สัมผัสแรกในความทรงจำ แสงยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างสูงของห้องประชุมบนชั้น 40 เป็นเส้นยาวสีทองบนพื้นหินอ่อนเย็นเยียบ ลลิตา นั่งอยู่ท่ามกลางทีมงาน บรรยากาศหนาแน่นด้วยความกดดันจากไทม์ไลน์โครงการ ‘รากแก้ว’ ที่บีบรัดเข้ามาทุกนาที เธอพยายามจดจ่อกับแผนงานอันซับซ้อนบนจอโปรเจกเตอร์ แต่จิตใจส่วนหนึ่งยังคงล่องลอยกลับไปที่คืนวาน ภาพของวิรดาที่อ่อนโรยในห้องทำงานเงียบงันและไฟล์งานคอนเซ็ปต์ ‘รากแก้ว’ ที่เธอส่งไปพร้อมกับหัวใจที่หวั่นไหว “...ดังนั้น เราต้องการภาพลักษณ์ที่สื่อถึงการก้าวข้ามผ่านความยากลำบากไปสู่ความสำเร็จที่มั่นคง ให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความน่าเชื่อถือและความทนทานในระยะยาว...” เสียงของพงศ์ หัวหน้าทีมครีเอทีฟดังขึ้นชัดเจน ประตูห้องประชุมเปิดออกพร้อมเสียงดัง ทุกคนหันไปมอง วิรดา ก้าวเข้ามาพร้อมกับพลังงานที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ เธอสวมชุดสูทสีเทาเข้มเข้ากับรูปร่าง ผมสั้นจัดระเบียบเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยความอ่อนล้าจากคืนก่อนอีกแล้ว แววตาดำสนิทสแกนไปทั่วห้องอย่างเฉียบขาด เยือกเย็น และดูไม่อาจเข้าถึงได้ เธอเดินตรงไปยังหัวโต๊ะโดยไม่ส่งสายตาให้ใครเป็นพิเศษ รวมทั้งลลิตาด้วย “ต่อจากนี้ไป ผมจะดูแลการประชุมนี้โดยตรง” วิรดาพูดทันทีที่เธอนั่งลง น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยอำนาจ “ไอเดียเริ่มต้นของคุณลลิตา” เธอหันมามองลลิตาโดยตรงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในห้อง “น่าสนใจในเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังขาดความชัดเจนในเชิงปฏิบัติและความแข็งแกร่งที่จับต้องได้” ลลิตารู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้า คำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาและเจ็บปวดทำให้เธอต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อกลั้นความรู้สึกที่พวยพุ่ง “หัวหน้าคะ” ลลิตาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคง “คอนเซ็ปต์ ‘รากแก้ว’ ของดิฉันสื่อถึงความแข็งแกร่งที่เติบโตมาจากการฝ่าฟันความยากลำบากและรอยร้าวในอดีต มันอาจดูเปราะบางในบางจุด แต่ความงดงามอยู่ที่การยอมรับรอยร้าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความเข้มแข็ง...” วิรดาจ้องมองเธอไม่กะพริบตา สายตาดำสนิทราวกับพยายามจะมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังคำอธิบายนั้น ความเงียบในห้องหนาแน่นขึ้น ทุกคนกลั้นหายใจรอฟังคำตัดสิน “อารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป” วิรดาตัดบทเสียงแข็ง “ผู้บริโภคทั่วไปไม่ซื้ออารมณ์ พวกเขาซื้อความมั่นใจและความน่าเชื่อถือ ต้องเน้นความแข็งแกร่งล้วน ๆ ลบความเปราะบางและรอยร้าวทั้งหมดออกไป” คำพูดของวิรดาดังก้องในหูของลลิตา มันไม่ใช่แค่การปฏิเสธงานออกแบบของเธอ แต่ยังรู้สึกเหมือนเป็นการปฏิเสธบางสิ่งบางอย่างในตัวเธอเองที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกส่วนตัวที่เธอมีต่อผู้หญิงคนนี้ ความเจ็บปวดเล็ก ๆ กัดกร่อนในทรวงอก “แต่หัวหน้า...” ลลิตาพยายามจะอธิบายอีกครั้ง “ไม่มี ‘แต่’” วิรดาตัดบท “เราไม่มีเวลาให้กับอารมณ์ส่วนตัวในที่ทำงาน คุณมีเวลาอีก 48 ชั่วโมงในการปรับแก้ให้ตรงตามที่ผมต้องการ เอกสารสรุปตัวเลขล่าสุด” เธอหันมามองลลิตาและยื่นมือออกมารับแฟ้มเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า “ส่งให้ผมเดี๋ยวนี้” ด้วยความตึงเครียดที่เพิ่มพูนและมือที่เริ่มสั่น ลลิตารีบคว้าแฟ้มสีน้ำเงินหนา ๆ ขึ้นมา ในขณะเดียวกัน วิรดาที่คาดไม่ถึงว่าลลิตาจะรีบร้อนขนาดนั้น ก็ยื่นมือมาคว้าพร้อมกันอย่างรวดเร็ว และแล้วมันก็เกิดขึ้น นิ้วของลลิตาเผลอไปสัมผัสกับนิ้วของวิรดาอย่างเต็มฝ่ามือ มันไม่ใช่แค่การแตะต้องผิวหนังธรรมดา มันเหมือนกับสายฟ้าฟาด! พลังงานปริศนาร้อนระอุพุ่งขึ้นจากจุดสัมผัสนั้น วิ่งราวกับกระแสไฟฟ้าแรงสูงผ่านเส้นประสาททุกเส้นของลลิตา โลกทั้งโลกดูเหมือนจะหยุดหมุนในชั่วพริบตา ภาพเก่าแก่และชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวานพุ่งเข้ามาในจิตใจของเธออย่างรุนแรง: สายน้ำเชี่ยวกรากสีโคลนที่กำลังพัดพาใครบางคนไปอย่างไม่ปรานี... มือคู่หนึ่งที่ยื่นออกมาจากฝั่งปราศจากเรี่ยวแรงจะยื้อเอาไว้ได้... เสียงตะโกนที่ขาดเป็นท่อนลอยมากับเสียงน้ำกระโชก... ความรู้สึกแหลกสลายในอกที่แผ่ซ่านจนไม่อาจหายใจได้... ความรู้สึกว่า ชีวิตนี้จะขาดเธอไปไม่ได้... ดวงตาคู่เดิมที่เธอเห็นในฝันและบนใบหน้าของวิรดาในปัจจุบัน แต่ในภาพนี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวังสุดขีดและความรักที่เผาไหม้จนแทบจะเป็นอันตราย “...