเดือนต่อเดือน) ดังนั้นรัฐบาลควรดูแลผลประโยชน์ของประเทศเมื่อเข้าร่วมกับ OPEC และหากข้อตกลงดังกล่าวหมายถึงความสูญเสียต่อประเทศ เราก็ไม่ควรไปร่วมกับพวกเขา”
ภายใต้ข้อตกลงในเดือนเมษายนระหว่างอิรักและประเทศสมาชิกอื่น ๆ ของ OPEC+ ทำให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายหลักต้องลดการผลิตต่อวันประมาณ 1-3.6 ล้านบาร์เรลซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 40 ล้านดอลลาร์
แนวคิดคือการลด Supply จะทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นมากพอที่จะชดเชยกับการส่งออกที่หายไป ขณะที่ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่านับตั้งแต่การบรรลุข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตครั้งแรก และได้ซื้อขายกันอยู่ที่ราว ๆ 40 $/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบจากต้นปีนี้ราคายังคงลดลงเกือบ 40% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าที่อิรักต้องการสำหรับการจัดสรรงบประมาณรายรับต่อเดือนของรัฐบาลซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ที่ 3 พันล้านดอลลาร์ (น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปีที่แล้ว)
อิรักได้ละเมิดขีดจำกัดในการส่งออกน้ำมันหลายต่อหลายครั้ง และทำให้ผู้นำของ OPEC + อย่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซียไม่พอใจ โดยสิ่งที่เป็นอันตรายสำหรับพวกเขาคือการที่รัฐบาลอิรักเริ่มผลิตน้ำมันเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเพื่อดึงเอาเงินทุกดอลลาร์ในโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะหาได้
แม้ว่าเจ้าหน้าที่อิรักจะกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว และจะชดเชยการผลิตที่มากเกินไปในอดีต แต่หลังจากการละเมิดกฏของพวกเขาก็ทำให้ประเทศผู้ค้ารายอื่นคอยเฝ้าดูสัญญาณว่าอิรักจะผลิตเกินขีดจำกัดอีกครั้ง
Tarek Fadlallah ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหน่วยงานบริหารสินทรัพย์ของ Nomuraกล่าว
“It will become increasingly difficult for OPEC+ to maintain discipline as countries, especially Iraq, become more desperate,” said Tarek Fadlallah, the chief executive officer of Nomura Asset Management’s Middle Eastern unit.
“มันจะยากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ OPEC + สำหรับการรักษาระเบียบวินัยเอาไว้ในขณะที่ประเทศต่างๆโดยเฉพาะอิรักเริ่มสิ้นหวังมากขึ้น”
โดยรวมแล้ว ทุกประเทศในกลุ่ม OPEC+ ได้รับความเสียหายจากราคาน้ำมันที่ลดลง เงิน Ruble ของรัสเซียสูญเสียมูลค่าไปเกือบ 1 ใน 5 ขณะที่ซาอุดิอาระเบียได้ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Tax : VAT) เป็น 3 เท่าเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากราคาน้ำมันที่ลดลง
แต่อิรักซึ่งเป็นประเทศที่มีน้ำมันเป็นรายได้เกือบทั้งหมดของรัฐบาลกำลังอยู่ในสถานะที่แย่ที่สุด โดยตามคาดการณ์ของ IMF ระบุว่า GDP ของประเทศจะหดตัว 12% ในปีนี้ซึ่งมากกว่าสมาชิก OPEC อื่น ๆ ภายใต้โควต้าการผลิตน้ำมันที่กำหนด
นับตั้งแต่การรุกรานของสหรัฐฯ ในปี 2003 ซึ่งโค่นล้ม Saddam Hussein ก็ได้ทำให้ประเทศประสบปัญหาสงครามกลางเมือง การก่อความไม่สงบของรัฐอิสลาม และการผลักดันของชาวเคิร์ดเพื่อเอกราชของภูมิภาค Kurdistan ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือและเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญของประเทศ
แม้ว่า OPEC+ จะรวมการผลิตทั้งหมดของอิรักในการคำนวณของพวกเขา แต่ภูมิภาค Kurdistan ก็ยังคงมีนโยบายน้ำมันเป็นของตัวเอง
วิกฤตครั้งล่าสุดกำลังทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและนายกรัฐมนตรี Mustafa Al-Kadhimi ซึ่งเพิ่งขึ้นสู่อำนาจในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยฝ่ายบริหารของเขากล่าวว่าจะไม่สามารถจ่ายเงินให้กับคนงานสาธารณะและผู้รับบำนาญประมาณ 7 ล้านคนในอิรักในเดือนหน้าเว้นแต่รัฐสภาจะอนุมัติกฎหมายเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลกู้ยืมเงินเพิ่มอีก 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์
นักการเมืองฝ่ายค้านกล่าวว่าภาระหนี้ของประเทศสูงเกินไปและผู้นำก็เป็นคนที่ไม่สามารถไว้วางใจให้ดำเนินการเพิ่มเติมได้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสกุลดอลลาร์ของอิรักพุ่งขึ้นเกือบ 300 จุดนับตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนรู้สึกไม่สบายใจ และทำให้ผลตอบแทนในปัจจุบันสูงกว่า 10% ซึ่งสูงที่สุดในตะวันออกกลาง
Mohammad Saheb Al-Darraji คณะกรรมการด้านการเงินของรัฐสภากล่าวว่า
“The borrowing could lead to the collapse of our economic system.”
