26 ก.พ. 2021 เวลา 04:55 • ปรัชญา
🎐นกอาสา สื่อธรรมะดังตฤณ
รายการดังตฤณวิสัชนา
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ถือศีลให้สะอาดถึงนิพพานได้ไหม?
https://www.facebook.com/groups/DharmaDungtrin/permalink/3807085769334618/
ดังตฤณ : รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนนี้ เป็นเรื่องความสงสัยของคนที่ไม่ใช่มือใหม่ แต่เป็นพุทธศาสนิกชนมานานพอสมควร และมั่นใจในศีลในธรรมของตัวเอง
คือ ถ้าเราอยู่กับความสุขในการ ให้ทาน ถือศีล ไปซักระยะหนึ่ง หรือทำมาทั้งชีวิต จะเกิดความรู้สึกแบบหนึ่งว่า แค่นี้น่าจะเพียงพอ
แต่เพียงพอสำหรับอะไรก็ไม่ทราบ?
เพียงพอสำหรับความสบายใจในปัจจุบัน และมั่นใจในอนาคตข้างหน้า (ถ้าจะมี) หลังตาย
ถ้าคนถือศีลมาแล้วมีความสบายใจ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง สรรพคุณของศีล 5 แล้ว คือ เข้าถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจในปัจจุบัน
และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจในปัจจุบัน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นใจในตัวเองว่า ถ้าตายไป คงไม่ได้ไปลำบากหรอก แต่จะไปไหนก็ไม่ทราบ
นอกจาก ความไม่เดือดเนื้อร้อนใจอันเป็นปัจจุบันแล้ว ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ เราจะเข้าใจว่า ความไม่เดือดเนื้อร้อนใจชนิดนี้แหละ ที่สามารถพาให้เข้าถึงพระนิพพานได้
พูดง่ายๆ ว่าหลายคน ตั้งแต่เรียนในโรงเรียนมา ได้ยินคำว่า นิพพาน หรือ บางทีได้ยินพระสงฆ์สอนเรื่องเข้าถึงนิพพาน แต่ก็นึกไม่ออกว่า นิพพานคืออะไร?
และรู้ว่า จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ นิพพาน แต่ก็ไม่ทราบว่า ที่ตัวเองทำอยู่นี้ พอแล้วหรือยัง?
แม้รู้ว่า มีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่ก็รู้สึกว่าศีลของตัวเอง ทำให้จิต เท่าที่มีอยู่ ก็มีความสบาย มีสมาธิดี แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าเจริญสติแล้ว หรือนั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วจะแตกต่างจากจิตของตัวเองที่มีความสะอาดด้วยการรักษาศีลอย่างไร
คืนนี้ ก็จะยิงให้ตรงประเด็นคำถามนี้
จริงๆ แล้ว ก็ถามได้หมดนะครับ เราคุยกันเรื่อยๆ แบบฆราวาสด้วยกัน
ไม่ต้องกลัวว่า คำถามจะดูเป็นผู้มาใหม่ หน้าใหม่ มือใหม่ เกินไปหรือเปล่า
เราคุยกันได้ทุกเรื่อง เพราะผมเข้าใจดี ว่าการอยู่ในพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะจูนความรู้ หรือความเข้าใจตรงกันได้หมดตั้งแต่เริ่ม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ และมีความคุ้นชินกับชีวิตที่สบายอกสบายใจของตัวเอง นั่นไม่ได้รับประกันว่า เราจะรู้ธรรมะในแบบที่เป็นธรรมะขั้นที่ Advance ไปกว่าความสบายใจ
ความสบายใจนี้ เป็นสิ่งที่เรารับประกันกับตัวเองได้ ว่าเรามาถูกทาง
ถูกทาง ที่จะเข้าถึง ธรรมะ ในแบบที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า เป็นธรรมะขั้นพื้นฐาน ธรรมะที่จะเป็นพื้นยืนให้ต่อยอด ขึ้นไปถึงพระนิพพานได้
แต่ตัวของ ศีล เพียงอย่างเดียว พาไปนิพพานยังไม่ได้
มองเข้ามาที่ใจของเราเองก็แล้วกัน
ถ้าหากว่าเราถือศีล ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ แล้วเกิดความสบายใจ เกิดความรู้สึกสว่าง เกิดความรู้สึกว่า นี่มีข้อพิสูจน์ ยั่วยุให้ทำผิดศีล แล้วเราไม่ทำ เกิดความรู้สึกว่า คงเส้นคงวา อยู่ในเส้นทางนี้
แต่ถามว่า เรายังโกรธได้ไหม?