อุ๊ย! ขอโทษค่ะ!” เสียงของลลิตาดังลั่นออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อเธอสะดุ้งกลับสู่ความเป็นจริง แฟ้มเอกสารหลุดจากมือทั้งสองคนร่วงลงบนโต๊ะเสียงดัง แต่สิ่งที่ทำให้ลลิตาตกตะลึงไม่ใช่เสียงแฟ้มตก หรือสายตาของทีมงานที่จับจ้องมา แต่เป็นปฏิกิริยาของวิรดา ผู้หญิงที่ดูมั่นคงและเยือกเย็นราวหินแกรนิต ใบหน้าของเธอถูกบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่ระเบิดออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เป็นส่วนผสมของความโกรธเกรี้ยวและความปรารถนาที่รุนแรงและน่าตกใจ แววตาดำสนิทที่เคยเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นไฟที่ไม่อาจปกปิดได้ เธอดึงมือกลับไปราวกับถูกไฟลวก สะบัดมืออย่างแรง พร้อมกับลุกขึ้นยืนกะทันหันจนเก้าอี้ลากไปบนพื้นเสียงดัง “ไม่เป็นไร!” เสียงของวิรดาดังกร้าวผิดปกติ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับพยายามกลั้นอะไรบางอย่างไว้ “ประชุมเลื่อนไปก่อนเที่ยง! ทุกคนกลับไปทำงานต่อ!” ไม่รอให้ใครตอบหรือตั้งคำถามใด ๆ วิรดาหันหลังเดินออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว ท่าทางแข็งทื่อและตึงเครียดผิดปกติ ก้าวเท้าแต่ละก้าวดังและหนัก ประตูห้องถูกปิดเสียงสนั่นหลังเธอ ความเงียบสนิทปกคลุมห้องประชุม ทุกคนเหลือบมองกันด้วยสีหน้าที่สับสนและประหลาดใจ ไม่มีใครเคยเห็นหัวหน้าโครงการแสดงอาการเช่นนี้มาก่อน ลลิตายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ มือข้างที่สัมผัสวิรดายังรู้สึกอุ่น ๆ และสั่นระริกอยู่ข้างใน ความรู้สึกจากภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นมายังคงชัดเจนและเจ็บปวดราวกับแผลใหม่ ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ความสิ้นหวัง และความรักอันยิ่งใหญ่...มันคือความรู้สึกเดียวกับที่เธอสัมผัสได้จากวิรดาในวินาทีที่แตะกัน! “ลลิตา...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงของพงศ์ดังขึ้นด้วยความกังวล ลลิตาสะดุ้งเล็กน้อย “...เปล่าค่ะพี่พงศ์” เธอพยายามยิ้มให้ดูปกติ “แค่...ตกใจนิดหน่อย” แต่ในใจเธอ พายุแห่งคำถามกำลังโหมกระหน่ำ: นั่นคืออะไร? ความทรงจำของใคร? ทำไมมันถึงเจ็บปวดขนาดนี้? และทำไมปฏิกิริยาของวิรดาถึงรุนแรงและซับซ้อนเช่นนั้น? เธอโกรธ...แต่ในแววตานั้นมีอย่างอื่นด้วย...ความปรารถนาที่แท้จริง? รากแก้วที่เรืองรองจากภายใน ตลอดช่วงเช้า ลลิตาทำงานอย่างอัตโนมัติ มือพิมพ์คีย์บอร์ดแต่มองไม่เห็นตัวอักษร สายตาจ้องจอแต่ภาพที่ผุดขึ้นคือดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของวิรดาในความทรงจำอันเลือนรางและความโกรธปนความปรารถนาบนใบหน้าของเธอในห้องประชุม ความรู้สึกสัมผัสที่นิ้วมือยังคงแสบร้อนอยู่ในความทรงจำทางกาย เธอสังเกตเห็นว่าวิรดาไม่กลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองเลยจนถึงเที่ยง ความวิตกกังวลเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่ความสับสน เธอเป็นอะไรไป? หลังพักเที่ยง เมื่อลลิตากลับมาจากทานข้าว เธอเห็นประตูห้องทำงานของวิรดาปิดสนิทเหมือนเดิม แต่คราวนี้...เธอได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงหายใจหอบ ๆ ตื้น ๆ และเสียงสะอึกเบา ๆ ที่ถูกกลั้นไว้ ความกังวลชนะความระแวง ลลิตาลุกขึ้น เดินไปยังประตูห้องของวิรดาอย่างเงียบ ๆ เสียงร้องไห้ที่ถูกกักขังไว้ให้ได้ยินชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นเสียงที่เจ็บปวดและอ่อนแอจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับผู้หญิงที่แข็งกร้าวในห้องประชุมตอนเช้า ลลิตาลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะประตูเบา ๆ เสียงร้องไห้หยุดทันที ตามมาด้วยความเงียบสนิท “...หัวหน้าคะ?” ลลิตาพูดเสียงแผ่ว ไม่มีคำตอบ “หัวหน้าวิรดาคะ? คุณ...เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” เธอพยายามอีกครั้ง ประตูถูกดึงเปิดจากด้านในอย่างรวดเร็ว วิรดายืนอยู่ตรงหน้าเธอ แม้จะพยายามเช็ดรอยน้ำตาและจัดทรงผมเรียบร้อยแล้ว แต่ร่องรอยยังคงปรากฏชัดเจน ทั้งดวงตาที่บวมแดงและใบหน้าที่ดูอ่อนแอเหนื่อยล้า เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามควบคุมน้ำเสียง “มีอะไร?” คำถามสั้น ๆ ที่ยังติดอารมณ์หงุดหงิด แม้จะพยายามกลบเกลื่อน ลลิตาเห็นความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่กำลังต่อสู้เพื่อคงความแข็งแกร่งไว้ มันทำให้ความกลัวและความสับสนของเธอจางลง เหลือไว้เพียงความเห็นอกเห็นใจที่พุ่งพล่าน “ดิฉัน...ดิฉันได้ยินเสียง...” ลลิตาพูดไม่ถูก “คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” วิรดาจ้องมองเธอ สายตาซึ่งปกติจะเฉียบขาดกลับเต็มไปด้วยความสับสน อ่อนแอ และ...ความกลัว? เธอดูเหมือนกำลังสู้กับอะไรบางอย่างภายในตัวเอง “ผมไม่เป็นไร” เธอตอบเสียงต่ำ “แค่...เครียดจากงานนิดหน่อย คุณไม่ต้องกังวล” “แต่...” ลลิตาก้าวเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดโดยไม่รู้ตัว “ตอนเช้า...ที่ประชุม...ดิฉันขอโทษจริง ๆ ที่เผลอไป...” คำพูดของลลิตาดูเหมือนจะไปแตะต้องอะไรบางอย่างในตัววิรดาอีกครั้ง แววตาของเธอเปลี่ยนไปทันที จากความอ่อนแอกลับเป็นความตื่นตระหนกและความโกรธอีกครั้ง “อย่า!” วิรดาพูดเสียงดังขึ้น ก้าวถอยหลังเข้าห้องทันที ราวกับลลิตาเป็นสิ่งอันตราย “อย่ามายุ่ง! อย่ามาพยายาม...เข้าใจอะไร!” เสียงสั่นและขาดเป็นช่วง ๆ “แค่...ไปทำงานของคุณซะ” ประตูถูกปิดใส่หน้าลลิตาอย่างแรง ก่อนที่เธอจะพูดอะไรได้อีกคำ เสียงล็อกดังกริ๊กตามมา ลลิตายืนตะลึงอยู่หน้าประตูไม้หนา ความเจ็บปวดในอกจากการถูกปฏิเสดเจือปนกับความห่วงใยที่ท่วมท้น เธอรู้ดีว่าวิรดาไม่ใช่แค่ ‘เครียดจากงาน’ การร้องไห้ ความโกรธเกรี้ยว และความปรารถนาที่เธอเห็นในแววตาของผู้หญิงคนนั้น...