(การกู้ยืมอาจนำไปสู่การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจของเรา)
Kadhimi ได้เดินทางไปยังฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษในเดือนนี้เพื่อแสวงหาเงินจากนักลงทุนทางด้านน้ำมันและก๊าซ นอกจากนี้ยังพยายามที่จะยับยั้งกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านซึ่งอยู่ใกล้เคียง เนื่องจากอิรักถือเป็นที่ทำเลในสงครามตัวแทนระหว่างสาธารณรัฐอิสลามและสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการขู่ว่าจะปิดสถานทูตในกรุงแบกแดดเว้นแต่รัฐบาลอิรักจะหยุดกลุ่มติดอาวุธจากการยิงจรวดเข้าใส่
ปัญหาอื่น ๆ ยังคงลุมเล้า เนื่องจากการปิดกั้นต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจทั่วประเทศ และอิรักเองก็มีตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากกว่าประเทศใด ๆ ในตะวันออกกลางนอกเหนือจากอิหร่าน ส่วนอัตราการว่างงานก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 14%
ในฐานะที่อิรักเป็น 1 ใน 5 สมาชิกดั้งเดิมของ OPEC ซึ่งก่อตั้งขึ้นในกรุงแบกแดดเมื่อปี 1960 ทำให้อิรักไม่น่าจะลาออกจากองค์กรได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะเสี่ยงต่อการตอบโต้ของซาอุดีอาระเบียโดยการเพิ่มกำลังผลิตและกดราคาน้ำมันให้ต่ำลง
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ของอิรักอาจกดดันให้ซาอุฯ มอบความช่วยเหลือทางการเงินให้พวกเขาแทน หากราคาน้ำมันดิบยังคงต่ำกว่า 45 $/บาร์เรลในช่วงครึ่งแรกของปี 2021
Jabbar Al-Luaibi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันระหว่างปี 2016-2018 กล่าวว่าความกังวลทางเศรษฐกิจของประเทศและเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ที่ใช้ไปในสงครามเพื่อปราบปรามกลุ่ม Islamic State ระหว่างปี 2014-2017 ได้แสดงให้เห็นว่าอิรักมีการผลิตน้ำมันเกินโควต้า
“Instead of cutting around 1 million barrels a day, Iraq could have cut 500,000, Lower the percentage. We don’t want to hit OPEC policy, but this is the country’s situation and OPEC members should take it into consideration.”
