27 ธ.ค. 2020 เวลา 00:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
EQUITY INSIGHT EP1 : สรุปข้อมูล [แบบเจาะลึก] ของ 10 กองทุนแห่งโลกอนาคตในประเทศไทยที่น่าลงทุนทั้งในระยะสั้น กลาง และยาวตามมุมมองของ World Maker สำหรับปี 2020 เป็นต้นไป
สวัสดีครับผู้ติดตามทุกท่าน สำหรับบทความนี้ก็คงจะเป็นบทความแรกที่ World Maker จะมาพูดถึงกองทุน "ในประเทศไทย" กันนะครับ โดยจะมีการนำรายละเอียดที่สำคัญของกองทุนนั้น ๆ มาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงน่าลงทุน ซึ่งบทความนี้จะเน้นมุมมองจากปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Factors) มากกว่าปัจจัยทางเทคนิค เนื่องจากเป้าหมายของเราจะเน้นไปที่การลงทุนในระยะกลางและยาวมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้นนะครับ ติดตามกันได้เลยครับ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนอ่านสำหรับนักลงทุนมือใหม่
(1.) ระดับความเสี่ยง 6/8 หรือ 7/8 ถือว่าเสี่ยงมากไปไหม ?
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าในบทความนี้ ทุกกองทุนที่เรานำเสนอจะมีระดับความเสี่ยง (Risk Level) อยู่ที่ 6 ขึ้นไปทั้งหมด
ทำไมล่ะ ?
เนื่องจากการลงทุนในกองทุน (หรือการซื้อหุ้นกองทุน) นั้นก็หมายถึงการที่คุณลงทุนในสินทรัพย์ (Asset) ประเภทตราสารทุน (Equity) ซึ่งเป็นประเภทสินทรัพย์ (Asset Class) ที่มีพื้นฐานความเสี่ยงสูงอยู่แล้วเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางด้านความเสี่ยงนั้น หากคนที่เลือกลงทุนในหุ้นย่อมจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เราอยากนำเสนอ เพราะสิ่งที่สำคัญคือปัจจัยพื้นฐานซึ่งขับเคลื่อนราคาหุ้นตัวนี้มากกว่า
(2.) High Issuer Concentration Risk คืออะไร ?
ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารรายใดรายหนึ่ง (High Issuer Concentration Risk) เกิดจากการที่กองทุนลงทุนในผู้ออกตราสารรายใด ๆ มากกว่า 10% ของ NAV * ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการด่าเนินงาน ฐานะทางการเงิน หรือความมั่นคงของผู้ออกตราสารรายดังกล่าว กองทุนอาจมีผลการด่าเนินงานที่ผันผวนมากกว่ากองทุนที่กระจายการลงทุนในหลายผู้ออกตราสาร
1
* NAV (Net Asset Value) หรือ "มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ" ของบริษัท หมายถึง สินทรัพย์รวมของบริษัทลบด้วยหนี้สินทั้งหมด ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่น ๆ มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์และมีหนี้สิน 10 ล้านดอลลาร์ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของบริษัทจะเท่ากับ 90 ล้านดอลลาร์
(3.) Sector Concentration Risk คืออะไร ?
ความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง (Sector Concentration Risk) เกิดจากการที่กองทุนลงทุนในบางหมวดอุตสาหกรรมมากกว่า 20% ของ NAV ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนั้น กองทุนดังกล่าวอาจมีผลการด่าเนินงานที่ผันผวนมากกว่ากองทุนที่กระจายการลงทุนในหลายหมวดอุตสาหกรรม
(4.) Country Concentration Risk คืออะไร ?
ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง (Country Concentration Risk) เกิดจากกองทุนลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งมากกว่า 20% ของ NAV รวมกัน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศดังกล่าว เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เป็นต้น กองทุนดังกล่าวอาจมีผลการด่าเนินงานที่ผันผวนมากกว่า กองทุนที่กระจายการลงทุนในหลายประเทศ
(5.) ตัวเลขเหล่านี้มีนัยสำคัญแค่ไหน ?
คำตอบคือ : เพียงเล็กน้อยเท่านั้นหากเราเลือกบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
(6.) ปัจจัยพื้นฐานที่ดีคืออะไร ?