มันเชื่อมโยงกับความทรงจำแปลกปลอมที่สัมผัสได้ตอนมือแตะกันอย่างแน่นอน ฝนเริ่มโปรยลงมาข้างนอก ละอองน้ำเกาะติดกระจกสูงเป็นทางยาว ลลิตากลับไปที่โต๊ะทำงาน ใจของเธอหนักอึ้งเหมือนก้อนหิน ความพยายามจะโฟกัสกับงานแก้ไขคอนเซ็ปต์ ‘รากแก้ว’ ตามคำสั่งของวิรดาดูเป็นไปไม่ได้ เธอเปิดไฟล์งานขึ้นมา ภาพกราฟิกที่เธอออกแบบไว้ – รากแก้วที่แข็งแกร่งแต่เต็มไปด้วยรอยร้าวอันสวยงาม – ดูขัดแย้งกับคำสั่งให้ลบความเปราะบางทั้งหมดออกไป ต้องเน้นความแข็งแกร่งล้วน ๆ คำของวิรดาดังขึ้นในหัว แต่ภาพความทรงจำที่ผุดขึ้นตอนสัมผัสกันก็แล่นเข้ามาแทนที่ ความสิ้นหวังในดวงตาคู่นั้น ความเจ็บปวดจากการสูญเสีย...และใต้กองซากปรักหักพังของอารมณ์เหล่านั้น ลลิตาเริ่มสัมผัสได้ถึงพลังอีกรูปแบบหนึ่ง พลังแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่และอดทน ที่พร้อมจะฟันฝ่าทุกสิ่ง แม้กระทั่งกาลเวลาและความตาย มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งแบบหินผาที่เยือกเย็น แต่เป็นความแข็งแกร่งแบบรากไม้ที่ค่อย ๆ เจาะผ่านชั้นหินแข็ง ด้วยความอดทนและความหวัง แสงสลัว ๆ จากภายนอกส่องผ่านละอองฝนเข้ามาในห้องทำงานที่เกือบจะมืดแล้ว ลลิตาไม่ได้เปิดไฟ ปล่อยให้ความมืดครึ้มและเสียงฝนเป็นเพื่อนเธอ ความรู้สึกทุกอย่างที่หลั่งไหลเข้ามาตั้งแต่ได้พบวิรดา – ความคุ้นเคย ความกลัว ความเห็นอกเห็นใจ ความสับสน และพลังอารมณ์อันลึกลับจากสัมผัสแรก – ดูเหมือนจะรวมตัวกันในความมืด เธอปิดไฟล์งานเดิมที่ถูกปฏิเสธทั้งหมด เปิดหน้าใหม่ นิ้วของเธอเริ่มเคลื่อนไหวบนเมาส์ด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อวิรดา ธนบูลย์ และความเชื่อมโยงปริศนาระหว่างพวกเธอ เธอไม่ได้วาดรากแก้วที่แข็งแกร่งไร้ที่ติอีกต่อไป เธอเริ่มวาด รากแก้วที่เต็มไปด้วยรอยร้าว แต่รอยร้าวแต่ละรอยนั้นเรืองรองด้วยแสงสว่างจากภายในราวกับมีไฟชีวิตลุกโชนอยู่ ไม่ใช่แสงที่เจิดจ้า แต่เป็นแสงอุ่น ๆ ที่แผ่ออกมาจากแก่นแท้ภายใน รอยร้าวไม่ได้แสดงถึงความอ่อนแอ แต่เป็นหลักฐานแห่งการฝ่าฟันและเติบโต รากเหล่านี้พันเกี่ยวกันอย่างซับซ้อน บางอันดูบอบบาง บางอันดูมั่นคง แต่ทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงถึงกันและส่งผ่านพลังงานชีวิตซึ่งกันและกัน พื้นหลังของภาพไม่ใช่ดินหรือหินแข็ง แต่เป็น สายน้ำสีครามที่ไหลเชี่ยวกราก สื่อถึงอดีตอันเจ็บปวดที่ยังคงมีอยู่ แต่รากแก้วเหล่านี้ก็หยั่งลึกลงไปในกระแสน้ำนั้นอย่างมั่นคง ไม่ถูกพัดพาไป มันคือความแข็งแกร่งอีกแบบหนึ่ง ความแข็งแกร่งที่เกิดจากการยอมรับความเปราะบางของตัวเองและของกันและกัน ความแข็งแกร่งที่เติบโตมาจากรอยร้าว ไม่ใช่การปิดบังมัน ลลิตาทำงานต่อเนื่องโดยไม่รู้เวลา แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นแหล่งแสงเดียวในห้องทำงานที่มืดสนิท เสียงฝนตกนอกหน้าต่างกลายเป็นดนตรีประกอบการทำงาน เมื่อภาพคอนเซ็ปต์ใหม่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ดวงตาของเธอเริ่มซึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่จากความเหนื่อยล้า แต่จากความเข้าใจอันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นในใจ วิรดา...เธอไม่ได้โกรธที่การสัมผัส...เธอกลัว ลลิตาคิดในใจ เธอกลัวพลังของความทรงจำที่ถูกปลุกขึ้นมา กลัวความปรารถนาที่เธอไม่อาจควบคุม กลัวความเจ็บปวดเก่าที่ถูกสั่นสะเทือน...และที่สำคัญ เธออาจกลัวความผูกพันอันลึกลับนี้ ที่ท้าทายทุกสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมาครอบคลุมตัวเอง การเดินออกจากห้องประชุมอย่างโกรธเกรี้ยว การปิดประตูใส่...ทั้งหมดมันคือการหนี การหนีจากความจริงที่ว่าสัมผัสเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ปลุกบางสิ่งบางอย่างในตัวเธอให้ตื่นขึ้นอย่างจัง ซึ่งเธอพยายามจะฝังมันไว้ลึกที่สุด ลลิตาจ้องมองผลงานบนหน้าจอ ‘รากแก้ว’ ฉบับใหม่ของเธอ มันไม่ใช่แค่คอนเซ็ปต์งานออกแบบอีกต่อไป มันคือกระจกเงาที่สะท้อนจิตวิญญาณที่บอบช้ำแต่ยังคงเรืองรองของวิรดา และสะท้อนความเชื่อมโยงอันซับซ้อนระหว่างพวกเธอที่ข้ามพ้นกาลเวลา เธอกดบันทึกไฟล์ ความอ่อนล้าท่วมท้นร่าง แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งเบาอย่างประหลาด การได้ปลดปล่อยความเข้าใจและอารมณ์ทั้งหมดนี้ออกมาผ่านงานศิลปะ ช่วยให้เธอเห็นภาพชัดเจนขึ้น การเดินทางของพวกเธอเพิ่งเริ่มต้น และ ‘รากแก้ว’ ที่ถูกซ่อนไว้ใต้ชั้นดินแห่งกาลเวลาและความเจ็บปวด กำลังเริ่มงอกเงยอีกครั้ง ถึงแม้รอยร้าวแรกจะถูกเปิดออกอย่างเจ็บปวดโดย สัมผัสแรก ที่ทั้งสองต่างไม่อาจลืมเลือนได้ แต่ลลิตาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยา และการเผชิญหน้ากับความจริงแห่งจิตวิญญาณที่ผูกพันกันมาชั่วนิรันดร์ เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนยังคงตกไม่หยุด แสงไฟจากตึกสูงลากเป็นเส้นยาวในความมืดและละอองน้ำ เหมือนรอยทางแห่งความหวังในค่ำคืนนี้เอง ความจริงที่ว่าเธอเข้าใจวิรดามากขึ้นในวันนี้ แม้จะถูกผลักไส ก็ทำให้เธอรู้สึกว่าพวกเธอได้ก้าวผ่านอะไรบางอย่างที่สำคัญไปแล้ว และไม่ว่าวิรดาจะพยายามหนีไปอีกไกลแค่ไหน พลังแห่งความผูกพันจากอดีตชาติที่ถูกปลุกขึ้นแล้ว ย่อมไม่อาจดับลงได้ง่าย ๆ
