10 ธ.ค. 2018 เวลา 09:48 • การศึกษา
หรือของมือสองญี่ปุ่นในไทยจะเป็นของคนตาย?
2
ในรอบหลายปีมานี้ในบ้านเรา เราจะเห็นว่ามีร้านขายของมือสองญี่ปุ่นจำนวนมากในราคาถูกสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเฉพาะทางแบบเสื้อผ้ามือสองญี่ปุ่น หรือจะเป็นโกดังมือสองญี่ปุ่นแถบชานเมืองที่ของสารพัดมีตั้งแต่ถ้วยโถโอชาม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี ไม้กอล์ฟ หรือกระทั่งรถยก
ของหลาย ๆ ชิ้นสภาพดีเหลือเชื่อ ราคาก็ถูกแสนถูก
ซึ่งพูดถึงคนญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นก็ขึ้นชื่อด้านการรักษาของอยู่แล้ว บางทีเราก็เดาว่าคนญี่ปุ่นเขาคงจะเอาของที่เขารักษากันมาดี ๆ มาขายกันมั้ง เวลาเขาไม่ใช้ แล้วคนก็รวม ๆ ซื้อในราคาแบบส่งมาขายเมืองไทยอีกที
อันที่จริง คนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมเอาของไปขายเป็นของมือสองอยู่แล้วโดยเฉพาะหนังสือ ซึ่งนั่นทำให้ในญี่ปุ่นมันมีธุรกิจหนังสือมือสองใหญ่โตมาก ๆ และทำให้เครือร้านหนังสือมือสองอย่าง Book Off นั้นขยายกิจการไปรับซื้อและขายของอย่างอื่นอีกเต็มไปหมด
แต่ถ้าใครเคยได้ไปญี่ปุ่น แล้วไปเดินตามร้านขายของมือสองเหล่านี้ เราก็จะพบว่าราคามันไม่ได้ถูก ๆ แบบที่ขายกันในไทย ราคามันต่างกันอย่างเรียกได้ว่าต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญทีเดียว นอกจากนี้ของมันก็ดูสภาพดีและเกรดดีกว่าด้วย
ดังนั้นของมือสองในไทยอาจไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกันกับของมือสองที่ขาย ๆ กันในญี่ปุ่น
ว่าแต่ของมือสองในไทยมาจากไหนกัน?
คืออย่างนี้ครับ เราคงเคยได้ยินว่าประเทศญี่ปุ่นนี่เต็มไปด้วยคนแก่ที่ตายอย่างโดดเดี่ยวใช่มั้ยครับ? ปรากฏการณ์นี้มีแพร่หลายสุด ๆ ในญี่ปุ่น จนทำให้เกิดอาชีพคนทำความสะอาดห้องที่คนแก่ตายอย่างเดียวดายเลยทีเดียว
แต่สงสัยมั้ยครับว่าสิ่งของจำนวนมากในห้องเหล่านั้นไปไหนต่อ?
ในญี่ปุ่นมันจะมีอาชีพที่เรียกว่า “นักเคลียร์ของ” อยู่ครับ ซึ่งในญี่ปุ่นปัจจุบันมีบริษัทกว่า 100,000 บริษัทที่มีใบอนุญาตในการทำธุรกิจนี้
งานของนักเคลียร์ของก็ง่าย ๆ และตรงตามชื่อเลย คือมีหน้าที่เคลียร์ของออกจากห้องให้หมด ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องคนตายนะครับ เขารับเคลียร์บ้านหรือห้องที่เต็มไปด้วยของทุกแบบ แบบมีบ้านที่ไม่มีคนอยู่แล้วด้วยเหตุอะไรเราก็ไปจ้างคนเหล่านี้มาเคลียร์ของพร้อมทำให้บ้านกลางเป็นบ้านโล่ง ๆ พร้อมที่จะมีคนมาเช่าอยู่ต่อก็ได้
ซึ่งสนนราคาค่าบริการของเหล่าผู้ให้บริการเคลียร์ของนี้ก็จะอยู่ราวๆ 60,000 - 100,000 บาทต่อวัน
เราอาจรู้สึกว่าทำไมค่าแรงของเขาแพงจัง? จริง ๆ งานนี้ก็ทำกันหลายคนครับ เป็นทีม เรียกว่ารายได้ตกคนละไม่เท่าไรหรอกครับในมาตรฐานค่าแรงญี่ปุ่น ซึ่งการที่คนญี่ปุ่นไม่ทำงานเหล่านี้เอง ไม่เอาของไปทิ้งเอง จ้างเขาทำ ส่วนหนึ่งก็เพราะของที่ขนมันเยอะมาก (คือเป็นทีมแบบมืออาชีพยังต้องใช้เวลาทั้งวันเลยครับ) อีกส่วนหนึ่งคือเพราะค่าทิ้งขยะของญี่ปุ่นก็มีราคาอยู่ และถ้าจะทิ้งขยะ ก็ต้องแยกขยะอีก งานพวกนี้รวม ๆ ถ้าทำเองเสียเวลามาก ๆ ดังนั้นเขาเลยจ้างเหล่า “นักเคลียร์ของ” ทำไปเลยเพื่อตัดปัญหา
