30 พ.ย. 2020 เวลา 13:01 • กีฬา
สำรวจความคิด "ฉัตรมงคล เรืองรณโรจน์" ปีที่เปลี่ยนไป จากเด็ก ม.ปลายสู่ทีมชาติ | MAIN STAND
"ตอนเด็กผมตัวเล็กและไม่ค่อยแข็งแรง ผมมีความฝันอยากไปค้าแข้งในยุโรป แต่เพื่อนร่วมห้องบางคนเวลาได้ยินก็ขำ เพราะเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้"
เสื้อแมตช์วอร์นทีมชาติไทยตัวหนึ่ง ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ภายในบ้านของครอบครัว "เรืองรณโรจน์" เพราะนี่คือสมบัติแห่งความภาคภูมิใจ ที่แลกมาด้วยหงาดเหงื่อแรงกาย และความพยายามตลอดระยะเวลาหลายปีของทายาทประจำตระกูล
ถอยหลังกลับไปในบ้านหลังเดียวกัน เมื่อสิบกว่าปีก่อน "ด.ช. ฉัตรมงคล" ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคหอบหืด คำแนะนำจากคุณหมอผู้วินิจฉัย บอกให้เด็กน้อยคนนั้น ควรหากีฬาเล่นเพื่อเอาชนะอาการเจ็บป่วยที่ติดตัวมา
"ฟุตบอล" คือกีฬาที่ ฉัตรมงคล เลือกใช้เพื่อการรักษาอาการหอบหืด แต่หลังจากนั้น เขาเล่นมันต่อเพราะความรักล้วน ๆ โดยมีสองความฝันที่อยากทำให้เป็นจริง
ฝันแรก นาย - ฉัตรมงคล เรืองรณโรจน์ ทำสำเร็จตอนศึกษาอยู่ระดับชั้น ม.6 นั่นคือการลงสนามให้ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในขณะที่นักเตะจำนวนมากใช้เวลาแทบทั้งชีวิตก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้น ส่วนอีกเป้าหมาย เขาหวังว่ามันจะเกิดขึ้นสักครั้งในช่วงอาชีพการค้าแข้ง
บ่ายสามโมงตรงในวันธรรมดา เป็นเวลาที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังเข้าสู่คาบเรียนสุดท้าย แต่ ฉัตรมงคล เดินทางถึง ชลบุรี สเตเดียม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกซ้อมประจำวัน อันเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ความรับผิดชอบและส่วนหนึ่งของงานที่เขาทำ
เราไม่อาจทราบได้เลยว่า ฉัตรมงคล เสียเหงื่อไปแล้วเท่าไหร่บนพื้นหญ้า ก่อนความฝันแรกเป็นจริง ? ในปีที่เขาพบเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก้าวกระโดดจากบอลนักเรียนขึ้นมาเป็นตัวแทนคนทั้งชาติ ... เขามีมุมมองความคิดอย่างไร เกี่ยวกับทุกสิ่งที่ผ่าน พุ่งเข้ามาหาเขาในขวบวัย 18 ปี
- ความฝันในวัยเด็กของ ฉัตรมงคล เรืองรณโรจน์ คืออะไร ?
เวลาครูถามในห้องว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? เด็กคนอื่นคงตอบ ไม่ "หมอ, พยาบาล, ทหาร ก็ตำรวจ" แต่ผมเป็นเด็กที่ฝันไกลและเกินตัวมาก คือหนึ่ง ผมอยากติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ และสอง ได้ไปเล่นฟุตบอลอาชีพในยุโรป
ผมยังจำได้เลยว่า เพื่อนร่วมห้องบางคนเวลาได้ยินเขาก็ขำ ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอกครับ เพราะตอนเด็กผมตัวเล็กไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยเป็นโรคหอบหืด ร่างกายอ่อนแอ ป่วยง่ายมาก คุณหมอก็ให้หากีฬาเพื่อออกกำลังกาย ผมจึงเล่นบอลมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
- เวลามีคนมาตลกกับความฝันของคุณ มันน่าหงุดหงิดไหม ?
ตอนเด็กก็ไม่ชอบหรอกครับ ที่ใครมาหัวเราะเยาะเย้ยกับความฝันของเรา แต่ทุกวันนี้พอมองย้อนกลับไป ผมคิดว่าคงพิสูจน์ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นแล้วว่า ผมจริงจังกับเป้าหมายที่เคยพูดในวันนั้น
- เท่ากับว่า คุณเริ่มต้นเส้นทางนี้ด้วยต้นทุนด้านร่างกายที่ด้อยกว่าคนอื่น เพราะเป็นเด็กตัวเล็ก แถมป่วยเป็นโรคหอบอีก ความยากกว่าคนอื่น ได้สอนอะไรคุณบ้าง ?
