25 ก.พ. 2021 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
เมื่อรองเท้ากีฬา AVIA เป็นกุญแจสำคัญในการล่าตัวฆาตกรต่อเนื่องจอมโหดแห่งแคลิฟอร์เนีย | MAIN STAND
AVIA อาจจะไม่ใช่แบรนด์รองเท้ากีฬาชื่อดังเมื่อเทียบกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง NIKE, ADIDAS, หรือ PUMA ยิ่งในประเทศไทยคงมีน้อยคนที่จะรู้จัก ทว่าครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ รองเท้ากีฬา AVIA นี่แหละ คือกุญแจสำคัญของตำรวจในการตามล่าจับกุมตัวหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และประเทศสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่ Main Stand
NIGHT STALKER
ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 80 ณ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นยุคที่แสงสีเสียง ความบันเทิง และบรรยากาศทางสังคมของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เฟื่องฟูถึงขีดสุด โดยเฉพาะในมหานคร ลอส แอนเจลิส ที่เรียกได้ว่าเป็นแดนสวรรค์ของเหล่าคนหนุ่มสาวในการแสวงหาความฝันและความสุข
1
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงฉากหน้าอันสวยงามที่ฉาบเคลือบไว้เท่านั้น เพราะอีกด้านหนึ่งแคลิฟอร์เนียในยุค 80s ผู้คนต่างขนานนามว่าเป็น "ยุคทองแห่งฆาตกรต่อเนื่อง" เนื่องจากมีฆาตกรต่อเนื่องจำนวนมาก ที่ลงมือสังหารเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมในเวลาใกล้เคียงกันราวกับนัดกันไว้
Photo : murderpedia.org
"ไม่มีที่ไหนในแอลเอที่จะปลอดภัย เราไม่รู้ว่าพวกเขาจะลงมืออีกเมื่อไร" เชอร์แมน บล็อก นายตำรวจประจำเมือง ลอส แอนเจลิส ในช่วงเวลาดังกล่าวเผย
Night Stalker หรือ Golden State Killer คือฉายาของฆาตกรต่อเนื่องนาม โจเซฟ เจมส์ ดิแอนเจโล ผู้สร้างประวัติศาสตร์ความโฉดชั่วด้วยการสังหารเหยื่อไป 13 ราย และข่มขืนมากกว่า 50 ราย ในหลายเมืองของรัฐแคลิฟอร์เนีย ช่วงปี 1973-1986 (โจเซฟ เจมส์ ดิแองเจโล ถูกจับกุมในปี 2018 ด้วยเทคโนโลยีพิสูจน์ดีเอ็นเอสมัยใหม่ หลังจากหลบหนีมาได้กว่า 45 ปี อย่างไรก็ตามหลังจากปี 1986 เขาก็ไม่ได้ก่อคดีใด ๆ อีก)
"ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก" น่าจะเป็นสุภาษิตที่เข้ากับชีวิตของชาวแคลิฟอร์เนียยุค 80s ได้ดีที่สุด เพราะในขณะที่ม่านหมอกแห่งความหวาดกลัวที่มีต่อ Night Stalker ยังไม่จางหาย ก็ได้มีฆาตกรต่อเนื่องรายใหม่ปรากฏตัวขึ้น อีกทั้งรายนี้ยังดูโหดเหี้ยมกว่า คาดเดาได้ยากกว่าอีกด้วย จนสื่อมวลชนตั้งฉายาให้ว่า Night Stalker เช่นเดียวกัน ส่วน Night Stalker คนเก่าก็กลายเป็น Original Night Stalker
1
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม ปี 1985 มันเป็นวันเซนต์แพทริก ที่ผู้คนต่างพากันออกมาเฉลิมฉลองสนุกสนาน แต่ในย่านดาวน์ทาวน์ของ ลอส แอนเจลิส กลับเกิดคดีฆาตกรรมอันน่าสยดสยองขึ้น