การกลับมาของรากแก้ว ลมเย็นปลายเดือนตุลาคมพัดผ่านกระจกสูงของตึกสำนักงานที่ดูทันสมัยและเย็นเยียบ ลลิตา เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ มองออกไปยังทิวทัศน์เมืองที่กำลังเคลือบสีส้มทองยามบ่ายแก่ ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่อาคารนี้ยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของอากาศ มันไม่ใช่แค่บรรยากาศการทำงานใหม่ แต่เป็นความทรงจำเลือนรางที่คอยกระซิบข้างหัวใจ เธอเพิ่งผ่านการปฐมนิเทศในตอนเช้า และกำลังรอการประชุมแรกกับหัวหน้าโครงการใหญ่ที่เธอจะต้องดูแลการออกแบบกราฟิกทั้งหมด—โครงการ ‘รากแก้ว’ ซึ่งว่ากันว่าสำคัญต่อการเติบโตของบริษัทในปีนี้ ความตื่นเต้นปนความกังวลเป็นลูกคลื่นในอก เธอจัดเอกสารบนโต๊ะให้เรียบร้อยอีกครั้ง เสียงก้าวเท้าที่หนักแน่นและเด็ดขาดดังมาจากทางเดิน “ทีมงานใหม่ โปรเจกต์ ‘รากแก้ว’ ครับ ประชุมห้องเล็กด้านซ้ายในห้านาที” ลลิตาหันตามเสียงประกาศของพนักงานที่เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นถี่ขึ้นเล็กน้อย เธอรวบรวมแท็บเล็ต ปากกา และสมุดบันทึกสีดำ แล้วเดินตามกลุ่มเพื่อนร่วมงานใหม่ที่เริ่มเคลื่อนตัวไปยังห้องประชุม ห้องประชุมเล็กแต่ตกแต่งอย่างมีระดับ บรรยากาศดูเคร่งขรึม ลลิตาเลือกนั่งตรงกลางแถว ทุกคนนั่งหลังตรงเป็นพิเศษ แววตาทุกคู่จับจ้องไปที่ประตูทางเข้า ความตึงเครียดแผ่ซ่านในอากาศราวกับมีสายไฟฟ้าแรงสูงล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ และแล้วประตูก็เปิด ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยและเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เธอสวมชุดสูทสีกรมท่าตัดเข้ารูปอย่างสมบูรณ์แบบ เน้นบ่าที่ผายและเอวที่คอดกิ่ว ผมสั้นสีดำตัดเกรียนรัดรูปโหนกแก้มที่คมชัด แววตาดำสนิทส่องผ่านทุกคนในห้องอย่างรวดเร็ว เฉียบขาด และไร้อารมณ์ เธอเป็นผู้หญิงที่เวลาของเธอมีค่าเกินกว่าจะเสียไปกับความลังเล “เริ่มกันได้เลยครับทีม” เสียงของเธอหนักแน่นและเย็นยะเยือกจนลลิตารู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องลดฮวบลงทันที ลลิตานั่งตัวแข็งทื่อ กล้ามเนื้อทุกมัดเกร็งตึง หัวใจเต้นดังจนน่าจะได้ยินไปทั้งห้อง มันเป็นเสียงเดียวกัน...เสียงที่เธอได้ยินในฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อคืนที่ผ่านมา! และใบหน้า...ถึงแม้จะดูเข้มแข็งและไร้ซึ่งรอยยิ้มกว่าที่เห็นในฝันมากนัก แต่เธอจำได้ทันที ไม่มีทางผิดพลาด นี่คือผู้หญิงคนนั้น! ผู้หญิงที่โผล่มาจากความมืดในฝันของเธอ พร้อมกับความเจ็บปวดและความโศกเศร้าที่บีบคั้นหัวใจจนแทบขาด! “...และนี่คือทีมงานใหม่ของเรา คุณลลิตา สุวรรณรัตน์ ผู้รับผิดชอบด้านกราฟิกดีไซน์หลักของโครงการ” ผู้จัดการฝ่ายครีเอทีฟแนะนำ ลลิตาลุกขึ้นยืนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับทุกท่านค่ะ” สายตาคู่นั้นของหัวหน้าโครงการหันมาสู่เธอโดยตรง เย็นชาเหมือนดวงตาของงูเหลือมที่จ้องมองเหยื่อ แต่ในชั่วพริบตาที่สายตาสองคู่มาบรรจบกัน ลลิตาเห็นบางสิ่งบางอย่างลัดแลบผ่านไปอย่างรวดเร็วในตาคู่ที่ดำสนิทนั้น มันคืออะไร? ความประหลาดใจ? ความสับสน? หรือ...ความเจ็บปวด? มันหายวับไปก่อนที่ลลิตาจะจับความได้ ถูกแทนที่ด้วยความเฉียบขาดอีกครั้ง “วิรดา ธนบูลย์” เธอพูดขึ้นสั้น ๆ โดยไม่ยื่นมือออกมา เสียงราบเรียบราวกับอ่านชื่อจากเอกสาร “งานออกแบบของคุณคือหัวใจของแคมเปญระยะแรก ต้องสื่อถึงความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างยั่งยืนตามคอนเซ็ปต์ ‘รากแก้ว’ ให้ได้ ผมต้องการเห็นไอเดียเริ่มต้นพรุ่งนี้เช้า” “พรุ่งนี้เช้าคะ?” ลลิตากลั้นหายใจ “ใช่” วิรดาพูดคำเดียว หันไปคุยกับคนอื่นต่อทันที โดยไม่ให้พื้นที่สำหรับคำถามหรือข้อกังวลใด ๆ ลลิตาลงนั่งอย่างอ่อนแรง ความรู้สึกแรกที่โถมทับเธอคือความกดดันมหาศาล แต่ใต้ชั้นความกดดันนั้น ความรู้สึกแปลกประหลาดก็คืบคลานเข้ามาแทนที่ มันไม่ใช่แค่ความกลัวหรือความเคารพที่เธอมีต่อหัวหน้างานคนใหม่ แต่เป็นความคุ้นเคยที่เจ็บปวดและลึกซึ้งราวกับถูกมีดกรีดเข้าไปในจิตวิญญาณ เธอมองไปที่วิรดาที่กำลังพูดถึงแผนการตลาดด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดและไร้ที่ติ ท่าทางมั่นคง ใบหน้าเปื้อนความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมให้ใครมาขวางทางได้ แต่ลลิตา...เธอรู้สึกได้ เธอรู้สึกถึงความเศร้า มันแผ่ซ่านออกมาจากวิรดา ราวกับแสงสลัว ๆ จากหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างใน ความเศร้าอันใหญ่หลวงและเก่าแก่ ฝังลึกอยู่ใต้เปลือกนอกที่แข็งแกร่ง เย็นชา และดูไม่รู้สึกนึกคิดใด ๆ มันเหมือนกับว่าเธอสามารถมองทะลุเปลือกนอกอันหนาทึบนั้นไปเห็นความเจ็บปวดที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ข้างใต้ ความเจ็บปวดที่เธอรู้สึกได้ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไม หรือมันคืออะไรกันแน่ ความผูกพันที่ซ่อนเร้น เมื่อประชุมจบลง ทุกคนรีบเก็บของออกจากห้องอย่างรวดเร็วราวกับหนีภัยพิบัติ ลลิตาพยายามเดินช้า ๆ เพื่อเก็บข้าวของให้เรียบร้อย เธอหวังลึก ๆ ว่าจะได้มีโอกาสพูดคุยกับวิรดาสักสองสามคำ แต่หัวหน้าโครงการยังคงนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ก้มหน้าตรวจเอกสารอย่างจริงจัง ไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ลลิตากำลังจะก้าวออกจากห้อง เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “คุณลลิตา” ลลิตาหยุดชะงัก หันกลับไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง วิรดายังคงไม่เงยหน้าขึ้นมอง เธอกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนเอกสาร “อย่าลืมส่งไอเดียเริ่มต้นมาให้ผมภายในเก้าโมงเช้าพรุ่งนี้ ไฟล์ PDF ส่งมาที่อีเมลโดยตรง” น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีช่องว่างให้ต่อรอง “...