ยังมีความทุกข์ อันเกิดจากความรู้สึก ในตัว ในตนได้ไหม?
บางคนตอบว่า ไม่มี เป็นคนไม่มีอัตตา มานะ
แต่ลึกๆ แล้ว ถามว่า ใจ เคยวนกระวายไหม ถ้าใครเข้าใจผิด เราอยากไปไล่ตาม ทำความเข้าใจเสียใหม่ไหม? ถ้ารู้สึกเสียหน้า (โดยไม่ได้มีใครเข้าใจผิด) เคยอยากพยายามกู้หน้าไหม?
อาการกระสับกระส่าย กระวนกระวายของใจ แม้ในผู้ที่ถือศีลสะอาด ก็ยังเป็นเครื่องชี้เครื่องบอกว่า ใจยังสามารถเป็นทุกข์ได้อยู่
เมื่อใจยังสามารถเป็นทุกข์ได้อยู่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ยังไม่ถึงที่สุดทุกข์
เหมือนอย่างครั้งที่พระองค์ ในสมัยที่เป็นฆราวาส เป็นเจ้าชาย
ท่านก็มีความสุข มีความสบายใจ จากการไม่ต้องเบียดเบียนใครมาก่อน
มีความสุข มีความบันเทิง จากทรัพย์สินที่มีอยู่มั่งคั่ง
และมีพระชายาหรือภรรยาสวย มีทุกอย่างที่ชาวโลกสามารถจะมีได้
นี่ เป็นประกันในความสุขในแบบโลกๆ
ส่วนความสุขในแบบธรรมะขั้นพื้นฐาน ที่พระองค์ มีศีล มีธรรม ท่านมีอยู่แล้ว แต่นั่นไม่พอ! เพราะพระองค์พบว่า ตัวเองยังสามารถที่จะเป็นทุกข์ได้อยู่
แล้วถ้ายังเป็นทุกข์ได้อยู่ ก็แปลว่า ยังสามารถที่จะเวียนว่ายตายเกิดได้
ยัง เกิด แก่ เจ็บตาย ได้อยู่เหมือนกับคนอื่นๆ
พอพระองค์เห็นความจริงเกี่ยวกับการจะต้องตายไป แล้วไปเกิดแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีก พระองค์ก็หาทางที่จะดับทุกข์ให้เด็ดขาด ท่านตัดสินเอาจากตรงนี้
ถ้า ใจ อันเป็นตัวตั้งของการเวียนว่ายตายเกิด ยังเป็นสะพานเชื่อมให้กับภพชาติได้อยู่ พระองค์ใช้ความรู้สึกตามสัญชาตญาณของผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาจนครบ พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พร้อมที่จะตรัสรู้ถึงฝั่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ทรงรู้สึกว่า อะไรๆ ก็มาลงที่ ใจ นี้แหละ
ถ้าหากว่า ยังสามารถที่จะเป็นทุกข์ได้อยู่
ยังสามารถที่จะโกรธ
ยังสามารถรู้สึกเป็นห่วงหน้าตา หรือมีอัตตามานะอยู่
ตรงนี้ พระองค์รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่ายังสามารถที่จะเวียนว่ายตายเกิดได้
ยังสามารถที่จะตาย แล้วต้องไปเกิดใหม่อีก
พระองค์จึงดั้นด้นค้นหาทาง โดยไปเรียนกับ ครุ หรือ ครู ผู้ที่ได้ชื่อว่ารู้แจ้งที่สุดในยุคของพระองค์ และอยู่ในระยะทางที่พระองค์สามารถเดินเท้าเปล่าหรือขี่ม้าไปพบได้
แล้วพระองค์ก็รู้จากสัญชาตญาณ คือ สิ่งที่รู้ขึ้นมาเองของคนระดับที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ว่า ครุหรือครูบาอาจารย์ของท่าน ต่อให้ได้ อรูปฌาน แล้ว ก็ยังไม่สามารถถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