"ผมไปถึงที่เกิดเหตุ เห็นว่าประตูโรงรถเปิดอยู่ เมื่อเข้าไปด้านในก็พบกับกองเลือดจำนวนมหาศาล กระเซ็นไปทั่วทั้งลูกบิดประตู เปื้อนที่โทรศัพท์ มีหมวกเบสบอล AC/DC ตกอยู่ และก็มีศพหญิงสาวที่ทราบชื่อภายหลังว่า เดยล์ โอคาซากิ นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่ในห้องครัว"
"ฆาตกรรายนี้มีจิตใจผิดมนุษย์อย่างมาก ในขณะที่ เดยล์ โอคาซากิ หลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ห้องครัวเพราะเธอทราบว่ามีผู้บุกรุก ฆาตกรก็ได้เห็นมือเธอที่โผล่ยื่นออกมา เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์อย่างช้า ๆ นั่งลงในด้านตรงข้ามกับที่ เดยล์ ซ่อน ก่อนจะยกปืนไปจ่อเอาไว้บนเคาน์เตอร์ หลังจากนั้นในตอนที่ เดยล์ ค่อย ๆ โผล่หัวจากเคาน์เตอร์เพื่อเช็กว่าผู้บุกรุกยังอยู่หรือเปล่า ศีรษะเธอก็แนบเข้ากับกระบอกปืนของฆาตกรพอดี วินาทีนั้นเธอคงหวาดกลัวอย่างมาก ฆาตกรเสพสุขจากสีหน้าสิ้นหวังนั้น ก่อนจะลั่นไกสังหารเธอ" กิล การ์ริโย หนึ่งในตำรวจผู้นำทีมล่าตัว Night Stalker กล่าว
2
หลังจากสังหาร เดยล์ โอคาซากิ เสร็จ ปรากฏว่า มาเรีย เฮอร์นานเดซ รูมเมทของ เดยล์ ก็ได้เข้ามาในที่เกิดเหตุพอดี ฆาตกรโหดไม่ลังเลที่จะยิงเธอ แต่เคราะห์ดีที่กระสุนโดนกุญแจซึ่ง มาเรีย ห้อยไว้ที่คอ ทำให้เธอไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก มาเรีย รีบวิ่งหนีจากที่เกิดเหตุ ก่อนที่เธอจะนึกเป็นห่วง เดยล์ และย้อนกลับมาอีกครั้ง ปรากฎว่าฆาตกรยังอยู่ ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน
1
"คุณยิงฉันไปแล้วหนึ่งครั้ง คุณจะยิงฉันอีกนัดหนึ่งจริง ๆ เหรอ" มาเรีย กล่าวพร้อมยกสองมือขึ้นเหนือศรีษะอย่างสิ้นหวัง ในตอนนั้นเธอคิดว่ายังไงเธอก็คงไม่รอดเงื้อมมือฆาตกรรายนี้ ทว่าเขากลับจ้องมองหน้าเธอ และเดินจากไปอย่างใจเย็น
1
"เขาไม่แม้แต่จะวิ่งด้วยซ้ำ"
Photo : www.retrokimmer.com
40 นาทีหลัง เดยล์ โอคาซากิเสียชีวิต และห่างออกไปเพียงหนึ่งไมล์ ไช่เหลียน ยู หญิงสาวอเมริกันเชื้อสายจีน ถูกรถคันหนึ่งจอดขวางทาง ก่อนจะมีใครบางคนเดินเข้าหาเธอ เปิดประตูกระชากเธอลงจากรถ ก่อนจะลั่นไกสังหารเธอโดยไม่ทราบสาเหตุ ทิ้งให้เธอนอนเสียชีวิตกลางถนนอย่างน่าอนาถ
ในตอนแรกตำรวจยังไม่มั่นใจนักว่าคดีฆาตกรรม 2 คดีนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ผู้เสียชีวิตต่างถูกสังหารด้วยปืนขนาด .22 เหมือนกัน เป็นเบาะแสสำคัญในการหาความเชื่อมโยง
"เขาสูงประมาณ 5 ฟุต 10 นิ้ว อาจเป็นชาวเม็กซิกัน ลาติน หรือสเปน ผิวขาว สวมเสื้อผ้าสีเข้ม ฟันหน้าห่าง และกลิ่นตัวแรง" มาเรีย ผู้ได้เผชิญหน้ากับฆาตกรโหดในระยะประชิดอธิบายรูปพรรณสันฐานเพื่อสเก็ตช์รูป และเมื่อรูปวาดเสร็จสมบูรณ์ กิล การ์ริโย นายตำรวจผู้สืบคดีถึงกับตกตะลึง