ค่ะ” ลลิตาตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะรีบก้าวออกจากห้องด้วยความรู้สึกอึดอัดแปลกประหลาด บางครั้งเธอสัมผัสได้ถึงสายตาของวิรดาจับจ้องอยู่ที่หลัง แต่เมื่อหันไปมอง สายตาคู่นั้นก็กลับมาจดจ่ออยู่กับเอกสารเสมอ ตลอดเวลาที่เหลือของวัน ลลิตาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะโฟกัสกับงาน แต่ภาพใบหน้าที่เย็นชาและแววตาที่แฝงเร้นไปด้วยความเศร้าของวิรดาคอยแทรกเข้ามาในความคิดอยู่ตลอดเวลา เวลาเลิกงานใกล้เข้ามา ลลิตาเห็นวิรดากำลังเดินตรงมายังโต๊ะทำงานของเธอจากทางไกล หัวใจเธอเต้นรัว วิรดาหยุดที่โต๊ะข้าง ๆ ซึ่งเป็นของนักออกแบบอีกคนหนึ่ง “เอกสารสรุปประชุมที่ผมขอไว้เมื่อเช้า” เธอยื่นมือออกไป “ครับ หัวหน้า! พร้อมแล้วครับ!” เพื่อนร่วมงานรีบยื่นแฟ้มให้ วิรดารับแฟ้มมา พลิกดูอย่างรวดเร็ว “ดี” เธอพูดสั้น ๆ แล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่ส่งสายตามายังลลิตาแม้แต่น้อย ลลิตาหายใจออกอย่างโล่งอกและผิดหวังในเวลาเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกขัดแย้งที่ทำให้เธอสับสนอย่างมาก ทำไมเธอถึงรู้สึกทั้งอยากใกล้ชิดและอยากหนีให้ไกลจากผู้หญิงคนนี้ในเวลาเดียวกัน? ความรู้สึกนี้ช่างรุนแรงและลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยเหตุผล เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ลลิตาเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในแผนก เธอพยายามนั่งทำงานต่อเพื่อให้ได้ไอเดียบางอย่างสำหรับพรุ่งนี้เช้า แต่ความคิดก็ไม่แล่น ความเงียบของห้องทำงานยามเย็นแผ่ขยายออกไป เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เมืองกรุงเริ่มสว่างไสวไปด้วยแสงสีจากตึกสูงและรถราที่คืบคลานเหมือนแม่น้ำแห่งแสง เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้นจากมุมออฟฟิศ ลลิตาหันไปมอง วิรดากำลังเดินออกมา ผมเปียกเล็กน้อยดูเหมือนเพิ่งล้างหน้า ท่าทางของเธอในตอนนี้แตกต่างจากเวลาทำงานอย่างเห็นได้ชัด ความกระชับกระเฉงและความเฉียบขาดหายไป แทนที่ด้วยความอ่อนล้าและความหนักหน่วงที่ปรากฏชัดในทุกย่างก้าว เธอเดินกลับไปที่ห้องทำงานส่วนตัวโดยไม่ได้สังเกตว่ายังมีคนอยู่ในออฟฟิศ ลลิตาเห็นโอกาสนี้ เลยลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปดื่มน้ำที่ตู้กดน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทำงานของวิรดามากนัก เธอเดินไปอย่างระมัดระวัง เมื่อผ่านประตูห้องทำงานที่เปิดทิ้งไว้เล็กน้อย เธอเหลือบมองเข้าไปข้างในได้เพียงเสี้ยววินาที ภาพที่เห็นทำให้เธอหยุดชะงัก วิรดานั่งอยู่ที่โต๊ะ หลังค่อมเล็กน้อย มือทั้งสองข้างกุมขมับไว้แน่น แววตาจ้องมองไปที่รูปภาพเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจซ่อนได้อีกต่อไป ความเศร้าสร้อยที่ลลิตาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกพบ ปรากฏเด่นชัดบนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นในวินาทีที่เธอคิดว่าไม่มีใครมอง รอยหยักของความทุกข์ทรมานทางจิตใจปรากฏบนหน้าผากที่เคยดูมั่นคง และมุมปากที่เคยขึงขัง แต่มันก็เป็นเพียงเสี้ยววินาที เมื่อวิรดาได้ยินเสียงก้าวเท้าเบา ๆ นอกห้อง เธอรีบเก็บรูปภาพนั้นลงในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว พลิกกลับมาเป็นคนเดิมในทันที—ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ แววตาเฉียบขาด เธอหันมามองลลิตาด้วยสายตาที่ตั้งคำถามและเตือนภัย “คุณยังไม่กลับ?” เสียงของวิรดาดังขึ้น เย็นชาและเป็นทางการ “...กำลังจะกลับแล้วค่ะ” ลลิตาตอบเสียงสั่นเล็กน้อย “แวะดื่มน้ำก่อน” วิรดาพยักหน้าเพียงครั้งเดียวอย่างรวบรัด แล้วก็หันกลับไปจ้องมองจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ส่งสัญญาณชัดเจนว่าการสนทนาจบลงแล้ว ลลิตาเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองด้วยความรู้สึกใจหายวาบ ภาพที่เห็นชัดเจนขึ้นในความทรงจำของเธอ ไม่ใช่แค่รูปภาพที่วิรดากำลังมอง แต่มันคือความรู้สึก...ความรู้สึกเดียวกันจากความฝัน! ความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความโศกเศร้าอันยิ่งใหญ่ที่เธอสัมผัสได้ในฝันนั้น มันถูกสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าของวิรดาในวินาทีที่เธอไม่ได้ระวังตัว! ความเชื่อมโยงระหว่างความฝันกับความเป็นจริงดูจะชัดเจนขึ้น แต่ก็ยิ่งทำให้ลลิตาสับสนและหวาดหวั่นมากกว่าเดิม มันคืออะไรกันแน่? เหตุใดเธอถึงรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ลึกในใจของผู้หญิงคนนี้? เหตุใดความเจ็บปวดของวิรดาถึงสะท้อนมาสู่จิตใจเธอราวกับเป็นของเธอเอง? และที่สำคัญ เหตุใดวิรดาถึงดูเหมือนจะรู้จักเธอในระดับหนึ่งในวินาทีแรกที่สบตากัน? ความสับสนวุ่นวายเหล่านี้ผสมผสานกับความกดดันของงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้เช้า ทำให้ลลิตารู้สึกหนักอึ้งจนแทบล้มทั้งยืน เส้นทางแห่งการเติบโต เธอนั่งลงที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง เปิดไฟล์งานใหม่บนคอมพิวเตอร์ แต่แทนที่จะนึกถึงโลโก้หรือคอนเซ็ปต์ ‘รากแก้ว’ ที่ต้องสื่อถึงความแข็งแกร่งและยั่งยืน ภาพที่ผุดขึ้นในหัวเธอกลับเป็นภาพสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ภาพต้นไม้ใหญ่ที่ล้มตาย และภาพดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรอคอย...ดวงตาที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้เอง ‘รากแก้ว’...