หุ้นที่มี "ปัจจัยพื้นฐานดี" ในอีกแง่หนึ่งก็คือหุ้นที่ได้รับการสนับสนุนจาก "สภาพแวดล้อมของตลาดในปัจจุบันและอนาคต" ทั้งในแง่ของรูปแบบธุรกิจที่เข้ากับวิถีชีวิตและเทคโนโลยีในปัจจุบัน โอกาสในการทำผลกำไร โอกาสในการเติบโต และความมั่นคงทางธุรกิจ(สัมพันธ์กับเงินทุนและระดับหนี้สิน)
(1.) ONE GLOBAL E-COMMERCE FUND (ONE-GECOM)
กองทุน E-COMMERCE ยอดฮิตที่หลายสำนักแนะนำ และมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดปีนี้
2
ข้อมูลเบื้องต้น
ระดับความเสี่ยง : 6/8
ความผันผวน (SD) : 15-25%
การป้องกันความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) : บางส่วน
ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก : 1,000 บาท
ลงทุนขั้นต่ำครั้งต่อ ๆ ไป : 1,000 บาท
สรุปรายละเอียดสำคัญ
กองทุนนี้จะมีการลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) ประเภท E-COMMERCE ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เช่น บริษัทที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์ รวมไปถึงโลจิสติก การขนส่ง คลังสินค้า และเทคโนโลยี
ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน ETF ต่างประเทศ รวมถึงสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ด้วย โดยสัดส่วนการลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่มากกว่า 80% ของมูลค่าสุทธิของกองทุน
สัดส่วนของสินทรัพย์ 5 อันดับแรกที่ถือครองในปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 25/12/2020)
1. Amplify Online Retail ETF : 66.33%
2. BOOKING HOLDINGS INC : 3.40%
3. Amazon.com Inc : 6.29%
4. Alibaba Group Holding Ltd : 3.16%
5. Netflix Inc. : 2.5%
นั่นหมายความว่าอะไร ?
รายชื่อที่กล่าวมาข้างต้นก็คือบริษัทที่กองทุน ONE-GECOM จะนำเงินมากกว่า 80% ของ NAV ไปลงทุนยังไงล่ะครับ และในอีกแง่หนึ่ง ถ้าคุณเข้าซื้อหุ้นของกองทุนนี้ ก็จะให้ผลคล้าย ๆ กับคุณเข้าไปซื้อถือหุ้นของบริษัททั้ง 5 แห่งที่กล่าวมานั่นเอง
แล้วบริษัทเหล่านี้ทำอะไรบ้าง ?
เริ่มจาก Amplify Online Retail ETF กองทุน E-COMMERCE ชื่อดังที่มีการนำเงินทุนไปลงทุนต่อในหลายบริษัทซึ่งจะเกี่ยวกับ Digital Economy เป็นหลัก ส่วนเรื่องการกระจายความเสี่ยงนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเพราะกองทุนนี้มีการลงทุนในทั้งหมด 60 บริษัทด้วยกันเลยทีเดียว
ส่วน Booking Holdings นั้นก็คือบริษัทแม่ของ Agoda ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าองค์กรเหล่านี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการโรงแรมแบบ Digital และอีก 3 บริษัทอย่าง Amazon, Alibaba และ Netflix นั้น World Maker ขอละสรรพคุณไว้ในฐานที่เข้าใจ เนื่องจากเป็นบริษัทชื่อดังระดับโลกที่นักลงต่างรู้จักกันดีอยู่แล้ว
สรุปก็คือ หากคุณถือหุ้นของ ONE-GECOM ก็เปรียบเปรยเหมือนกับคุณกำลังถือหุ้นของบริษัทชั้นนำระดับโลกเหล่านี้อยู่ด้วย และนั่นคือเหตุผลที่ World Maker มองว่ามันน่าลงทุนนั่นเองครับ
และนอกจากนี้ ผลการดำเนินงานทั้งแบบ YTD และแบบ All Time ก็ยังให้ผลตอบแทนในเชิงบวก ซึ่งเราสามารถตีความหมายกว้าง ๆ ตรงนี้่ได้ว่ากองทุนตัวนี้สามารถเผชิญวิกฤตในช่วง COVID-19 ได้ดีเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อตลาดฟื้นตัวแล้ว จึงมีโอกาสอีกมากที่กองทุนตัวนี้จะเติบโตต่อไป