พระองค์ทรงมองเห็นว่า อรูปฌาน ที่พระองค์ทรงทำตามครูบาอาจารย์ของท่านได้นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้อัตตามานะ ดูเหมือนสงบลงชั่วคราว มิใช่ว่า จะสงบลงได้ตลอดไป พระองค์จึงทรงค้นหาวิธีของพระองค์
นี่จึงเป็นตัวบ่งบอกได้เลยว่า ถ้าแค่ถือศีลให้สะอาด แล้วจะไปถึงพระนิพพานได้ พระองค์ก็ไม่ต้องออกจากวังเลย
อยู่ในวัง มีพระชายา มีทรัพย์สินศฤงคาร แบบอู้ฟู่ระดับเศรษฐี ระดับประเทศ ระดับโลกในปัจจุบัน พระองค์ก็อยู่แบบนั้นได้ ไม่ต้องแสวงวิเวก
แต่เพราะพระองค์พบว่า
จิต แม้มีความสะอาดของศีลแล้ว
แม้มีความสุขความบันเทิงแบบเต็มรูปแบบแล้ว
ก็ไม่สามารถที่จะ ออกจากความรู้สึกเป็นทุกข์ได้
และถ้าออกจากความรู้สึกเป็นทุกข์ไม่ได้
อย่างไรก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อีก
นี่เป็นสิ่งที่พระองค์รู้สึกได้
การค้นหาวิธีของพระองค์ก็ไม่ใช่ง่ายอีก
ถ้าไม่มี พุทธศาสนา ไม่มีผู้รู้แจ้งอยู่ในโลกนี้
อยู่ๆ เราจะมานั่งหลับตา ทำสมาธิ หรือมาเดินจงกรม เอาง่ายๆ แล้วจะให้ถึงฝั่งพระนิพพาน ถ้าทำกันได้ง่ายๆ แบบนั้น ก็ไม่ต้องรอพระพุทธเจ้าอุบัติ
เอาแค่ ฤาษีชีไพร ที่ปฏิบัติได้อรูปฌาน ก็สามารถให้คำแนะนำ ให้คำสั่งสอน หรือสถาปนาสถาบันศาสนา แบบพระพุทธศาสนาของเรา ให้คนหลุดพ้น ก็เข้าถึงฝั่งพระนิพพานกันได้ง่ายๆ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ไม่ใช่ใช้ความเพียรกันน้อยๆ หรือ ทำกันแบบถูๆ ไถๆ นั่งหลับตา แล้วสรุปเอง ว่าวิธีต้องอย่างนั้น ทำใจอย่างนี้ .. ไม่ใช่ง่ายแบบนั้น
พระองค์พบว่า การที่ใจจะหยุดทุกข์ได้ แบบไม่กลับมากำเริบอีก
ต้องถอดถอน อุปาทาน หรือ ความยึดมั่นสำคัญผิด ออกไปให้สิ้นซาก ซึ่งพระองค์ลองมาหมดแล้ว วิธีที่ทำให้ตัวเองมีความทุกข์ที่สุด
คือ สมัยนั้น เขานึกว่า ถ้ายิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสียดายอัตตาตัวตนน้อยลงเท่านั้น
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์ หรือทรมานร่างกายให้แทบดาวดิ้นสิ้นชีพลงไปเท่าไหร่ ก็ไม่ได้มีความรู้สึกหมดอาลัย หมดความผูกพัน กับร่างกาย
อย่างไรก็ยังมีความรู้สึก มีตัวตนเกิดขึ้นมาอยู่ดี
พอพระพุทธองค์ท่านพบว่า ทำมาผิดทาง ท่านก็เริ่มกลับนึกถึงสมัยที่ท่านอายุ 7 ขวบ ที่ท่านนั่งดูลมหายใจแบบชิวๆ สบายๆ แล้วถึงฌานได้
พระองค์นึกถึงสมาธิแบบนั้น พระองค์นึกถึงความพร้อมของจิตที่จะรู้แจ้งตามจริง แล้วก็ทำสมาธิลมหายใจ คือ กำหนดรู้ว่า กำลังหายใจเข้าและหายใจออก และที่หายใจเข้า หายใจออก อยู่นี่ บางทีก็ยาว บางทีก็สั้น.. รู้ๆ ไป จนกระทั่ง ใจว่าง ว่างพอที่จะรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเอง
พอพระองค์ได้ฌานจากการรู้ลมหายใจในครั้งหนึ่ง เมื่อท่านถอยห่างจากฌาน ท่านพิจารณาเห็นว่า  สภาพทางกายแบบนี้ และสภาพทางใจแบบนี้ ที่พระองค์สามารถเข้าฌานได้นั้น เป็นสภาพที่ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาเองลอยๆ แต่มีที่มาที่ไป
และจิตที่มีความตั้งมั่น เป็นเศษจากฌาน ก็ลงมาอยู่ที่อุปจาระสมาธิ
พิจารณาเห็นว่าสภาพทางกายและสภาพตั้งใจ ที่กำลังปรากฏอยู่นี้ ก่อนหน้านั้นมาจากไหน
มาจากการที่ ถอยออกไป ก่อนหน้านั้นสัก 2-3 ชั่วโมง
มีการลงนั่งสมาธิ มีเหตุปัจจัยของสมาธิ แล้วเกิดสมาธิ
พอถอนออกจากสมาธิ ก็กลายเป็นจิตที่พร้อมรู้ พร้อมทำงาน
พร้อมเห็นสภาพกาย-ใจนี้ โดยความเป็นนิมิตได้
และถอยกลับไปอีก วันก่อนหน้า
ท่านยังทำทุกรกิริยาอยู่เลย ยังบำเพ็ญแบบทรมานตน
และก่อนหน้านั้น เคยเป็นเจ้าชายอยู่ในเมือง
ก่อนหน้านั้น เคยเป็นเด็กอัจฉริยะ ที่มีความเก่งกล้าสามารถ
แค่นั่งลงใต้ต้นไม้รอพระบิดาทำกิจ แค่นั่งรอดูลมหายใจเล่นๆ ก็ได้เข้าถึง ปฐมฌาน
ถอยลงไปอีกก่อนหน้านั้น ก็ระลึกได้แม้ขณะอยู่ในครรภ์ของพระมารดาครรภ์
และทะลุไป จนกระทั่งเคยเป็นเทวดาชั้นดุสิต ก่อนจะมาเกิดเป็นมนุษย์
จริงๆ มีความเป็นมาเป็นไป
ไม่ใช่อยู่ๆ กายใจนี้จะผุดขึ้นมาลอยๆ โดยอาศัยท้องพ่อท้องแม่เป็นจุดเริ่มต้น
แต่มีอะไรก่อนหน้านั้นมา
เมื่อท่านถอยออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบความจริงว่า
ภพชาติ มีเงื่อน มีเหตุปัจจัย ไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านเวียนว่ายตายเกิด
เปลี่ยนจากสภาพกายใจหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกกายใจหนึ่ง อย่างนี้
และท่านไม่ได้เป็นแค่คนเดียว
ทุกคนที่ท่านรู้ท่านเห็น ไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
และอาศัยเงื่อนเกิดเงื่อนตายแบบเดียวกับพระองค์นั้นแหละ
คือ พอตายไป เกิดใหม่มาเป็นมนุษย์
จะถูกลบความจำเกลี้ยงเลย ไม่เหลือความทรงจำในหนหลัง
ก็เหมือนกับ คิดเองเออเอง สรุปเอง ทึกทักเอง
ว่า เริ่มเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่
เหตุที่จะ สูงต่ำ ดำขาว ผิวพรรณหยาบ ผิวพรรณประณีต ได้ดี ตกยาก อะไรต่างๆ นี้ เป็นความบังเอิญ หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่น
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกล้าสามารถ ก็ยังสามารถสรุปแบบนั้น
เชื่อว่า ทุกอย่างเป็นการทำงานของสมอง
ซึ่งตอนนี้ เขาก็เริ่มสงสัยแล้วว่า ถ้าเป็นการทำงานของสมองอย่างเดียว แล้วสมองทำงานด้วยไฟฟ้า แล้วไฟฟ้ามาจากไหน?