"นี่มันเหมือนกับผู้ต้องสงสัยในคดีพยายามลักพาตัวนอกเมือง ปิโก ริเวรา เป๊ะเลยนี่"
1
ไร้แบบแผน
"ในตอนนั้นฉันอายุแค่ 6 ขวบ ฉันถูกปลุกให้ตื่นในขณะที่หลับอยู่ในบ้านโดยผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ทำไมฉันรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเขา เขาพาฉันขึ้นรถเขาไป ขับไปบนถนนนานเท่าไรฉันก็ไม่รู้ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่บรรยากาศดูเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยขยะ ขวดเหล้า ก้นบุหรี่ ไม่เหมือนบ้านฉันเลยสักนิด เขาพาฉันเข้าไป และก็เริ่มข่มขืนฉัน"
"หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็พาฉันขึ้นรถ ขับไปเรื่อย ๆ จนเจอตู้โทรศัพท์ เขาจอดรถให้ฉันลง และบอกให้ฉันไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจซะ ก่อนที่เขาจะหายไป" อนาสตาเซีย ฮาโรนาส หนึ่งในเหยื่อของคดีลักพาตัวนอกเมือง ปิโก ริเวรา กล่าวย้อนความหลังที่เธอไม่ยากจดจำ และไม่ใช่เพียงแค่เธอเท่านั้น เพราะในระยะเวลาใกล้เคียงกัน มีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจำนวนมากถูกลักพาตัวไปข่มขืนในลักษณะเดียวกัน
1
แน่นอนว่าเด็ก ๆ ผู้รอดชีวิตต่างจดจำใบหน้าของคนร้ายได้อย่างชัดเจน และนอกจากนั้นอีกหนึ่งเบาะแสสำคัญคือรอยรองเท้ากีฬาขนาด 11-12 ที่มักจะหลงเหลืออยู่ในที่เกิดเหตุ
Photo : calisphere.org
กลับมาที่คดี Night Stalker ... 10 วันหลังจากคดีฆาตกรรม เดยล์ โอคาซากิ ในพื้นเขต วิตทิเออร์ เคาน์ตี้ ห่างจาก ลอส แอนเจลิส ไม่ไกล พบศพคู่สามีภรรยา วินเซนต์ และ แม็กซีน ซาซารา เสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ฝ่ายชายถูกยิงเข้าที่ขมับขณะนอนหลับบนโซฟาห้องนั่งเล่น ส่วนฝ่ายหญิงหลังจากถูกข่มขืนแล้ว ฆาตกรได้จ้วงแทงเธอ ก่อนจะควักนัยน์ตาเธอติดตัวกลับไปด้วย
1
นี่คือเกมสังหารโหดที่ฆาตกรได้เริ่มขึ้นแล้ว และเขาก็ไม่หยุดง่าย ๆ เพราะหลังจากคู่สามีซาซาราแล้ว ยังมีผู้บริสุทธิ์มากมายที่ต้องตกเป็นเหยื่อ เช่น วิลเลี่ยม ดอย วัย 66 ปี ที่โดนยิงจนเสียชีวิตในบ้านตัวเอง ส่วนภรรยาโดนข่มขืนและทำร้ายอย่างหนัก แต่โชคดีที่เธอไม่เสียชีวิต, แพตตี้ ฮิกกินส์ วัย 32 ถูกยิง และถูกเชือดคออย่างโหดร้ายในบ้านตัวเอง รวมถึง แมรี่ แคนนอน วัย 75 ปี ซึ่งถูกเชือดคอเช่นกัน
1
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรายงานอาชญากรรมยาวเหยียดของฆาตกรรายนี้เท่านั้น เพราะถ้าต้องกล่าวถึงเหยื่อทุกรายของเขา บทความนี้อาจจะยาวมากกว่า 10 หน้ากระดาษ
2
สิ่งที่สำคัญคือ ในแทบทุกคดีคนร้ายใช้ปืน .22 และมีรอยรองเท้ากีฬาขนาด 11-12 ประทับไว้ที่เกิดเหตุ
1