พื้นฐานสำคัญที่สุดก็คือธุรกิจเหล่านี้มีโครงสร้างพื้นฐานอยู่บนระบบ Digital และมันสามารถพิสูจน์ให้เห็นมาตลอดปี 2020 ที่โหดร้ายแล้วว่าค่อนข้างมีศักยภาพที่น่าเชื่อถือได้ทีเดียว อย่างที่ World Maker เคยได้นำเสนอไปบ่อย ๆ ว่าแนวโน้มของโลกกำลังเปลี่ยนไปเป็นระบบ Digital มากขึ้น
(2.) Krungsri World Tech Equity Hedged Fx Fund-A (KFHTECH-A)
กองทุนรวมทางด้านเทคโนโลยีที่จะนำเงินไปลงทุนในหน่วยกองทุนรวมต่างประเทศที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง และแสดงประสิทธิภาพได้อย่างแข็งแกร่งตลอดปีนี้
ข้อมูลเบื้องต้น
ระดับความเสี่ยง : 7/8
ความผันผวน (SD) : มากกว่า 25%
การป้องกันความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) : บางส่วน
ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก : 2,000 บาท
ลงทุนขั้นต่ำครั้งต่อ ๆ ไป : 2,000 บาท
สรุปรายละเอียดสำคัญ
กองทุนจะนำเงินไปลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศชื่อ BGF World Technology Fund (Class D2 USD) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80% ของ NAV ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นของ BlackRock Inc. ซึ่งเป็นบริษัททางด้านการจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ถือครองในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30/11/2020)
1. BGF World Technology Fund (Class D2 USD) 93.93%
2. เงินฝากหรือตราสารหนี้ที่สถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นผู้ออก : 4.46%
3. สินทรัพย์อื่น ๆ : 4.26%
4. หนี้สินอื่น ๆ : -3.17%
แล้วกองทุน BGF ของ BlackRock นำเงินไปลงทุนในอะไรต่อบ้าง ?
สำหรับกองทุน BGF World Technology Fund (Class D2 USD) นั้น แน่นอนว่าตามชื่อของกองทุนก็ได้บ่งบอกอยู่แล้วว่าพวกเขาเน้นลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 พ.ย. 2020 ระบุว่ามีการถือครองบริษัทยักษ์ใหญ่ที่น่าสนใจดังนี้
1. Apple Inc : 3.76%
2. Microsoft corp : 3.15%
3. Tesla Inc : 2.53%
4. Amazon Inc : 2.30%
5. Tencent Holdings Ltd : 1.71%
6. Alibaba Group Holding : 1.65%
7. Paypal Holding Inc : 1.55%
1
คิดเป็นสัดส่วนการลงทุนทางด้าน Software & Services 47.91%, Tech Hardware & Equip 30.07% และ Semiconductor & Equip อีก 22.01%
ซึ่งแน่นอนว่ารายชื่อบริษัทที่ World Maker กล่าวมาข้างต้นนี้คือสุดยอดบริษัทในกลุ่ม Technology ที่เราเล็งเห็นแล้วว่าตอบโจทย์อย่างมากสำหรับการลงทุนในยุค COVID-19 และยุคหลัง COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า, E-Commerce, Digital Payment กองทุนตัวนี้ตอบโจทย์ทั้งหมดให้คุณแล้ว
นอกจากนี้ กองทุน BGF World Technology Fund ยังได้รับการรับรองจาก Morning Star ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านการจัดอันดับหุ้นต่าง ๆ รวมถึงยังมีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่แข็งแกร่งทั้งตลอดช่วงอายุ และแบบ YTD
(3.) KTAM World Technology Artificial Intelligence Equity Fund (KT-WTAI-A)
ถือเป็นอีก 1 กองทุนชั้นนำของไทยที่เน้นการลงทุนทางด้าน A.I. และสามารถแสดงประสิทธิภาพในดีที่สุดตัวหนึ่งภายในปีนี้เลยทีเดียว
ข้อมูลเบื้องต้น
ระดับความเสี่ยง : 6/8
ความผันผวน (SD) : มากกว่า 25%
การป้องกันความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) : อยู่ในดุจพินิจ *
ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก : 1,000 บาท
ลงทุนขั้นต่ำครั้งต่อ ๆ ไป : 1,000 บาท
* ของคณะกรรมการบริหารกองทุน
สรุปรายละเอียดสำคัญ