ก็คิดไปโน่นว่า จริงๆ แล้ว มีสิ่งมีชีวิตในมิติอื่น เอาสมองเราไปดองไว้ในขวดโหล
แล้วใส่ภาพ ใส่ความจำ ใส่จินตนาการเข้ามาในขวดโหลนั้น (ก็คิดกันไป)
ถ้าเป็นบุคคลแบบพระพุทธเจ้า ท่านไม่เกิดในสมัยที่ต้องผ่านการทดลองหรือพิสูจน์หลักฐาน ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ท่านเกิดในสมัยที่ผู้คนแสวงหาความจริง หรือสัจธรรมกันด้วยใจ
ท่านเลยรู้ว่า ผู้คนทั้งหลายนี่ ไม่ใช่ ของลวงตา
เวียนว่ายตายเกิดเหมือนกับท่านนั่นแหละ
ที่ ได้ดี (หรือตกยาก) ก็เพราะเหตุทำมาดี
มีมโนสุจริต วจีสุจริตและกายสุจริต เป็นตัวกำหนดทิศทางให้ไปดี
แต่คนที่ไป ร้าย ก็เหมือนกับไป คิดชั่วทำชั่ว
แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า พระองค์เหมือนนั่งอยู่บนกำแพงที่สูงเหมือนหอคอย
แล้วเห็นทั้ง 4 ทิศโดยรอบ
เห็นว่าคนกำลังจะเลี้ยวซ้าย คนกำลังจะเลี้ยวขวา ไปทางไหน ก็สามารถเห็นได้หมดเลย
เหมือนนิมิตของพระองค์ ที่สามารถหยั่งรู้ว่า
สัตว์ทั้งหลาย ทำดีที่สุด ถือศีล ให้ทาน แค่ไหนก็ตาม
อย่างมากได้ไปแค่สวรรค์
พูดง่ายๆ ว่า ใจที่ไม่เดือดร้อนอันเป็นปัจจุบัน
จะได้ไปในที่ที่ดี จะได้ไปในที่ที่มีความสุขชั่วคราว
เสร็จแล้ว พอเราหมดบุญจากสวรรค์ชั้นฟ้า
ก็ร่วงลงมาสู่พื้นดิน หรือกระโจนลงเหวนรกไปเลยก็ยังมี
จาก พระพรหม ลงไปสู่ความเป็น สัตว์นรก
พระองค์ทรงเห็นด้วยพระญาณว่า มีอยู่!