"นี่มันบ้ามาก ทุกอย่างมันบ่งชี้ว่าทุกคดีคือคนร้ายคนเดียวกัน แต่ในประวัติศาสตร์มันไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน เหล่าฆาตกรต่อเนื่องจะมีแบบแผนในการลงมือเฉพาะตัว แต่ Night Stalker รายนี้ต่างออกไป เขาทั้งข่มขืนเด็กแต่ไม่ฆ่า ข่มขืนหญิงชราแล้วฆ่า ใช้ปืนสังหารหญิงเอเชีย บางคดีก็ใช้มีดเชือดคอแต่ไม่ข่มขืน ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน"
2
"นั่นทำให้ตำรวจคนอื่น ๆ ในกรมหัวเราะเยาะผม เมื่อผมบอกว่าทั้งหมดเป็นฝีมือคนร้ายคนเดียวกัน" การ์ริโย กล่าว
Night Stalker คือฆาตกรที่ดูไร้แบบแผนโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางรู้ว่าเขาจะเลือกใครเป็นเหยื่อ เขาก่ออาชญากรรมราวกับเป็นศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงาน ทว่าในอีกมุมหนึ่งนิสัยแบบนี้ก็ส่งผลดีต่อทีมสืบสวนด้วยเช่นกัน เพราะฆาตกรรายนี้ไม่ระวังตัวเอาเสียเลย เขาทิ้งหลักฐานไว้ในที่เกิดเหตุ และยิ่งเขาก่อคดีมากขึ้น หลักฐานก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน โดยหนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญของตำรวจ คือรอยรองเท้ากีฬา
"ผมสั่งให้ทีมผู้เชี่ยวชาญไปหาคำตอบมาว่ารอยรองเท้าดังกล่าวมันคือรองเท้าอะไร ไม่นานคำตอบก็กระจ่าง มันคือรอยรองเท้ากีฬายี่ห้อ Avia" การ์ริโย กล่าว
เบาะแสสำคัญคือรอยรองเท้า
"รองเท้า Avia เป็นรองเท้าที่หายากมากในสมัยนั้น มันเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งได้ไม่นาน ไม่ได้พบเห็นในตลาดทั่วไปเหมือน Nike หรือ adidas" พอล โซลาร์โน หัวหน้าทีมสืบสวน Night Stalker กล่าว
Photo : true-crimes.tumblr.com
"ผมบินไปคุยกับ เจอร์รี่ สตับเบิลฟิลด์ ผู้ให้กำเนิดรองเท้า Avia ด้วยตัวเอง และเขาก็ให้คำตอบผมได้ว่า รอยดังกล่าวคือรอยรองเท้ารุ่น Aerobic 440 ไซส์ 11 ครึ่งอย่างแน่นอน"
"เขาให้แผ่นข้อมูลการขายกลับมาด้วย ทำให้ผมกับทีมได้รู้ว่าในช่วงเวลาที่เกิดคดี มีรองเท้า Avia Aerobic 440 ไซส์ 11 ครึ่ง สีดำตามคำบอกเล่าของพยานวางจำหน่ายในอเมริกาเพียง 6 คู่เท่านั้น 5 คู่วางจำหน่ายที่แอริโซนา และ 1 คู่ที่แอลเอ" เจอร์รี่ บรูค เจ้าหน้าที่นิติวิทยาแห่งกรมตำรวจ ลอส แอนเจลิส กล่าว
1
"เราอาจจะไม่สามารถแกะรอยไปได้มากกว่านั้นก็จริง แต่ถ้าเราจับฆาตกรได้ และเขาสวมหรือมีรองเท้า Avia Aerobic 440 ไซส์ 11 ครึ่ง สีดำ อยู่ในครอบครอง ก็แทบจะมัดตัวได้เลยว่าเขาคือคนร้ายตัวจริง" การ์ริโย กล่าวเสริม
Photo : thetab.com
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมุ่งเป้าการสืบสวนไปที่รองเท้า Avia แน่นอนว่าคนร้ายยังไม่รู้ในเรื่องนี้ และเขาจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ในสำนักงานสืบสวนก็ดังขึ้น
"พอล โซลาร์โน แผนกคดีฆาตกรรมพูด"
"นี่ ลอเรล อีริกสัน จากข่าวช่อง 4 ฉันอยากทราบถึงเรื่องรองเท้า"
"รองเท้าอะไร ?"