พูดง่าย ๆ คือบริการพวกนี้ในญี่ปุ่นมันมาแทนการต้อง “เก็บของไปทิ้ง” เองของคนที่ต้องการเคลียร์ห้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของห้องที่จะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ หรือญาติพี่น้องของคนที่เคยอยู่ในห้องนั้นที่เสียชีวิตไป
ประเด็นคือเหล่า “นักเคลียร์ของ” เขาไม่ได้ “เก็บไปทิ้ง” ครับ แต่เอาเก็บมาขาย
ดังที่เล่ามาทั้งหมด คนที่จ้าง “นักเคลียร์ของ” ต้องการแค่ให้ของมันพ้น ๆ จากห้องไป ดังนั้นในทางปฏิบัติมันคือการ “จ้างเอาไปทิ้ง” แต่ประเด็นคือ ของพวกนี้จำนวนแทบทั้งหมดมันก็อยู่ในสภาพดีที่ใช้งานต่อได้ทั้งนั้น ดังนั้นมีเหรอครับที่ “นักเคลียร์ของ” จะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง เขาก็เอามาขายสิครับ
ซึ่งในทางปฏิบัติ ของพวกนี้คือสิ่งที่ “นักเคลียร์ของ” ได้ฟรีมาทั้งหมด ดังนั้นมันจะขายได้แบบถูกสุด ๆ ยังไงก็ได้ ราคามันอาจถูกในแบบที่อาจเรียกได้ว่าถ้าพวกพ่อค้าของมือสองไปซื้อโดยตรงในราคาส่ง เขาจะขายกันแบบ 10 ชิ้น (หยิบอะไรมาก็ได้) ในราคา 30 บาท (100 เยน) ซึ่งแน่นอนนะครับว่าเขาก็จะแยกของอยู่ ไม่ใช่กองรวมกันหมด ถ้าเป็นพวกกีตาร์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเสียงก็คงไม่ราคาแบบนี้หรอก แต่คาดได้เลยว่าราคาถูกมาก เพราะเขาได้มาฟรี และถ้าเขาขายไม่ออก เขาก็ต้องเอาไปทิ้งเอง ไม่ก็ต้องเผาทิ้งเอง ซึ่งทำให้เปลืองอีก ดังนั้นเขาอยากขายสุด ๆ
ของพวกนี้ส่วนหนึ่งไปลงเอยตามตลาดนัดในญี่ปุ่น ซึ่งราคาก็ไม่ได้ผิดกับที่เห็นในไทยเท่าไร อีกส่วนมันก็จะถูกจับใส่คอนเทนเนอร์มาขายในต่างประเทศ ซึ่งตลาดที่รับของเหล่านี้ก็มีทั่วโลกเลยโดยเฉพาะในบรรดาประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการของมือสองถูก ๆ จากญี่ปุ่น แอฟริกายังมีส่งไปเลยครับ แต่ตลาดที่ใหญ่ที่สุดคือภูมิภาค SEA ของเรานี่แหละ
ซึ่งอ่านมาถึงตรงนี้เราก็คงเดาออกว่า บ้านเราคือหนึ่งในปลายทางของของเหล่านี้ ซึ่งจริง ๆ ช่วงก่อนหน้านี้ บ้านเรานี่คือปลายทางหลักของของเหล่านี้เลยครับ ก่อนที่ช่วงหลัง ๆ ฟิลิปปินส์จะเป็นแชมป์ในการนำเข้าของมือสองจากญี่ปุ่นแทนเราไป
แล้วของทั้งหมดที่มาขายๆ กันนี่เป็นของคนตายทั้งหมดเหรอ? จริง ๆ ก็ไม่น่าครับ เพราะก็อย่างที่บอก แหล่งของมันมีหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเป็นของคนตายเสมอไป “นักเคลียร์ของ” เขาไม่แยกหรอกครับว่าของคนตายหรือไม่ตาย ของที่เคลียร์ ๆ มาสุดท้ายมันก็กองรวม ๆ กันปนกันหมด และแน่นอนคนที่ซื้อมาขายต่อเขาก็ไม่ซีเรียสเช่นกัน ขอให้ราคาถูกและใช้การได้เป็นพอ
1
ดังนั้นถ้าเราไม่ซีเรียส จะซื้อของพวกนี้มาใช้ก็ไม่เสียหายหรอกครับ คิดซะว่าของพวกนี้ได้มาโดยชอบแน่ ๆ ไม่ใช่ของโจร เป็นการประหยัดทั้งทรัพยากรเราเองและทรัพยากรโลกซะอีก เป็นการส่งเสริมการรียูสต์ระดับโลกเลยด้วยซ้ำ
โฆษณา