กองทุนนี้จะนำเงินไปลงทุนในกองทุน Allianz Global Artificial Intelligence ในหน่วยลงทุนชนิด Class AT (USD) ไม่ต่ำกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนดังกล่าวเป็นของ Allianz SE ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านการเงินระดับโลกจากยุโรป มีสำนักงานใหญ่ในมิวนิคประเทศเยอรมนี ธุรกิจหลักของบริษัทคือการประกันภัยและการจัดการสินทรัพย์ (รวมถึงลงทุน) โดยในปี 2014 นิตยสาร Forbes ได้ยกให้ Aliianz เป็นบริษัททางด้านการประกันภัยและบริการทางเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ถือครองในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31/10/2020)
1
1. Allianz Global Artificial Intelligence Fund 97.37%
2. SCB : 4.87%
3. TMB (55933648) : 0.48%
4. TMB (55408846) : 0.34%
5. KTB (51870788) : 0.28%
แล้วกองทุน Allianz Global Artificial Intelligence Fund ถือครองอะไรอยู่บ้าง ?
สำหรับกองทุน Allianz Global Artificial Intelligence Fund นั้นจะมีการถือครองสินทรัพย์ใน 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ Technology 8.46%, Communication Services 25.44% และ Consumer Cyclical (กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค) 13.96%
โดยมีสัดส่วนการลงทุนในบริษัท 10 อันดับแรกดังนี้
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับบริษัทที่คนไทยอาจจะไม่คุ้นหู
- Roku Inc บริษัททางด้านการพัฒนา Streaming Device ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในทวีปอเมริกาเหนือและอีกหลายทวีปทั่วโลก โดยจะเป็นอุปกรณ์ที่มีการบรรจุ Streaming Platform ของ TV ช่องต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบรายการสด วีดีโอ หนัง และอื่น ๆ
1
- Square Inc บริษัทที่ให้บริการทางการเงิน การค้า การชำระเงินออนไลน์ และเทคโนโลยีจำพวก Blockchain, Cryptocurrency ก่อตั้งโดย Jack Dorsey ซึ่งเป็น CEO ของ Twitter
- Splunk Inc บริษัททางด้านซอฟแวร์เพื่อการค้นหา เก็บ วิเคราะห์ ติดตาม และตรวจสอบชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยใช้ A.I. เข้ามาช่วย ซึ่งในปัจจุบันมีหลายบริษัทเริ่มนำ Software ของพวกเขาไปใช้ในการจัดการข้อมูลทางธุรกิจ อุตสาหกรรม และอื่น ๆ
- Crowdstrike Holdings Inc บริษัททางด้าน Cybersecurity technology ซึ่งให้บริการทางด้านความปลอดภัยของข้อมูล ข่าวกรองสำหรับภัยคุกคามทางไซเบอร์ และบริการตอบสนองภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ตแบบฉุกเฉิน
- Overstock.com Inc คล้าย ๆ กับ Square Inc แต่จะเน้นการขายสินค้าลดราคาต่าง ๆ ทางอินเตอร์เน็ตด้วยเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว สินค้าแบรนด์เนม และอื่น ๆ ซึ่งอาจฟังดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับ Crypto Currency นัก แต่จริง ๆ แล้วบริษัทนี้ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการรับชำระเงินด้วย Bitcoin และทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทพุ่งตามราคาของมันเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ผู้บริหารกล่าวว่าในอนาคตจะมีการนำเงินไปลงทุนเพื่อสร้าง Platform การเทรด Digital Currency และอาจเปลี่ยนมาเอาดีทางด้าน Cryptocurrency มากกว่า E-commerce
3
- Twillio Inc บริษัททางด้าน Cloud Communications Platform ซึ่งช่วยให้นักพัฒนาซอฟแวร์สามารถสร้างโปรแกรมรับ-ส่งข้อความ, โทรศัพท์, วิดีโอ ผ่านทาง Web api ซึ่งลูกค้าในปัจจุบันของพวกเขาคือบริษัทที่คนไทยคุ้นหูกันดีอย่างเช่น Airbnb และ Netflix