เลยเป็นที่มาว่า ศีล ต่อให้รักษาได้สะอาดเป็น 10 ชาติ
ก็ต้องมีชาติที่ 11 ที่พลาด
เพราะกลหรือเงื่อนไขของเกมในสังสารวัฏ เกมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่ว่า เกิดใหม่ เราได้ดี โดยไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้สาเหตุ จำตัวเองในอดีตไม่ได้
จะมีสิ่งที่เรียกว่า ความเหลิง ความหลง มาเป็นตัวขับดัน ให้ทำอะไรผิดๆ คิดอะไรที่มันพลาด
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
การเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ นั้น
ไม่มีทาง ที่จะมีแต่ดีกับดี … วันหนึ่ง ก็ต้องพลาด
คิดง่ายๆ ก่อนที่คุณจะถือศีลให้สะอาดบริสุทธิ์
ลองถามตัวเองว่า มีไหม ที่คุณเคยทำอะไรผิดศีลไว้
จะด้วยแค่การโกหกซึ่งๆ หน้า เอาประโยชน์เข้าตัวเอง
หรือเพียงด้วยการเอาใจเพื่อน กินเหล้าเมายา
อะไรเหล่านี้ มันเห็นๆ ว่า มีช่วงหนึ่งของชีวิต ที่คุณไม่รู้อะไรเลย
ไม่รู้ว่า ทำอะไร แล้วจะได้รับผลอะไร
ไม่รู้ว่า จะนับถืออะไร ศรัทธาอะไร
ไม่รู้ว่า ที่ได้เกิดเป็นอย่างนี้ เพราะเคยทำอะไรมาก่อน
มีดีอะไรในอดีต ถึงได้มามีดีในปัจจุบัน
ตรงนี้แหละ คือ อันตรายของสังสารวัฏ
ไม่มีนะครับ ประเภทที่ถือศีลบริสุทธิ์จนตาย
แล้วมาเกิดใหม่ กลายเป็นเทวดานางฟ้า
จากนั้นลงมาได้เป็นมนุษย์ แล้วก็ถือศีลสะอาดบริสุทธิ์ ตั้งแต่เริ่มเกิดมา จนตายไปอีก .. เป็นไปไม่ได้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หากมีชาติไหน ที่ไปคบคนชั่วเป็นมิตร
หรือ ชาติไหนที่หลงตัว จนกระทั่งย่ามใจ ทำอะไรตามอำเภอใจ
ลองนึกดู คนเกิดในประเทศที่ค้าน้ำมันร่ำรวย หน้าตาดี
มีนักข่าวมาว่าตัวเอง ก็หลอกไปฆ่าซะอย่างนั้น!
มีโอกาส ที่เราได้ดี แล้วจะลืมตัว
อย่าว่าแต่ ลืมตัวเลย เพราะลืมอยู่แล้วว่า ตัวมาจากไหน
แต่ยังลืมอีกว่า ความดีคืออะไร แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้ .. ได้มาจากไหน เหล่านี้ลืมหมด
และความลืมนั่นแหละ เป็นตัวกงจักร ทำให้เราพลาดไปทำอะไรร้ายๆ
โดยที่ไม่รู้หรอก ว่าทำไปแล้ว จะต้องได้รับผลอย่างไร
บางคนทำบาปทำกรรมมาทั้งชีวิต แล้ววันหนึ่งรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมา จากสิ่งที่ตัวเองทำ ถึงได้มองย้อนไป ว่าทั้งชีวิต ตัวเองไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง ก็เหมือนกับเสียดายแทบขาดใจแล้ว
ว่า ถ้าจะต้องสั่งสมความรู้สึกผิดมามากมาย เป็นกองภูเขาขนาดนี้
จะไม่ทำชั่วเลยแม้แต่นิดเดียว!