ผมรู้ตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่คนที่เก่ง หรือคนที่โดดเด่นในทีม ดังนั้นผมต้องใช้ความพยายามตลอดเวลาเพื่อคว้าโอกาส
อย่างตอนแรกผมไม่ได้ถนัดเท้าซ้ายนะ เป็นคนถนัดขวา แต่ช่วงตอนเด็ก มีโค้ชบอกให้ผมลองเปลี่ยนมาฝึกเท้าซ้ายเถอะ เพราะนักบอลเท้าขวามันธรรมดาเกินไป ผมจึงต้องปรับมาฝึกเล่นบอลเท้าซ้าย ซึ่งก็กลายเป็นผลดีกับผมในตอนนี้
เช่นเดียวกับตำแหน่งการเล่น ก่อนเข้าอคาเดมี "ชลบุรี เอฟซี" ผมเป็นคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งที่คิดว่าตัวเองเล่นได้ดีเลย ผมเล่นปีกบ้าง กองกลางบ้าง เคยแม้กระทั่งไปลองเป็นผู้รักษาประตู เปลี่ยนไปเรื่อย แต่ก็ไม่รุ่ง สักตำแหน่ง (หัวเราะ)
พอเข้าอคาเดมี พ่อผมก็สอนว่า "หากคิดเอาดีทางสายนี้ ควรต้องเลือกสักตำแหน่ง" ท่านก็แนะนำให้ผมเล่นแบ็กหรือปีก เพราะเหมาะกับรูปร่างผม กว่าผมจะมาถึงที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันไม่ง่ายเลยครับ ผมต้องใช้ความพยายามเยอะมาก
- ไทยลีก เป็นการแข่งขันอีกระดับที่สูงกว่าบอลนักเรียน คุณก้าวผ่านกำแพงนั้นมาได้อย่างไร ? เพราะไม่กี่เดือนก่อน คุณยังเล่นฟุตบอลมัธยมฯ อยู่เลย อันที่จริงก็มีเด็กจำนวนไม่น้อยไม่สามารถขึ้นมาเล่นลีกสูงสุดได้
ผมอาจโชคดีตรงที่ตอนเป็นเยาวชน ชลบุรีฯ ให้โอกาสผมเล่นข้ามรุ่นอายุตลอด ก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากตรงนั้นมาปรับใช้
ถึงแม้จะเป็นแค่บอลนักเรียน ผมก็ยังรู้สึกว่าเลยว่ามันยาก และผมคิดว่าตัวเองตอนนั้นเล่นได้ด้อยสุดในทีมเลย บางครั้งไปแข่งกับโรงเรียนอื่น ก็เห็นเด็กคนอื่นเขาเก่งกว่าเรานะ
ถ้ามีอะไรที่ผมรู้สึกว่าตัวเองยังบกพร่อง หรือคิดว่าทำได้ไม่ดีพอ ผมก็จะเอามาปรับปรุงพัฒนาตัวเอง เพราะผมรู้ว่า ไม่ใช่เด็กอคาเดมีทุกคนที่ขึ้นชุดใหญ่ จะได้เป็นตัวจริงหรือมีโอกาสลงสนาม
ในอนาคตหากวันหนึ่งที่ผมถูกเรียกขึ้นไป ผมก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งในทีมกับนักฟุตบอลอาชีพรุ่นพี่ ที่เขามีประสบการณ์มากกว่า ถ้าผมไม่พยายามให้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น โอกาสเหล่านั้น มันก็จะหลุดลอยไป
- คุณอยู่ในอคาเดมี ชลบุรี เอฟซี มาเป็นระยะเวลา 7-8 ปี เคยแต่นั่งดูทีมชุดใหญ่ จากบนอัฒจันทร์ พอถึงวันหนึ่งคุณต้องลงไปเล่นเอง คุณปรับเปลี่ยนตัวเองไปอย่างไรบ้าง
ตอนผมเป็นนักเตะเยาวชน สโมสรพามาดูทีมชุดใหญ่แทบทุกสัปดาห์ ผมยังเคยคิดเลยว่า วันหนึ่งอยากเล่นร่วมกับพี่ก้อง เกริกฤทธิ์ (ทวีกาญจน์) ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้
ผมเพิ่งขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ได้แค่ 1-2 เดือนก่อนเปิดเลก เพราะโค้ชเตี้ย (สะสม พบประเสริฐ) แกเห็นจากบอลนักเรียนก็เลยเรียกขึ้นมาทดสอบดู
ผมยังจำวันแรกที่ซ้อมได้เลย ยังไม่ทันจบเซสซั่นสอง ผมก็หอบไม่มีแรงแล้ว รู้เลยว่าตัวเองพละกำลังไม่ถึง ระดับของบอลอาชีพกับบอลนักเรียนมันต่างกันมากจริง ๆ เมื่อก่อนผมติดเล่นโทรศัพท์ ชอบนอนดึก ผมตัดตรงนั้นทิ้งไปเลย หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น พยายามเสริมกล้ามเนื้อ เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรง
พอผมเริ่มมีพละกำลัง เวลาซ้อม เราก็สามารถสู้กับรุ่นพี่ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับโค้ชเตี้ย กล้าส่งผมลงเล่นโดยไม่สนว่าผมเป็นเด็กใหม่ มีประสบการณ์หรือเปล่า ? แกจะบอกเสมอว่า "มึงเล่นให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องสนใจคนอื่น ขอให้กล้าเล่น" ทำให้ผมเล่นด้วยความสบายใจ ไม่รู้สึกกดดัน
- เคยคิดมาก่อนไหมว่าตัวเองจะบรรลุความฝันแรก ได้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.6
ไม่คิดเลยว่าจะได้รับโอกาสเร็วขนาดนี้ เคยวางแผนไว้ว่าอายุสักประมาณ 20 ปีขึ้นไป จะต้องติดทีมชาติชุดใหญ่ให้ได้ แต่พอมีชื่อติด 50 คนในข่าย ก็ยังไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกเรียกเป็น 23 คนสุดท้ายหรอกครับ เดี๋ยวโค้ชก็คงตัดชื่อทิ้ง เพราะผมเพิ่งลงเล่นให้ ชลบุรี เอฟซี แค่ 7 นัดเอง
แต่สุดท้ายโค้ช (อากิระ นิชิโนะ) เลือกเราติดทีมชุดใหญ่จริง ๆ ผมรู้สึกดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยครับ มีคนโทรเข้ามาทั้งวันเลย มันเหลือเชื่อมาก
ครั้งแรกที่เข้าไปซ้อมกับรุ่นพี่ในทีมชาติ ผมยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่พอผ่านวันแรกไป ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ยากเกินไป เราแค่ต้องกล้าเล่น กล้าโชว์ให้โค้ชเห็น อย่าไปกลัว เพราะถ้าเราฝ่อไปก่อน ความมั่นใจเราก็หายไป
- เราไม่ค่อยเห็นนักฟุตบอลโนเนมอายุน้อย ติดทีมชาติครั้งแรกและได้รับโอกาสลงสนามเลย แต่คุณทำมันได้ เล่าโมเมนต์นั้นให้เราฟังหน่อย
มีความสุข และตื่นเต้นดีครับ เพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน เมื่อ 2-3 ปีก่อน ผมยังเล่นทีมชาติ รุ่น U-16 อยู่เลย (หัวเราะ)
แมตช์นั้น (เจอกับ ไทยลีก ออลสตาร์) ผมจำได้ว่าครึ่งหลัง โค้ชนิชิโนะ เรียกผมมาคุยและว่า "ไม่ต้องห่วงเรื่องผลสกอร์ ผมมั่นใจในตัวคุณ แสดงความเป็นตัวคุณออกมา"
ผมรู้สึกภูมิใจนะที่เขาพูดแบบนั้นกับเรา เขาเชื่อมั่นใจเรา ครึ่งหลังลงไป ผมก็เลยมีความมั่นใจมากกว่าเดิม
- ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จากเด็กที่ยังเล่นบอลระดับนักเรียน คุณก้าวกระโดดมาได้ไกลขนาดนี้ คุณมีคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร ?
มันคืออาชีพที่ผมรัก และเป็นความรับผิดชอบของผม ผมก็จะยังพัฒนาและพยายามต่อไป ผมที่มีโอกาสในชีวิตดีกว่าคุณพ่อผม ที่อยากเป็นนักเตะแต่คุณปู่ไม่สนับสนุน พอมาถึงรุ่นคุณพ่อ ท่านให้การสนับสนุนผมมาตลอด ขับรถพาผมไปซ้อมตามที่ต่าง ๆ ตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้บางคนจะดูถูก หรือบอกว่า "ทำแล้วมันจะได้อะไร ? ความหวังของพ่อที่อยากเห็นผมเป็นนักบอลอาชีพ มันดูลม ๆ แล้ง ๆ ไปหรือเปล่า" แต่คำเหล่านั้นผมเอามาเป็นแรงผลักดัน และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันคงเป็นผลของความพยายาม ที่เราขยันมาตลอด
ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มันได้สอนและให้บทเรียนอะไรหลายอย่างในชีวิตผม แต่ผมไม่หยุดแค่นี้แน่นอน ผมจะทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นกว่าเดิม
บทความโดย อลงกต เดือนคล้อย
โฆษณา