- Snap Inc บริษัททางด้านกล้องและ Social Media ที่มี Platform ชื่อดังว่า SnapChat นั่นเอง
ปัจจัยขับเคลื่อน : จะเห็นได้ว่าบริษัทเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยความต้องการทางด้านเทคโนโลยีที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในชีวิตประจำวัน และตอบโจทย์โครงสร้างธุรกิจสมัยใหม่เป็นอย่างมาก ดังนั้นในเมื่อมันสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างปี 2020 ไปได้แล้วล่ะก็ คาดว่าในระยะกลางและยาวจะเติบโตขึ้นอีกมากทีเดียว
(4.) Asset Plus Evolution China Equity Fund (ASP-EVOCHINA)
กองทุนที่เน้นลงทุนในประเทศจีน รวมถึงฮ่องกง และไต้หวัน ผ่านหน่วย CIS ต่างประเทศชื่อ Mirae Asset China Growth Equity Fund ซึ่งสามารถทำผลกำไรได้อย่างน่าสนใจตลอดปีที่ผ่านมา
ข้อมูลเบื้องต้น
ระดับความเสี่ยง : 6/8
ความผันผวน (SD) : 15-25%
การป้องกันความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) : อยู่ในดุจพินิจ *
ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก : 5,000 บาท
ลงทุนขั้นต่ำครั้งต่อ ๆ ไป : 5,000 บาท
* ของคณะกรรมการบริหารกองทุน
สรุปรายละเอียดสำคัญ
กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) และ/หรือ หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนของบริษัทที่มีการจดทะเบียนธุรกิจ และ/หรือ ดำเนินธุรกิจ และ/หรือ มีรายได้หลักจากการประกอบกิจการในสาธารณรัฐประชาชนจีน และ/หรือ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และ/หรือ ประเทศสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงอาจพิจารณาลงทุนในหน่วยลงทุน CIS และ/หรือ กองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ที่มีนโยบายการลงทุนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นด้วย โดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของ NAV
สัดส่วนของสินทรัพย์ 6 อันดับแรกที่ถือครองในปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 30/09/2020)
1. Mirae Asset China Growth Equity Fund : 58.77%
2. TENCENT HOLDING LIMITED : 4.48%
3. WEIMOB INC : 4.29%
4. XIAOMI CORP : 4.04%
5. MEITUAN DIANPING-CLASS B : 3.82%
6. ALIBABA GROUP HOLDING LTD : 3.70%
1
แล้ว Mirae Asset China Growth Equity Fund นำเงินไปลงทุนในอะไรต่อ
สำหรับหน่วย CIS ต่างประเทศนั้นจะมีการลงทุนในบริษัทชั้นนำของจีนเช่นกัน โดยผู้อ่านสามารถดูรายละเอียดได้ตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ (ตัวอย่างบริษัทดัง ๆ เช่น Tencent, Alibaba, JD.com
ปัจจัยขับเคลื่อน : เศรษฐกิจในประเทศจีนนั้น อย่างที่เราได้กล่าวมาหลายครั้งแล้วว่าในปัจจุบันทั่วโลกกำลังยอมรับให้เป็น 1 ในประเทศที่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนี้ได้ดีที่สุดในโลกทีเดียว และด้วยกระแสที่จีนกำลังจะเติบโตจนมีขนาด GDP ใหญ่กว่าสหรัฐฯ ในอนาคตแล้วนั้น การลงทุนในสินทรัพย์ของจีนจึงถือเป็นเรื่องที่ World Maker ค่อนข้างเห็นสมควรอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ
(5.) ONE Ultimate Global Growth Fund (ONE-UGG-RA)
กองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงแห่งเดียว (Master Fund) ซึ่งมีผลการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งตลอดปีนี้เช่นกัน ที่สำคัญคือกองทุนนี้ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาทเท่านั้น !!