มาคิดได้อย่างนั้น ก็สายเกินไปแล้ว
ฉะนั้น สรุปลงที่ว่า
ถือศีล ให้มองว่าเป็นทางไปนิพพาน แต่ยังไม่ถึงนิพพาน
เหมือนกับเราสร้างฐานที่ยืนไว้อย่างมั่นคง
แล้วจะตั้งบันได ต่อบันไดให้สูงขึ้นไปแค่ไหนก็ได้
แต่ตัวฐานอันตั้งมั่นนั้น ที่มีความแข็งแรงมั่นคงนั้น
ยังไม่สูงพอ ที่จะทำให้ถึงพระนิพพาน
ให้มองเข้ามาเป็นจิต ลองมองอย่างนี้ว่า
ศีล ทำให้จิตขาวสว่าง นำทางตัวเองให้ไปถูกได้ ออกจากป่ารกได้
แต่ความขาวนี้ ยังมีอะไรที่เหนือกว่า มีอะไรที่ยิ่งไปกว่า
นั่น คือ ความใส
ผู้ที่เจริญสติ จนกระทั่ง ละอัตตามานะได้ ละโทสะได้
จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
ทั้งจากประสบการณ์ภายใน และจากกระแสที่ออกไปให้คนรู้สึกสัมผัสได้
อย่างคนที่มีศรัทธาในศาสนา ไม่ว่าจะศาสนาไหน
คุณจะรู้สึกถึงความอิ่มเอบเบิกบาน สดชื่นชุ่มฉ่ำ และมีความขาวสว่าง
เป็นความขาวในแบบที่เมื่อมองแล้วเหมือนคล้ายเป็นดวงไฟ
บางคนเดินมา เหมือนหลอดนีออนเลย
แต่ถ้าได้เจอประสบการณ์กับบุคคลอีกประเภทหนึ่ง ที่เจริญสติในพุทธศาสนา อย่างพระ ครูบาอาจารย์ ที่ท่านสามารถเจริญสติได้
จนถึงความพ้นจากอาการยึดมั่นถือมั่น
จะมีความใส มีความรู้สึกปลอดภัย
มีความรู้สึกโล่งอย่างไม่มีประมาณ
ซึ่งเหนือระดับไปกว่าระดับความขาว
ความขาว ยังมีความขาวแบบทึบ ความขาวแบบใส ยังมีระดับไล่กันเป็นชั้นๆ
แต่พอถึงความสว่างแบบหนึ่ง ความสว่างของผู้หลุดพ้นจากอุปาทานนี้นะครับ จะเป็นความใสแบบสว่าง สว่างโร่เลยนะครับ แต่ไม่ใช่ขาว
เป็นสว่างแบบใส ใสสะอาด บริสุทธิ์ และว่างจากหน้าตาตัวตน
นี่เป็นสิ่งที่อยากให้ลองนึกดูนะครับ ว่า พอหลับลงแล้วฝัน จะมีการปรุงแต่ง
ว่าหน้าตาตัวเอง เป็นแบบนั้นแบบนี้ บางทีไม่ใช่หน้าตาแบบที่เราเป็นอยู่ด้วยซ้ำ เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ก็ยึดมั่นถือมั่นว่า หน้าตาแบบนั้น นั่นเป็นเรา
แก่น หรือ แกนความเป็นตัวเราจริงๆ นั้น เป็นความรู้สึกยึด ว่ามโนภาพเป็นชายเป็นหญิง เป็นตัวเป็นตนแบบหนึ่งนั้น คือ ตัวเรา
นั้นแหละ ที่เรียกว่า อุปาทานในอัตตา
จะมีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งเป็นพระอนาคามี ก็ยังมีการปรุงแต่งมโนภาพขึ้นมา ว่าตัวของเรานั้นเป็นใคร เป็นชายเป็นหญิง
เป็นคาแรคเตอร์ประมาณไหน
แต่พอถึงที่สุดแห่งทุกข์ ใจไม่เอาทุกข์แล้ว
ใจออกมาเป็นคนละพวกกับความทุกข์แล้ว
หมดจากอุปาทานในตัวตนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
จะไม่มีการปรุงแต่ง เป็นชายเป็นหญิง หรือเป็นเราเป็นเขา
มีหน้าตาหล่อหน้าตาสวย หน้าตาขี้เหร่
จะไม่มีอยู่ในจิตเลย