"ก็รองเท้า Avia ไง"
...ซวยแล้วไง... พอล โซลาร์โน คิดในใจ
ลอเรล ยืนยันว่าเธอจะทำข่าวเกี่ยวกับเบาะแสนี้ ส่วน พอล โซลาร์โน ก็ยืนยันว่าไม่ได้เด็ดขาด มันจะทำให้เสียรูปคดีอย่างมาก นักข่าวสาวจึงต่อรองด้วยการต้องให้มีนักสืบที่กำลังทำคดี Night Stalker มาสัมภาษณ์พิเศษในรายการของเธอ แลกกับการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
สุดท้ายตำรวจสืบสวนก็ต้องจำใจทำตามข้อเสนอของ ลอเรล ... เบาะแสเรื่องรองเท้า Avia จึงยังเป็นความลับต่อไป
2
เข้าใกล้ความจริง
ในหลายคดีที่ Night Stalker ลงมือ เขาได้ทำการวาดรูปดาวซาตาน 5 แฉกด้วยเลือดของเหยื่อทิ้งไว้ที่เกิดเหตุด้วย และมันก็ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์หนึ่งพอดี
ในคืนหนึ่งขณะที่ โรเบิร์ต กริมม์ นายตำรวจ ลอส แอนเจลิส กำลังขับรถลาดตระเวนตามปกติ เขาได้พบกับรถคันหนึ่งกำลังทำผิดกฎจราจร จึงได้ส่งสัญญาณให้จอด และเข้าไปพูดคุยกับคนขับ
คนขับเป็นชายหนุ่มวัยประมาณ 25-35 ปี ท่าทีดูมีพิรุธ กริมม์ จึงเรียกให้เขาออกนอกรถพร้อมยกมือวางไว้บนฝากระโปรง แต่ในขณะที่ กริมม์ กำลังเดินย้อนกลับไปที่รถของตัวเองเพื่อเอาใบสั่ง ชายคนนั้นก็ได้วิ่งหนีหายไปแล้ว พร้อมทิ้งรอยดาว 5 แฉกที่วาดไว้บนฝุ่นกระจกรถ
2
Photo : fleshybones.blogspot.com
"กว่าที่เราจะรู้ถึงเบาะแสชิ้นนี้ เวลาก็ผ่านไปหลายสัปดาห์แล้ว รถคันดังกล่าวเป็นรถที่ขโมยมา เปล่าประโยชน์ที่จะตรวจสอบรอยนิ้วมือ แต่อย่างน้อยเราก็ได้เบาะแสอีกชิ้น คือบัตรนัดหมอฟันที่คลินิกแห่งหนึ่งในย่านไชน่าทาวน์"
"ริชาร์ด เมนา คือชื่อที่อยู่บนบัตร และเป็นชื่อปลอม เมื่อเราเอาบัตรใบนี้ไปให้ทันตแพทย์ที่คลินิกดู เขาก็บอกเราว่าไม่ว่าคน ๆ นี้จะเป็นใคร แต่เขาน่าจะกลับมาที่นี่อีกแน่ เพราะอีกไม่นานฟันคุดของเขาจะต้องปวดเอามาก ๆ" พอล โซลาร์โน กล่าว
1
หลังจากนั้นทีมสืบสวนจึงให้สายสืบปลอมตัวเข้าไปอยู่ในคลีนิคดังกล่าวด้วย เพื่อที่ว่าถ้าชายที่ชื่อ ริชาร์ด เมนา เข้ามา จะได้จับกุมเขาได้ทันที แต่ปรากฏว่าไม่ว่าจะรอเท่าไรเขาก็ไม่มาเสียที ฝ่ายตำรวจจึงถอดใจ ถอนกำลังออกมา และเปลี่ยนเป็นติดปุ่มสัญญาณเตือนภัยเอาไว้แทน เมื่อไรที่ ริชาร์ด เมนา เข้ามาที่นี่ ให้พนักงานคลีนิคกดปุ่ม สัญญาณจะส่งตรงไปที่สำนักงานสืบสวนทันที
2
เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ทันตแพทย์เจ้าของคลินิกก็โทรหา พอล โซลาร์โน
"นี่พวกคุณอยู่ไหนกัน ผมกดปุ่มซ้ำเป็นสิบรอบแล้วแต่ก็ไม่มีใครมาสักที ริชาร์ด เมนา มาที่นี่ ผมรั้งเขาไว้เต็มที่ แต่ตอนนี้เขาไปแล้ว"
2
เป็นอีกครั้งที่ตำรวจคลาดกับฆาตกรโหดไปอย่างฉิวเฉียด ...