ข้อมูลเบื้องต้น
ระดับความเสี่ยง : 6/8
ความผันผวน (SD) : 15-25%
การป้องกันความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) : อยู่ในดุจพินิจ *
ลงทุนขั้นต่ำครั้งแรก : 1 บาท
ลงทุนขั้นต่ำครั้งต่อ ๆ ไป : 1 บาท
* ของคณะกรรมการบริหารกองทุน
สรุปรายละเอียดสำคัญ
กองทุนนี้จะมีการลงทุนในกองทุนต่างชาติเพียงแห่งเดียวก็คือ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund ซึ่งเรียกว่า Master Fund นั่นเอง กองทุนนี้บริหารโดย Baillie Gifford ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีนวัตกรรมและการเติบโตสูง โดยจะติดตามหุ้นราว 20-30 ตัว ผ่านแนวคิดหลักที่ว่า "บริษัทที่เข้าลงทุนจะต้องสามารถ Disrupt อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมได้"
สัดส่วนของสินทรัพย์ 5 อันดับแรกที่ถือครองในปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 27/12/2020)
1. Baillie Gifford Long Term Global Growth Investment Fund : 98.43%
2. พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยงวดที่ 35/91/63 : 0.02%
แล้ว Baillie Gifford Long Term Global Growth Investment Fund นำเงินไปลงทุนอะไรต่อ ?
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับบริษัทที่คนไทยอาจไม่คุ้นหู
- Meituan บริษัททางด้าน E-commerce Platform ในประเทศจีนที่เน้นกลยุทธ์ "Food + Platform" และถือเอา "การรับประทานอาหาร" เป็นหัวใจหลักของธุรกิจ โดยมีนวัตกรรมที่น่าสนใจคือการจับมือกับร้านค้าท้องถิ่นจำนวนมากและพันธมิตรที่หลากหลายเพื่อเสนอบริการที่มีคุณภาพแก่ผู้บริโภคและเร่งการยกระดับอุตสาหกรรมบริการเพื่อการใช้ชีวิตแบบดิจิทัลทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน
2
- Kering SA สัญชาติฝรั่งเคสที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจจากการค้าไม้ในปี 1963 และพัฒนาไปสู่การค้าปลีก จนมาถึงในปัจจุบันได้กลายเป็นบริษัทสินค้าหรูหราชื่อดัง ณ ปัจจุบันนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ถือเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นมากนักในปีนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมสินค้าหรูต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของ COVID-19 แต่ที่น่าสนใจคือพวกเขาสามารถประคับประคองธุรกิจไว้ได้อย่างดีเมื่อเทียบกับบริษัทสินค้าหรูอื่น ๆ
- Illumina บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการอ่านพันธุกรรมมนุษย์และเชื้อโรคต่าง ๆ โดยปัจจุบันเทคโนโลยีที่ชื่อ llumina’s next generation sequencing (NGS) กำลังถูกนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เพื่อวิเคราะห์ลักษณะจีโนมไวรัสของ nCoV ในประเทศจีน ซึ่งมีการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ระดับโลก จนได้รับความสนใจจากนักวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลกอย่างรวดเร็วและแพร่หลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะการสามารถอ่านพันธุกรรม และจำแนกลักษณะจีโนมของไวรัสได้อย่างรวดเร็วมีบทบาทสำคัญในการจำกัดการระบาดของไวรัสที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งวงการแพทย์ไม่เคยมีความรู้มาก่อนอย่างเช่น COVID-19 ในปัจจุบัน และในอดีตเมื่อครั้งที่มีการระบาดของเชื้อ Ebolar ในแอฟริกา เทคโนโลยีของ Illumina ก็เป็นเครื่องมืออ่านพันธุกรรมเพื่อค้นคว้าวินิจฉัยโรค และช่วยให้ค้นพบแนวทางการรักษามาแล้ว
ติดตามกองทุน 5 ตัวที่เหลือได้ใน EP 2 เร็ว ๆ นี้ครับ
โฆษณา