ชื่อโครงการดูเหมือนจะซ่อนความหมายบางอย่างไว้ ลลิตาลองวาดเส้นหยัก ๆ บนกระดาษร่างอย่างไม่มีจุดหมาย เส้นสายค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปทรงของรากไม้ที่ซับซ้อน แต่ก็ดูเปราะบางราวกับแก้ว มันสื่อถึงความแข็งแกร่งหรือความเปราะบางกันแน่? ความยั่งยืนหรือความแตกสลาย? เธอคิดถึงวิรดา ผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งราวเพชร แต่กลับซ่อนความเปราะบางและความเศร้าอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง ทันใดนั้น ไอเดียหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวเธอ “รากที่แข็งแกร่ง...แต่อาจเต็มไปด้วยรอยร้าวและความเจ็บปวดจากอดีต...” เธอกระซิบบอกตัวเองขณะที่มือเริ่มร่างภาพอย่างรวดเร็วขึ้น ความตึงเครียดในที่ทำงาน ความรู้สึกคุ้นเคยที่ยากจะอธิบาย ความเศร้าลึกลับของวิรดา และความฝันที่ยังหลอกหลอน ดูเหมือนจะหลอมรวมกันกลายเป็นพลังสร้างสรรค์บางอย่าง เธอทำงานต่อเนื่องจนดึก ดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แสงจากตึกสูงรอบข้างสาดส่องเข้ามาในห้องทำงานที่เงียบสงัด เมื่อร่างแรกของคอนเซ็ปต์เริ่มเป็นรูปร่าง ลลิตารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าอย่างหนัก เธอเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน ขณะเดินผ่านห้องทำงานของวิรดา ซึ่งตอนนี้ปิดประตูสนิทแล้ว แต่ยังมีแสงลอดออกมาจากช่องใต้ประตูได้ ลลิตาหยุดชะครู่ เธอจินตนาการเห็นผู้หญิงคนนั้นยังคงนั่งทำงานอยู่คนเดียว ท่ามกลางความเงียบและความว้าเหว่ของคืนวัน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผุดขึ้นในใจเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ เธอเกือบจะยกมือขึ้นเคาะประตู...แต่ก็หยุดตัวเองได้ “พรุ่งนี้เช้า...เก้าโมง...” เสียงกระซิบในใจเตือนถึงเส้นตายที่รออยู่ ลลิตาหันหลังเดินจากไป แต่ความรู้สึกที่ว่าเธอกับวิรดาไม่ได้เพิ่งมาพบกันในชาตินี้ มันเหมือนกับการกลับมาพบกันอีกครั้งของจิตวิญญาณที่เคยผูกพันอย่างลึกซึ้ง แต่กลับต้องมาเผชิญหน้ากันในสถานะ ‘หัวหน้า’ และ ‘ลูกน้อง’ ภายใต้กรอบของสังคมที่คาดหวังให้พวกเขาปฏิบัติตัวตามบทบาทที่กำหนดไว้ ภายใต้ความเย็นชาและความตึงเครียดนั้น พลังแห่งความผูกพันจากอดีตชาติเริ่มส่งสัญญาณบางอย่าง มันเหมือนรากแก้วที่เธอกำลังออกแบบ—แข็งแกร่ง มั่นคง แต่อาจเต็มไปด้วยรอยร้าวอันเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ภายใน และพร้อมจะนำพาสิ่งที่ถูกฝังไว้กลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง คืนนั้น ลลิตานอนไม่หลับ ภาพดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าของวิรดาในห้องทำงานที่เงียบงัน และภาพในความฝันซ้ำเดิม กลับมาปะทะกันในความมืด ความรู้สึกคุ้นเคยที่เจ็บปวดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเธอรู้สึกลึก ๆ ว่า โครงการ ‘รากแก้ว’ นี้ จะไม่ใช่แค่การทำงานที่ท้าทาย แต่เป็นการเดินทางไปพบกับความจริงบางอย่างที่ถูกฝังลึกลงไปในรากแก้วแห่งจิตวิญญาณของเธอเอง และของวิรดา ผู้หญิงปริศนาผู้เป็นทั้งคนแปลกหน้าและคนคุ้นเคยที่สุดในใจเธอในขณะนี้ รุ่งขึ้นเช้า แสงแรกของวันสาดส่องเข้ามาในห้องพัก ลลิตาจ้องมองผลงานคอนเซ็ปต์ ‘รากแก้ว’ ที่เธอใช้เวลาทั้งคืนทำจนเสร็จบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ มันสวยงาม แข็งแกร่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเปราะบางและร่องรอยแห่งการบาดเจ็บ เธอรู้ว่าไอเดียนี้ไม่ได้มาจากไบรฟ์งานเพียงอย่างเดียว แต่มันผุดขึ้นจากความรู้สึกที่เธอมีต่อวิรดาและความเชื่อมโยงลึกลับระหว่างพวกเธอ เธอกด ‘ส่ง’ ไฟล์ PDF ไปยังอีเมลของวิรดาพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ การเดินทางของเธอในโครงการนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และหัวหน้าโครงการผู้เป็นทั้งคนแปลกหน้าและความคุ้นเคยเก่าแก่ที่สุดของเธอ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่ความจริงแห่งรากแก้วแห่งจิตวิญญาณที่ถูกฝังลึกของพวกเธอทั้งคู่
เรื่องเล่าจากลิฟต์ สองหัวใจที่ตามหากัน ลมเย็นยามเย็นพัดผ่านช่องว่างระหว่างตึกสูงระฟ้า เกลียวแก้วของอาคารสำนักงานหลังใหญ่สะท้อนแสงอาทิตย์อัสดงสีส้มอมม่วงราวกับหลอมละลายลงสู่ท้องถนนที่เริ่มคึกคักด้วยผู้คน ลลิตายืนตัวเล็กนิดเดียวในความกว้างใหญ่ของเมืองนี้ ไหล่ที่อ่อนล้าจากงานหนักและหัวใจที่ว่างเปล่ามานานพยายามโอบกอดความหวังอันริบหรี่ เธอโบกมือลาเพื่อนร่วมงานแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์ กดปุ่มชั้น 25 ด้วยนิ้วมือที่สั่นระริกเบาๆ ประตูลิฟต์เปิดออก เธอก้าวเข้าไปในความเย็นจัดของเครื่องปรับอากาศ ภายในลิฟต์มีผู้หญิงอีกคนยืนอยู่แล้ว หลังพิงผนังลิฟต์และกำลังเพ่งมองจอโทรศัพท์อย่างอ่อนล้า ผู้หญิงคนนั้นคือวิรดา สายตาของเธอเงยขึ้นเล็กน้อยเมื่อมีคนเข้ามา การสบตากันครั้งแรกนั้นเหมือนฟ้าผ่าในวันที่แจ่มใส ไม่ใช่ฟ้าผ่าที่ทำลายล้าง แต่เป็นพลังงานประหลาดที่วิ่งผ่านร่างกายของทั้งสองคนในทันทีทันใด “ชั้น...” ลลิตาเริ่มพูด แต่เสียงก็ค่อยหายไปในลำคอ “25 เหรอคะ? เหมือนกันเลย” วิรดาทำท่าเคลื่อนตัวเล็กน้อยเพื่อเปิดพื้นที่ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ที่มุมปาก เสียงของเธอทุ้ม เต็มไปด้วยความอ่อนล้าแต่ก็แฝงความอบอุ่นไว้เบื้องลึก “ค่ะ... ขอบคุณนะคะ” ลลิตาตอบพร้อมก้าวเข้าไปยืนในมุมตรงข้าม กลิ่นหอมอ่อนๆ แปลกประหลาดแต่คุ้นเคยโชยมากับลมเย็นในลิฟต์ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมหรือเครื่องสำอางใดๆ ที่เธอรู้จัก แต่มันเป็นกลิ่นดินหลังฝนตกปนกับกลิ่นดอกไม้ป่าบางชนิดที่เธอจำไม่ได้ แต่กลับให้ความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก ประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบที่คั่นด้วยเสียงเครื่องยนต์เบาๆ และลมหายใจของทั้งคู่เริ่มปกคลุมพื้นที่แคบๆ นี้ ลลิตากลั้นหายใจ เธอไม่กล้าสบตาผู้หญิงคนนั้นอีก แต่รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องอยู่ที่ข้างหลังอย่างชัดเจน ความรู้สึกประหลาดพุ่งขึ้นมาในอก มันไม่ใช่ความประหม่าเมื่อเจอคนแปลกหน้า หรือแม้แต่ความรู้สึกดึงดูดทางกายภาพ แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก เหมือนเธอเคยยืนอยู่ในลิฟต์คับแคบแบบนี้กับผู้หญิงคนนี้ ภายใต้แสงไฟนีออนสีเดียวกันมาก่อนหน้านี้ ไม่เพียงเท่านั้น ภาพบางอย่างลางๆ วิ่งผ่านจิตใจเธอเร็วมากจนจับความหมายไม่ได้: เสียงหัวเราะกังวานในสวนดอกไม้ เงาร่างสองคนวิ่งเล่นริมน้ำในแสงจันทร์ และความเจ็บปวดที่แทงทะลุทรวงอกเฉียบพลันจนเธอต้องเอามือกุมอกไว้โดยไม่รู้ตัว “คุณ... ไม่สบายหรือเปล่าคะ?” เสียงของวิรดาดังก้องในความเงียบ ลลิตาผงะและหันไปมอง “เปล่า... ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบอย่างรีบร้อน “แค่... เหนื่อยนิดหน่อย” วิรดามองเธอด้วยความใส่ใจอย่างลึกซึ้ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอเหมือนจะส่องทะลุเข้าไปในจิตใจลลิตา “รู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยเจอกันมาก่อนไหมคะ?” เธอถามพร้อมกับยักคิ้วเล็กน้อยราวกับแปลกใจกับคำพูดของตัวเอง คำถามนั้นตรงกับสิ่งที่ลลิตากำลังรู้สึกพอดี “ฉัน... ก็รู้สึกแบบนั้น” เธอตอบด้วยเสียงเบาๆ “แต่คิดว่าไม่น่าจะเคยเจอกันจริงๆ นะคะ” เธอพยายามยิ้มให้ดูเป็นปกติ วิรดาหัวเราะเบาๆ เสียงลอยอยู่ในอากาศ “โลกมันกลมจริงๆ คงเป็นอย่างนั้นแหละ” แต่ท่าทางของเธอบอกเป็นนัยว่าเธอเองก็ไม่เชื่อคำอธิบายง่ายๆ นี้ เธอเหลือบมองลลิตาอีกครั้ง คราวนี้จดจ้องที่กระเป๋าเอกสารหนังสีน้ำตาลที่ลลิตากำอยู่อย่างแน่น “กระเป๋าสวยนะคะ” เธอพูด “รุ่นคลาสสิก หายากแล้วนะ” ลลิตาตกใจเล็กน้อย เธอได้รับคำชมเรื่องรสนิยมบ่อยครั้ง แต่คำชมนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป “ขอบคุณค่ะ คุณแม่ให้มานานแล้ว” เธอตอบพลางพลิกกระเป๋าดูอย่างไม่ตั้งใจ และก็สังเกตเห็นว่าวิรดาก็กำกระเป๋าเอกสารหนังสีดำ รุ่นเก่าแก่อันเดียวกัน แค่คนละสีเท่านั้น รอยขูดขีดเล็กๆ ที่มุมขวาล่างดูคุ้นเคยอย่างเหลือเชื่อ เธอเคยเห็นรอยนั้นมาก่อน... แต่ที่ไหน? ติ๊ก... ตึก... ตัวเลขบนจอลิฟต์ค่อยๆ กระโดดขึ้นทีละชั้น: 15... 16... 17... เวลาในลิฟต์คันนี้ดูเหมือนจะเดินช้าลงอย่างน่าประหลาด แต่ละวินาทีอัดแน่นไปด้วยพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็น ราวกับว่าเส้นทางสั้นๆ ระหว่างชั้นนี้กำลังทอถักสายสัมพันธ์บางอย่างขึ้นมาใหม่ สายตาทั้งคู่บังเอิญพบกันอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่มีใครรีบหันไป วิรดาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ลิฟต์วันนี้ช้าจังเนอะ” “ใช่...” ลลิตาตอบพร้อมยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเป็นครั้งแรก “เหมือนมันตั้งใจให้เราต้องยืนคุยกันต่อเลย” รอยยิ้มของวิรดากว้างขึ้น ดวงตาสุกใสขึ้นทันที “ฉันชื่อวิรดา” “ลลิตาค่ะ” ความตึงเครียดเริ่มคลี่คลาย แม้ความรู้สึกคุ้นเคยอันน่าพิศวงจะยังคงแผ่ซ่านอยู่ ติ๊ก... ตึก... 23... 24... ลิฟต์ถึงชั้น 25 ด้วยเสียง ติ๊ง แห่งการสิ้นสุดที่ทั้งคู่รู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกพิเศษใบเล็กๆ ที่เพิ่งสร้างขึ้นมา ความรู้สึกเสียดายบางอย่างโผล่ขึ้นมาในใจทั้งคู่โดยไม่ทันตั้งตัว “ถึงแล้วล่ะ” วิรดาพูดพร้อมกับทำท่าให้ลลิตาออกก่อน “ขอบคุณนะคะ... แล้วเจอกันใหม่” ลลิตาก้าวออกจากลิฟต์พลางหันหลังมอบรอยยิ้มให้วิรดา “หวังว่าคงเจอกันใหม่จริงๆ นะ” วิรดาตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะค่อยๆ ปิดลง กั้นภาพใบหน้าของเธอออกไปทีละน้อยจนเหลือเพียงแววตาคู่นั้นที่ยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำของลลิตา ลลิตายืนนิ่งอยู่หน้าลิฟต์สักพัก หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ไม่ใช่เพราะความประหม่า แต่เป็นเพราะความรู้สึก “กลับบ้าน” ที่เธอไม่เคยรู้สึกมานานแสนนาน มันช่างเหลือเชื่อที่การพบเจอเพียงไม่กี่นาทีกับคนแปลกหน้าจะสั่นสะเทือนโลกภายในของเธอได้ถึงเพียงนี้ เธอเดินกลับห้องพักในตึกเดียวกัน ห้องเล็กๆ ที่รู้สึกว่างเปล่าและเย็นยะเยียบกว่าปกติ เมื่อประตูปิดลง ความเงียบและความโดดเดี่ยวก็ถาโถมเข้ามาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ มันต่างออกไป เพราะมีพลังงานบางอย่างใหม่ๆ ถูกจุดประกายขึ้นแล้วในใจเธอ คืนนั้น ลลิตานอนไม่หลับ ภาพใบหน้าของวิรดาและความรู้สึกประหลาดในลิฟต์ผุดขึ้นมาในจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเธอหลับตาลง ภาพที่ไม่ชัดเจนแต่เต็มไปด้วยอารมณ์อันรุนแรงก็ถาโถมเข้ามา: เธอเห็นตัวเองในชุดผ้าไหมโบราณสีฟ้าอ่อน วิ่งผ่านสวนดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่ง ใต้ท้องฟ้าสีคราม เธอวิ่งตามใครสักคนที่อยู่ข้างหน้า เสียงหัวเราะกังวานเหมือนกระดิ่ง ลมโชยพัดโบกผ้าคลุมไหล่สีทองของคนข้างหน้าพลิ้ว เธอรู้สึกได้ถึงความปิติสุดขีดและความรักที่ล้นเหลือ... ทันใดนั้น ฉากเปลี่ยน ความมืดถาโถม เสียงกรีดร้องของใครสักคนดังลั่นในความเงียบงัน กลิ่นคาวเลือดโชยเข้าจมูก เธอเห็นมือตัวเองที่เปื้อนเลือด สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอันแสนสาหัสที่อก... และหยาดน้ำตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังในดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เธอเพิ่งได้เห็นในลิฟต์วันนี้... ลลิตาตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน หัวใจเต้นรัวเหมือนจะกระเด็นออกจากอก เหงื่อซึมโชกทั่วตัว ความรู้สึกเจ็บปวดในฝันยังคงตราตรึงอยู่ในอกเธอชัดเจนราวกับประสบการณ์จริง ดวงตาของวิรดาในฝัน... นั่นคือดวงตาของผู้หญิงคนนั้นในลิฟต์อย่างไม่ต้องสงสัย เช้าวันต่อมา ความเหนื่อยล้าจากฝันร้ายยังคงเกาะกุมจิตใจลลิตา แต่พลังบางอย่างที่ลึกยิ่งกว่าก็ผลักดันเธอให้ตื่นขึ้น เธอทำทุกอย่างเร็วเป็นพิเศษ โดยไม่ยอมรับแม้กับตัวเองว่าเธอกำลังหวังจะพบใครบางคนอีกครั้งที่ลิฟต์ตัวเดิม เมื่อเธอกดปุ่มลิฟต์ลงชั้นล่าง หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นวิรดายืนรออยู่แล้วหน้าประตูลิฟต์ คล้ายกับว่าเธอก็กำลังรอใครอยู่เช่นกัน “เช้านี้ฟ้าใสจังเลยนะคะ” วิรดาทักทายก่อนด้วยรอยยิ้มสดใส ราวกับไม่มีฝันร้ายใดๆ เกิดขึ้น แต่ลลิตาสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของเธอเล็กน้อย “สวัสดีค่ะ... ใช่แล้วค่ะ ฟ้าสวยมาก” ลลิตาตอบพร้อมยิ้มกลับ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ เติมเต็มช่องว่างในหัวใจเธออีกครั้ง ลิฟต์เคลื่อนลงอย่างช้าๆ แต่คราวนี้บรรยากาศไม่เคียดขัดเหมือนเมื่อวาน ความรู้สึกคุ้นเคยที่ยังคงมีอยู่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นแทน “เมื่อคืน...” ลลิตาเริ่มพูดอย่างลังเล แต่ตัดสินใจพูดต่อ “ฉันฝันถึงอะไรบางอย่าง... บางอย่างที่รู้สึกจริงมาก” วิรดาหันมาสบตาลลิตาอย่างจริงจัง แววตาของเธอสะท้อนความเข้าใจบางอย่างที่ลึกซึ้ง “ฝัน... เกี่ยวกับอะไรเหรอคะ?” เธอถามเสียงแผ่วเบา “เกี่ยวกับ... ดวงตาคู่นึง” ลลิตาตอบเสียงสั่น “ดวงตาคุณ... ในฝัน มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด... แล้วฉันก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย” เธอเอามือกุมหน้าอกโดยไม่รู้ตัว ความเงียบปกคลุมลิฟต์อีกครั้ง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์เบาๆ และลมหายใจที่ค่อยๆ เร่งขึ้นของทั้งคู่ วิรดาหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักหน่วง “ฉันก็ฝัน... ฝันว่าเห็นใครบางคนล้มลง... แล้วฉันกรีดร้อง... ความเจ็บปวดที่อกมันแทงทะลุ... และมีมือเปื้อนเลือด...” เธอก้มมองมือตัวเอง “และในฝัน... ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังจะเสียคนที่รักที่สุดไปตลอดกาล” ลลิตารู้สึกตัวสั่น ความบังเอิญนี้เกินจะอธิบายด้วยเหตุผลธรรมดาได้แล้ว มันไม่ใช่แค่ความคุ้นเคย แต่เหมือนประวัติศาสตร์บางอย่างที่ถูกฝังลึกกำลังค่อยๆ เผยตัวออกมาจากหลุมศพแห่งกาลเวลา “คุณเชื่อเรื่อง... อดีตชาติไหมคะ?” ลลิตาถามด้วยน้ำเสียงแทบไม่มีเสียง วิรดามองเธอตรงๆ แววตาลึกซึ้งเต็มไปด้วยอารมณ์ที่สลับซับซ้อน “ไม่เคยเชื่ออย่างจริงจัง... จนถึงตอนนี้” เธอตอบ “แต่มันมีแต่เรื่องนี้แหละที่พอจะอธิบายความรู้สึก... และความเจ็บปวดที่เราทั้งคู่ฝันเห็นได้” ลิฟต์ถึงชั้นล่าง ติ๊ง เสียงดังรบกวนความเงียบศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมพวกเธอไว้ ประตูเปิดออกสู่โลกภายนอกที่วุ่นวาย แต่ครั้งนี้ ทั้งคู่เหมือนยืนอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งความเข้าใจใหม่ที่เพิ่งก่อตัว “ไปด้วยกันไหม?” วิรดาชี้ไปที่ร้านกาแฟเล็กๆ ตรงข้ามตึก “เราอาจมีเรื่องต้องคุยกันมากกว่านี้” ลลิตามองดูดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง ดวงตาที่เคยเห็นในความฝันอันเจ็บปวด แต่ตอนนี้กลับส่องประกายด้วยความอบอุ่นและความหวัง เธอรู้สึกถึงการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็นนี้กำลังเติบโตแข็งแรงขึ้นทุกวินาที มันอาจเริ่มจากความลึกลับและความเจ็บปวดในอดีต แต่ในขณะนี้ มันรู้สึกเหมือนโชคชะตากำลังมอบโอกาสครั้งที่สองให้ “ไปค่ะ” ลลิตาตอบด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจขึ้น พร้อมก้าวออกจากลิฟต์เคียงข้างวิรดา สายลมยามเช้าพัดโบกผมหยักศกของวิรดาให้พลิ้วไหวไปกระทบไหล่ของลลิตาเบาๆ การสัมผัสเล็กๆ นี้กลับรู้สึกยิ่งใหญ่ราวกับสะพานที่เชื่อมโยงสองโลกเข้าด้วยกัน แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาบนพื้นถนน ทอดยาวเป็นเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ใหม่ สายใยอันบอบบางแต่มั่นคงที่ถูกจุดประกายในลิฟต์คับแคบ ได้เริ่มทอถักตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ท่ามกลางความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ความลึกลับแห่งอดีตชาติและพลังแห่งความผูกพันที่ฝังรากลึก กำลังค่อยๆ เผยโฉมตน นำพา ลลิตา และ วิรดา เข้าสู่บทใหม่ของโชคชะตาที่พวกเธออาจเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ พวกเธอตั้งใจจะเดินไปด้วยกันให้ถึงที่สุด