“แทนที่จะลดกำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน อิรักอาจลดได้เพียง 500,000 ซึ่งการลดสัดส่วนของเรานั้นไม่ได้ต้องการละเมิดนโยบายของ OPEC แต่นี่เป็นสถานการณ์(คับขัน)ของประเทศและสมาชิก OPEC ควรคำนึงถึงสิ่งนี้"
อย่างไรก็ตาม ซาอุดีอาระเบียกำลังเป็นกังวลว่าการยอมให้ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถละเมิดกฎได้จะทำให้คนอื่น ๆ เรียกร้องแบบเดียวกัน ทำให้พวกเขาไม่ยอมขยับจุดยืนของตัวเองง่ายๆ โดยเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของประเทศได้ยืนยันที่จะบังคับให้ทุกประเทศในกลุ่มปฏิบัติตามกฏ
แม้ว่า OPEC+ ได้วางแผนที่จะผ่อนปรนการลดกำลังการผลิตในเดือนมกราคม 2021 แต่ด้วยราคาน้ำมันภายใต้แรงกดดันใหม่จากการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ COVID-19 และการผลิตที่เพิ่มขึ้นในประเทศลิเบียก็อาจทำให้แผนการดังกล่าวต้องเลื่อนออกไป และนั่นยังเป็นสิ่งสุดท้ายที่อิรักต้องการเนื่องจากความโกรธแค้นที่ก่อตัวขึ้นในหมู่คนงานภาครัฐซึ่งมีความกังวลมากขึ้นว่าพวกเขาจะไม่ได้รับเงินเดือน ทำให้ความเสี่ยงของ OPEC+ คือการโน้มน้าวให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฏนั้นจะยากขึ้นหากมีการขยายระยะเวลาของข้อกำจัดออกไป
ล่าสุดน้ำมันร่วงลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในยุโรปที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทำให้แนวโน้มของการบริโภคลดลง
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันดิบในนิวยอร์กลดลง 4.6% ขณะที่ในลอนดอนลดลงต่ำกว่า 40 $/บาร์เรลซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. 2020 เนื่องจากเยอรมนีประกาศมาตรการ Lockdown อย่างกว้างขวางเป็นเวลา 1 เดือนในขณะที่ฝรั่งเศสกำลังเตรียมข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น
นอกจากนี้ มาตรการจำกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นใหม่ยังส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯ ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ความเชื่อมั่นของตลาดน้ำมันลดลง
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (American Petroleum Institute : API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบขยายตัวถึง 4.58 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจะครบกำหนดเปิดเผยใน 9.30PM วันนี้
น้ำมันดิบได้รับแรงกดดันครั้งใหม่เนื่องจาก COVID-19 ได้นำไปสู่แนวโน้มของ Demand ที่เปราะบางมากขึ้นและหัวหน้าหน่วยการค้าของ Saudi Aramco กล่าวว่าผู้ค้าต่าง ๆ ควรระมัดระวังเนื่องจากความไม่แน่นอนในภาคการบริโภค
ปัจจุบันตลาดน้ำมันยังเผชิญกับ Supply ที่เพิ่มขึ้นจากลิเบียซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดสรรสต็อกบางส่วนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 และหมายความว่า OPEC + จะมีการตัดสินใจที่ยากลำบากบางอย่างสำหรับการลดปริมาณผลผลิตในเดือนหน้า
Harry Tchilinguirian นักยุทธศาสตร์ทางด้านน้ำมันจาก BNP Paribas SA กล่าวว่า
“With hefty stock builds across the board in the headline API numbers, it is not all that surprising the oil price is moving lower this morning, With equities lower and a stronger dollar reflecting a retreat in risk appetite, oil also came under pressure.”
“ด้วยการสต็อกน้ำมันจำนวนมากทั่วภูมิภาคในตัวเลขของ API จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ราคาน้ำมันในเช้านี้เคลื่อนไหวต่ำลง พร้อม ๆ กับตลาดหุ้นที่ลดลงและเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ในขณะที่น้ำมันก็อยู่ภายใต้แรงกดดันเช่นกัน”
สต็อกน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ขยายตัว 2.25 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้วเช่นเดียวกัน ขณะที่ Supply น้ำมันดิบที่ศูนย์กลางการจัดเก็บที่สำคัญอย่าง Cushing เพิ่มขึ้น 136,000 บาร์เรลตามรายงานของ API และค่ามัธยฐานในการสำรวจของ Bloomberg คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล
โครงสร้างของตลาดน้ำมันอ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยสัญญา Futures ในเดือนหน้าของน้ำมันดิบ Brent มีการลดมากที่สุด เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในการเติบโตของตลาดในระยะสั้น
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
อยากลงทุน อยากมีเงินเก็บอย่างจริงจัง แต่ไม่มีพื้นฐาน World Maker มีคอร์สเรียนดี ๆ มาแนะนำให้ครับ รายละเอียดคลิกเลย !!
โฆษณา