จิตจะอยู่ในสภาพที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า อยู่ในสภาพ ‘พรากออกมาจากขันธ์ทั้ง 5’ คือ เป็นอิสระ จากการเข้าไปเป็นพวกเดียวกันกับขันธ์ 5
พอจิตเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง ชนิดไม่กลับกำเริบ ชนิดไม่กลับไปยึดได้อีก
ขันธ์ 5 มาปรุงแต่งอะไรไม่ได้เลย ว่าจิตจะมีหน้าตาแบบนั้นแบบนี้
แม้แต่ในความฝัน ก็เป็นความสงบระงับจากภาพของตัวตน
ถ้าจะมีปรากฏในฝันบ้าง ขณะหลับ ก็เป็นนิมิตแบบพระอรหันต์ รู้ความจริงอะไรบางอย่าง
คือ บางทีมีเทพมาบอกกล่าว หรือสร้างนิมิตให้เห็นบ้าง
หรือบางที จิตของตัวเองปรุงแต่ง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า
มีใครที่กำลังน่าเป็นห่วง อะไรแบบนี้นะครับ อย่างนี้ เป็นสิ่งที่เกิดได้
เป็นภาพที่เกิดทางใจ ทางมโนทวาร ของพระอรหันต์ได้
แต่ภาพว่า มีตัวมีตน มีเรามีเขา มีความเป็นตัวฉัน หน้าตาแบบนั้นแบบนี้ จะไม่เกิดแล้ว
อย่างเราคุยๆ กันแบบนี้ ก็มีมโนภาพว่า หน้าตาผู้พูดเป็นแบบนี้ หน้าตาผู้ฟังเป็นอย่างไรอยู่ เป็นชาย เป็นหญิง กำลังมีความรู้สึกอย่างไร ในความเป็นผู้ฟัง นี่ คือ มโนภาพของตัวตน
แต่พระอรหันต์ ท่านจะอยู่กับจิตอีกแบบหนึ่ง ที่แยกออกมาแล้ว จะไม่มีการปรุงแต่งว่า ตัวฉันนี่มีหน้าตาเป็นอย่างไร
ตรงนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือน ‘ตาลยอดด้วน’
คือ จิต พอด้วนจากมโนภาพตัวตน หรือความยึดมั่นถือมั่น ว่าขันธ์ 5 เป็นตัวเป็นตนแล้ว จะไม่กลับ ไม่กำเริบขึ้นมาอีก
พระพุทธองค์จึงสรุปว่า มันจบที่ตรงนี้
จบที่จิตสามารถบรรลุถึงความจริงขั้นสูงสุด
ล้างกิเลส อวิชชา ออกจากกมลสันดานในขันธ์ 5 ได้
สรุปว่า ถ้าเรา ถือศีล บริสุทธิ์แล้ว ดีแล้ว ก็ถือว่าเป็นฐานที่มั่นคง
แต่การจะทำให้ถึงนิพพาน จะต้องล้างกิเลสให้ไปถึงอนุสัย
หรือความมีตัวตน ความมีอัตตามานะ มีกมลสันดานอย่างไร
ตัวนี้ (กิเลส อวิชชา) ถ้าล้างออกไม่หมด ก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก กลับมาเสี่ยง ที่จะทำผิดทำถูก กลับมามีความทุกข์ อันเกิดจากกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ได้ไม่มีที่สิ้นสุด
เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่ไม่รู้จบ จะจบ ก็ต่อเมื่อมีเหตุมาตัดตอนปฏิกิริยาลูกโซ่นั้น ก็คือ ตัดตอนความยึดมั่นถือมั่น หลงสำคัญตัว ว่ามีตัวตนมีอัตตา
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ถือศีลให้สะอาดถึงนิพพานได้ไหม?
ถอดคำ : นกไดโนสคูล
ตรวจทาน : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=IREFzpTUiJ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา