เขาโดนทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และได้เด็กน้อยวัยแค่สิบสองขวบช่วยชีวิตเอาไว้ ก่อนจากไปด้วยเกียรติของหัวหน้าเผ่าอีกาเขาทำการตีตราจองและสัญญาว่าจะกลับมารับเธอไปเป็นเจ้าสาวของเขาแน่นอน ใครก็ห้ามแย่ง +++++++++ “คุณเป็นของผม” วายสะที่จำใจถอนจูบออกมากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากอิ่มที่ดูบวมนิด ๆ จากฤทธิ์จูบ สกุณาที่หายใจหอบลืมตาขึ้นอย่างตกใจ ทั้งจากคำพูดของวายสะและตัวเองที่เผลอโอนอ่อนผ่อนตามเขาไป ก็ต้องหน้าร้อนผะผ่าวเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีรัตติกาล จะเบือนหน้าหนีก็ไม่ได้เมื่อใบหน้าของเธอตอนนี้นั้นถูกตรึงด้วยมือใหญ่ ดังนั้นสิ่งที่พอทำแก้เขินได้คือการหลุบตาลงเท่านั้น “เราเพิ่งเจอกัน ฉันจะไปเป็นของคุณได้ยังไง” หญิงสาวแย้งเสียงแผ่ว “ผมจะกลับล่ะ” วายสะไม่ตอบแต่เลือกที่ปล่อยหญิงสาวและหยิบเสื้อสูทที่พาดไว้บนพนักโซฟา ก่อนเดินออกจากห้องเขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนมองเขาตาละห้อย “อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น ไม่งั้นคืนนี้ผมจะนอนเป็นเพื่อนคุณจริง ๆ ด้วย” “ฉันไม่ได้เสียดายซะหน่อย จะกลับก็กลับสิ” คนร้อนตัว ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอพูดความในใจออกไปเสียแล้ว นั่นทำให้วายสะถึงกับเปิดยิ้มกว้าง อดที่จะก้มลงไปจูบ คนปากกับใจไม่ตรงกันเบา ๆ ไปทีหนึ่ง “ฝันดี พรุ่งนี้ผมจะมารับ” ชายหนุ่มบอกหลังจากผละออกจากริมฝีปากอิ่มนั้นอย่างเสียดายนิด ๆ แต่ก็ต้องยอมตัดใจ เพราะมากกว่านี้เขานี่แหละจะอดใจไม่ไหว “เดี๋ยวสิคะ” เธอดึงชายเสื้อเขาเอาไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็เผลอลูบปากที่เพิ่งโดนจูบ “ไม่มีเจ้าอีกาแล้ว ฉันไปเองได้ค่ะ” “ผมไปส่งคุณ ไม่ได้ไปส่งเจ้าอีกา” “แต่ว่า...” หญิงสาวคิดจะแย้ง เพราะเกรงใจ แต่ก็รีบหุบปากฉับเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของชายหนุ่ม “ขัดขึ้นอีกทีผมจะไม่กลับแล้วนะ” “ค่ะ” “ค่ะนี่คือ...” วายสะเลิกคิ้ว ใช้มือค้ำพนักโซฟายื่นหน้าเข้าจนเกือบชิดคนที่เขาถามยิ้ม ๆ “คุณกลับไปได้แล้วค่ะ” เพียงเท่านั้นวายสะก็กดจูบที่หน้าผากมนนั้นเบา ๆ เป็นการส่งท้าย แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย นั่นทำให้สกุณาที่ใจเต้นแรงแทบระเบิดถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ฮู่ว์...” แล้วยกมือลูบหน้าลูบตาของตัวเอง ราวกับเรียกสติที่เหลืออยู่ให้กลับมาให้หมด พร้อมกับบ่นพึมพำ “บ้าไปแล้ว เจอแค่ไม่กี่วันโดนปล้นจูบไปละ ถ้านานกว่านี้สงสัยฉันจะโดนปล้นหมดตัวแน่” รวมไปถึงหัวใจด้วย...
‘เด็กกะโปโล’ คือคำจำกัดความของ วรรณวลี ในสายตาของหนุ่มหล่อพี่ชายข้างบ้านอย่าง พศวัต และ ‘ตาแก่’ ที่กล้าพูดว่าเธอเป็นเด็กกะโปโล คอยดูเถอะเด็กกะโปโลคนนี้จะทำให้ตาแก่ปากร้ายมาสยบแทบเท้าให้ได้ ในอดีตเขาเคยปฏิเสธการหมั้นหมายกับ วรรณวลี ตามความต้องการของผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเธอยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องพวกนี้ แต่ในวันนี้เด็กสาวในอดีตกลับมาพร้อมการเป็นหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง เสน่ห์ยั่วยวนใจเขาอย่างร้ายกาจ และนั่นมันทำให้เขาอยากจะทำให้ความต้องการของผู้ใหญ่ในอดีตให้เป็นจริง …เขาต้องทำมันให้สำเร็จ ก็ผู้หญิงคนนี้เกือบจะถูกหมายปองให้เป็นของเขาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วนี่ และตอนนี้ก็ได้เวลาเอาจริง!!! “ยะ…หยุดนะ” ห้ามเสียงสั่นพร้อมทั้งดิ้นขัดขืนและพยายามดึงตัวเองกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล ยิ่งดิ้นชายหนุ่มก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นไปอีก “หือ…อย่าหยุดเหรอได้…จัดไป” “กรี๊ดดด! หยุดดด! ไม่ใช่อย่าหยุด ไอ้พี่พตบ้า” วรรณวลีตวาดแว้ดมือไม้ทั้งผลักไสทุบตีคนบ้ารัวไม่เลือกที่และไม่มียั้ง หลบได้ก็หลบแต่ถ้าหลบไม่ได้ไม่ก็ต้องโดนจนช้ำกันไปบ้างล่ะ “พอแล้ว พอแล้ว พี่ยอมแล้ว ไม่ทำอะไรเราแล้ว” พศวัตห้ามเสียงกลั้วหัวเราะ พร้อมทั้งหลบซ้ายหลบขวายกแขนรับกำปั้นน้อยๆ ที่รัวเข้าใส่อย่างรู้สึกสนุกมากกว่าเจ็บตัว “สัญญานะ” ถามอย่างระแวง “ครับ…” เพียงเท่านั้นมือบางก็ผลักอกกว้างแรงๆ เป็นการส่งท้าย ก่อนจะขยับตัวกลับมานั่งที่เบาะของตัวเองพร้อมทั้งรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เขากระชากเธอเข้าไปหาอีก ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงและแดงก่ำ “งั้นก็รีบๆ กลับบ้านสิคะ ฉัน…ว้าย!” วรรณวลีร้องเสียงหลง รีบยกมือปิดปากที่โดนพศวัตอาศัยโอกาสเพียงแค่เสี้ยวนาทีขโมยจูบไปอีกครั้งเอาไว้ ส่วนอีกข้างยกขึ้นชี้หน้าคนฉวยโอกาสที่นั่งหัวเราะยักคิ้วหลิ่วตาอย่างยียวนอย่างโมโหระคนอายจนตัวสั่น “เอาสิเรียกแบบนั้นอีกสิ ฉันๆ คุณๆ เนี่ย พ่อจะจูบให้หนำใจเลย”
มัตสยาตกใจเขาแทบทรุด ที่จู่ ๆ ท่านประธานสุดหล่อผู้ไม่สนใจผู้หญิงก็มาขอเลขาแม่หม้ายลูกติดอย่างเธอแต่งงาน +++++++++ “เฮ้อ! คุณนี่นะ ดื้อจริง ๆ” วาทีถอนหายใจแล้วจับหญิงสาวให้หมุนตัวมาเผชิญหน้ากัน และด้วยความที่เพิ่งตื่นทำให้มัตสยายกมือขึ้นบังหน้าตัวเอง มองลอดผ่านระหว่างนิ้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นขำอยู่ เลยอดไม่ได้ที่จะถามเสียงเขียว “อะ อะไรคะ” “ผมเพิ่งรู้นะว่านอนแล้วตื่นขึ้นมาเจอใครสักคนแบบนี้มันก็รู้สึกดีเหมือนกัน” ชายหนุ่มว่าพลางกอดกระชับร่างสมส่วนที่นอนตัวแข็งทื่อ “ไม่เชื่อหรอกค่ะว่าไม่เคยตื่นแล้วมาเจอผู้หญิงบนเตียงน่ะ” มัตสยาไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงเง้างอดที่พูดออกไปนั้นมันทำเอาวาทีถึงกับหลุดยิ้มออกมา “หึงเหรอ” “ไม่ใช่ค่ะ” มัตสยาลดมือลงพร้อมกับปฏิเสธเสียงสูง วาทีเห็นความลนลานนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “แต่มันคนละความรู้สึกนี่ อดีตแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันกับอนาคตผมกำหนดมันได้นะ ว่าที่ตรงนี้จะให้ใครอยู่” ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองเบา ๆ “เห็นตอนทำงานเนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ปากหวานใช่เล่นนะคะ” “ชิมดูไหมล่ะ” “หื้อ” มัตสยาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไว ใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก และแทบกลั้นใจตายเมื่อชายหนุ่มคะยั้นคะยอ “น่าชิมหน่อยเถอะ” “ไม่เอาค่ะเกรงใจ” มัตสยาคิดว่าตัวเองปฏิเสธเสียงหนักแน่น ทว่าจริง ๆ แล้วมันทั้งสั่นและแผ่วเบา “คนกันเองเกรงใจทำไม อีกอย่างผมเต็มใจนะ” วาทีกระซิบที่ข้างใบหู ทำเอามัตสยาถึงกับขนลุกซู่ “ไม่เอาค่ะ มัทยังไม่ได้แปรงฟันเลย” “ผมไม่ถือ” วาทีดึงมือที่ปิดปากตัวเองของมัตสยาออกแล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยดึงหญิงสาวเขามาชิดขึ้นกว่าเดิม แล้วใช้ปากประทับลงบนปากเม้มเอาไว้แน่น เพียงเท่านั้นมันก็คลายออกให้เธอได้พิสูจน์ความหวานจากปากของเขาว่าจริงเท็จแค่ไหน แม้จะไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาแค่เรื่องจูบมัตสยาผ่านมันมาแล้ว คิดเอาไว้ว่าถ้าโดนจริง คงพอรับมือได้ ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย อ่อนระทวยกับสัมผัสและจุมพิตที่ชายหนุ่มมอบให้ จนเคลิบเคลิ้มตอบสนองกลับตามที่เขานำพา “อยากไปต่อไหม” มัตสยาพยักหน้า ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วรีบส่ายหน้าพร้อมกับยกมือกุมแก้มที่ร้อนผ่าวของตัวเองอย่างเขินอายที่ร่างกายเผลอไปตอบรับเขาเสียอย่างนั้น “ซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อยสิ” วาทีบอกเสียงกลั้วหัวเราะ ขยับตัวลุกขึ้นแล้วก้มลงจูบที่มุมปากของหญิงสาวเบา ๆ “แต่วันนี้ไม่ได้หรอก บอกแล้วไงผมไม่ทำเรื่องแบบนั้นต่อหน้าเด็ก และที่สำคัญไว้เราแต่งงานกันก่อนดีกว่า ฉะนั้นถ้าอยากกินผมก็แต่งงานกับผมซะ”