ในขณะที่เวลาล่วงเลยไป แต่การสืบสวนกลับไม่คืบหน้าไปเท่าที่ควร ความกดดันจากประชาชนจึงถาโถมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่คลื่นลูกใหญ่จะซัดเข้าหาตำรวจอีกลูกราวกับต้องการฝังกลบให้จมดิน
1
คลื่นลูกใหญ่ที่ว่าคือการที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียออกมาเผยข้อมูลต่างๆ ในคดีให้ประชาชนได้รับรู้ ... รวมถึงรองเท้า Avia ด้วย เพราะเธอเองก็ทนรับแรงกดดันไม่ไหวเหมือนกัน เมื่อตำรวจรู้ข่าวพวกเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาเหมือนพังทลายไปกับตา อย่างไรก็ตามแทนที่จะนั่งเศร้า พอล โซลาร์โน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสืบสวน จึงบอกลูกทีมให้เล่นตามน้ำไปด้วยเสียเลย
1
Photo : www.arabnews.com
"เราตัดสินใจเผยทุกอย่างที่มีให้ประชาชนรู้ ทั้งภาพสเก็ตช์ที่สมบูรณ์ที่สุด รองเท้า Avia ปืนที่เขาใช้ การแต่งตัวของเขา และอื่น ๆ อีกมากมาย" โซลาร์โน เผย
ดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ที่เกิดจากการหมดสิ้นหนทาง แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันกลับได้ผล ... เพราะหลังจากนั้นไม่นาน มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาแจ้งเบาะแสกับตำรวจ ปลายสายเป็นผู้หญิง โดยเธอบอกว่าเธออาจรู้จักกับคนที่เป็น Night Stalker
"พ่อของฉันมักจะไปร่อนเรตามถนน และเขาก็ได้เป็นเพื่อนกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ ริก ... ริกได้เล่าเรื่องการฆาตรกรรมหลายคดีของ Night Stalker ให้พ่อฉันฟัง มันเป็นข้อมูลที่ไม่เคยปรากฏบนสื่อไหน เขาเล่าอย่างละเอียด และที่สำคัญเขามีรูปพรรณสันฐานตรงทุกอย่าง เป็นชายวัย 30 เชื้อสายเม็กซิกัน สูงเกือบ 6 ฟุต ฟันห่าง กลิ่นตัวแรง เคยสวมหมวก AC/DC และสวมรองเท้ากีฬา Avia สีดำเป็นประจำ"
1
โฉมหน้าที่แท้จริง
จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ตำรวจมั่นใจว่าชายที่ชื่อ ริก เขาคือ Night Stalker อย่างแน่นอน และการจะระบุตัวตนก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหลังจากนั้นตำรวจก็ทราบว่า ริก มีชื่อจริงว่า ริชาร์ด รามิเรส
1
ในวันที่ 31 สิงหาคม ปี 1985 เกือบครึ่งปีหลังจากคดีฆาตกรรม เดยล์ โอคาซากิ ถึงแม้จะมีการไล่ล่ากันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน รามิเรส วิ่งหนีการจับกุมไปกว่า 1 ไมล์ แต่ในที่สุดตำรวจก็สามารถจับกุมตัว ริชาร์ด รามิเรส เจ้าของฉายา Night Stalker ผู้สร้างม่านหมอกแห่งความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วแคลิฟอร์เนียได้สำเร็จ
1
Photo : www.hellomagazine.com
"วินาทีที่รู้ข่าว ทุกคนต่างก็วิ่งออกมาดีใจกันบนท้องถนน ราวกับพวกเราชนะการแข่งขันเวิลด์ซีรี่ส์" หนึ่งในชาวแคลิฟอร์เนียที่ไม่ระบุชื่อเล่า
ในระหว่างที่คดีอยู่ในกระบวนการต่อสู้บนชั้นศาล รามิเรส ที่ถึงแม้จะอยู่ภายใต้โซ่ตรวน แต่เขาก็ยังคงสร้างความโดดเด่นให้ทั้งโลกหันมามองได้ ด้วยการแต่งตัวอันจัดจ้าน ที่บางครั้งก็มาในมาดชาวร็อกใส่แว่นดำ บางครั้งก็เป็นมาดหนุ่มเนี้ยบในชุดสูทที่สวมทับชุดนักโทษอีกชั้น ประกอบกับหน้าตาคมเข้มสไตล์ละติน ท่าทางที่ดูกวนประสาทแต่ก็ดูมีเสน่ห์ (สำหรับคนบางกลุ่ม) ชื่อของ ริชาร์ด รามิเรส จึงเป็นที่โจษจันอย่างมาก มีแฟนคลับเป็นกลุ่มสาวฮิปปี้และบูชาลัทธิซาตานมากมายส่งรูปโป๊เปลือยตัวเองไปให้ รามิเรส ดูถึงในเรือนจำ
2
ยิ่งไปกว่านั้นหลังการพิจารณาคดีครั้งหนึ่งสิ้นสุด รามิเรส ได้ตะโกนว่า
"ซาตานจงเจริญ" พร้อมหงายฝ่ามือที่มีสัญลักษณ์ดาว 5 แฉก ให้กล้องโทรทัศน์ได้เห็น นั่นยิ่งทำให้นักฆ่า Night Stalker รายนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง
Photo : www.insider.com
"ผมไม่จำเป็นต้องฟังการใช้เหตุผลตัดสินของสังคมทุกอย่าง ผมเคยได้ยินมันมาหมดแล้ว และความจริงก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งก็คือ คุณไม่เข้าใจผม ผมก็ไม่ได้คาดหวังให้คุณเข้าใจ คุณไม่สามารถที่จะเข้าใจได้"
2
"ผมอยู่เหนือประสบการณ์ของคุณ ผมอยู่เหนือความดีและความชั่ว" บางส่วนในคำให้การของ รามิเรส ต่อศาลถึงสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป
ด้วยหลักฐานทั้งหมดที่ระบุอย่างดิ้นไม่หลุดว่า รามิเรส คือโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรโหด ทำให้เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม 13 คดี ฐานพยายามฆ่า 5 คดี ฐานล่วงละเมิดทางเพศอีก 11 คดี และคดีย่องเบาอีก 14 คดี โทษคือประหารชีวิตด้วยการรมแก๊ส
3
"เรื่องใหญ่ตรงไหน ยังไงก็เลี่ยงความตายไม่ได้"
1
"เจอกันที่ดิสนี่ย์แลนด์" ประโยคที่ รามิเรส กล่าวที่ภายหลังรู้ว่าตัวเองต้องโทษประหาร
1
อย่างไรก็ตามเมื่อตำรวจได้สืบย้อนประวัติของ รามิเรส ตั้งแต่วัยเด็ก ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่แปลกใจเลยที่ รามิเรส จะเติบโตขึ้นมาเป็นปีศาจร้ายเช่นนี้ เพราะนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก เขาก็พบกับความโหดร้ายของชีวิตในทันที
3
รามิเรส โดนทั้งผู้เป็นพ่อแท้ ๆ ทำร้ายร่างกายอย่างหนักทุกวัน แถมยังโดนครูที่โรงเรียนตามมาล่วงละเมิดทางเพศเขาถึงที่บ้าน นอกจากนั้นในวัยเด็ก รามิเรส เคยประสบอุบัติเหตุทำให้ศีรษะเขากระทบกระเทือนอย่างแรงถึง 2 ครั้งด้วยกัน และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ได้แสดงความเห็นว่าการกระทบกระเทือนดังกล่าวอาจส่งผลให้การรับรู้ของ รามิเรส ต่างจากคนทั่วไป
1
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น รามิเรส ก็ได้รู้จักกับ ไมค์ ญาติของเขาซึ่งเป็นทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม โดย ไมก์ ได้นำภาพที่เขาข่มขืนผู้หญิงในสงคราม ฆ่าตัดหัว รวมถึงบอกเล่าวิธีการต่าง ๆ ให้ รามิเรส ฟังโดยละเอียด ก่อนที่วันหนึ่ง ไมค์ จะใช้ปืนยิงศีรษะแฟนสาวของตัวเอง โดยที่ รามิเรส ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
เรียกว่าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่มีเคยมีสภาพแวดล้อมไหนเลยในชีวิตที่ช่วยผลักดันให้เขาเติบโตมาเป็นคนดี นี่อาจจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคดีอาชญากรรมทั้งหมดที่ รามิเรส ก่อขึ้น
Photo : www.womenshealthmag.com
"ซาตานจงเจริญ" นี่คือประโยคประจำใจของ รามิเรส มันทำให้เขามั่นใจว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็จะมีซาตานคอยคุ้มครองปกป้องเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วซาตานคือสังคมที่เขาเติบโตมา หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ ผลักดันให้เขาทำชั่ว และไม่ได้คุ้มครองเขาแม้แต่น้อย
ริชาร์ด รามิเรส เสียชีวิตในวันที่ 7 มิถุนายน ปี 2013 ด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ปิดฉากฆาตกร Night Stalker ไปตลอดกาล โดยไม่ทันได้เข้าหลักประหาร ...
บทความโดย เพรียมพันธ์ แสนลาวัณย์
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา