9 ม.ค. 2019 เวลา 16:48 • กีฬา
ย้อนรอยตำนาน: "อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่"ตำนานยูเวนตุส
:ด้านครอบครัว
“ปี 1982 วันที่อิตาลีได้แชมป์โลก มันเป็นช่วงเวลาที่สุดวิเศษของผมเลย ถึงแม้ผมจะอายุแค่ 7 ขวบในตอนนั้น ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองหลังเกม ผมจำได้เลยว่าผมเอาสิ่งของในบ้านต่างๆ มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ แม่ผมซื้อธงชาติอิตาลีมาให้ เราออกไปบนท้องถนน รถทุกคันบีบแตรเฉลิมฉลอง มันเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์มาก ผมยังไม่เข้าใจอะไรมากหรอก แค่รู้ว่าเราชนะ และพวกเราก็ดีใจมาก
ด้วยความที่ผมเป็นแฟนยูเวนตุส นักเตะอย่างทาร์เดลลี่, รอสซี่ และซอฟฟ์ จึงเป็นฮีโร่ของผมในวัยเด็ก และเป็นเหล่าไอดอลที่ผมอยากไปให้ถึงจุดนั้นทั้งในสีเสื้อยูเว่และอิตาลี”
อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ รำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขารู้สึกถึงแพสชั่นที่ยิ่งใหญ่ในโลกของฟุตบอล ที่เขาเองต้องการไปให้ถึงจุดนั้นบ้างในสักวัน
• คุณแม่
เมื่อเริ่มเล่นฟุตบอลในวัยเด็ก อเล็กซ์มักถูกคุณแม่บรูน่ากำชับเสมอให้เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู เพียงเพราะว่าเหงื่อจะได้ไม่ออกและไม่ป่วยง่าย
“ผมได้แต่พยักหน้าแล้วรับปาก ฮะๆ โอเคฮะแม่ ผมสนุกนะกับการเฝ้าเสา แต่มันไม่ใช่ธรรมชาติของผม ผมสนุกกว่ากับการครองบอลไว้กับตัวและพาบอลไปรอบๆ จ่ายบอลให้เพื่อน และเล่นเกมรุก ซึ่งผมว่ามันคือตัวตนที่แท้จริงของผมมากกว่า”
เมื่อเริ่มต้นเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับปาโดว่า อเล็กซ์ถูกปรามาสว่าไม่สามารถจะเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ได้ เนื่องจากรูปร่างที่ผอมบางและตัวเล็กเกินไป แต่ดูเหมือนคำเย้ยหยันเหล่านั้นจะไม่กระทบต่ออเล็กซ์เลย กลับกันมันยิ่งช่วยสุมไฟในตัวเขาให้เอาชนะคำปรามาสเหล่านั้นอีกด้วย
“พวกเขาบอกผมว่าผมตัวบางเกินไป แต่ผมไม่เชื่อในคำที่โค้ชพูดหรอกนะ คุณลองมองดูผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นสิ มาราโดน่า, พลาตินี่ หรือกระทั่งโอมาร์ ซิวอรี่ ผู้เล่นเหล่านี้ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าผมเท่าไหร่เลย ทุกคนไม่ได้มีร่างกายของนักกีฬาชั้นยอด แต่พวกเขามีฝีเท้าชั้นเลิศต่างหาก ซึ่งผมก็ทำให้พวกเขาเห็นแล้วว่าร่างกายไม่สำคัญเท่ากับขนาดของฝีเท้า
• พี่ชาย
ว่ากันว่า “สเตฟาโน่ เดล ปิเอโร่” พี่ชายของอเล็กซ์เป็นยอดนักฟุตบอลคนนึง ที่น่าเสียดายมากเมื่อต้องเลิกเล่นฟุตบอลก่อนเวลาเพราะปัญหาอาการบาดเจ็บ
“พี่ชายของผมน่าทึ่งมากนะ สำหรับผมเขาควรได้รับสิ่งที่ดีมากกว่านี้ในอาชีพนักฟุตบอล ผมจำได้ว่าตอนที่ผมอยู่ปาโดว่า พ่อจะมาดูผมแล้วก็รีบขับรถไปดูเกมที่พี่ชายผมเล่นในอีกลีกนึงเสมอๆ น่าเสียดายที่เขาเจ็บหนักเลยต้องหันเหไปเอาดีด้านอื่น ทุกวันนี้เราทำงานร่วมกัน เขาคือคนสำคัญที่สุดคนนึงในชีวิตของผมเลย”
อเล็กซ์ได้แต่งตั้งให้พี่ชายของเขาเป็นผู้จัดการส่วนตัว คอยดูแลผลประโยชน์ทั้งหมด ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวของเขามากขนาดไหน
• คุณพ่อผู้ยิ่งใหญ่
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001 มีจุดเปลี่ยนสำคัญหนึ่งในชีวิตของอเล็กซ์เกิดขึ้น เมื่อ "จีโน่" คุณพ่อบังเกิดเกล้าของอเล็กซ์เสียชีวิตลง ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของครอบครัวเดล ปิเอโร่
แต่อีก 1 สัปดาห์ให้หลัง อเล็กซ์ต้องกลับไปลงสนามให้ยูเวนตุสในเกมพบกับบารี่ มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับชีวิตนักฟุตบอลคนหนึ่ง ที่พึ่งสูญเสียคนสำคัญในชีวิตลงไป
“มันยากมากๆ แต่นั่นเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้ผมแกร่งขึ้น มันคือธรรมชาติของครอบครัวเรา มันเป็นเซนส์ที่บอกกับผมว่าพ่ออยากเห็นผมในสนาม ผมคิดว่าพ่อยังคงอยู่กับผมในทุกๆ สนามเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด
หลังจากซีซั่นนั้น ผมแกร่งขึ้นมากจริงๆ ชีวิตนักฟุตบอลของผมเติบโตขึ้นและเปลี่ยนไปมากหลังการสูญเสียคุณพ่อ เหตุการณ์นั้นคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของผมเลยทีเดียว”
อเล็กซ์ผู้มีคุณพ่อและพี่ชายเป็นไอดอลในเส้นทางการค้าแข้งและการใช้ชีวิต ถูกเปลี่ยนลงไปเป็นตัวสำรองแทนดาร์โก้ โควาเซวิซ ในนาทีที่ 63 ก่อนจะยิงประตูชัยให้กับเจ้าม้าลายในนาทีที่ 81 จากลูกโซโล่เดี่ยวเข้าไปชิพข้ามหัวแยน จิลเล็ตต์ นายประตูบารี่ ราวกับเป็นประตูที่ส่งสาสน์ให้คุณพ่อเห็นว่าลูกชายคนนี้แกร่งขึ้นและโตขึ้นแล้ว ขอให้คุณพ่อวางใจในตัวลูกชายคนนี้ได้
หลังจากยิงประตูได้ น้ำตาลูกผู้ชายของอเล็กซ์ก็หลั่งล้นท่ามกลางอ้อมกอดของเพื่อนร่วมทีมยูเวนตุส มันแสดงให้เห็นถึงการปลดเปลื้อง การก้าวย่างสู่ความแกร่งขึ้นในอีกระดับของเขา หลังผ่านเรื่องร้ายๆ มามากมายในชีวิต
ชายที่ชื่อ “อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่” เติบโตไปอีกขั้นแล้ว
:ที่ยูเวนตุส
• โกลเด้น บอย
หนึ่งในเกมที่ทำให้ชื่อของเดล ปิเอโร่ โจษจันในหมู่แฟนบอลของยูเวนตุส คือเกมที่เจ้าม้าลายเปิดบ้านเอาชนะฟิออเรนติน่าได้ 3-2 ในปี 1994
“เรากำลังจะแพ้คาบ้าน 0-2 เราเป็นรองจ่าฝูงและฟิออเรนติน่าก็เป็นจ่าฝูงอยู่ในเวลานั้น มันเป็นเกมที่มหัศจรรย์มากสำหรับเรา เพราะเกมเหลือแค่ 20 นาทีเท่านั้น จานลูก้า วิอัลลี่ ยิง 2 ประตูตีเสมอให้เรา ก่อนที่ผมจะยิงประตูชัยให้ทีมก่อนหมดเวลาแค่ 2 นาทีเท่านั้น”
อเล็กซ์รำลึกถึงประตูที่ว่ากันว่าสวยงามและเหนือชั้นประตูนึงในอาชีพการค้าแข้งของเขา
“มันไม่ใช่แค่ประตูที่นำ 3 คะแนนมาให้เราในเกมที่ยากลำบากเกมนึงในฤดูกาลนั้นนะ แต่มันคือฉากสำคัญฉากนึงในอาชีพการค้าแข้งของผมเลย เพราะนั่นเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่าเรามีศักยภาพพอที่จะก้าวไปคว้าสคูเด็ตโต้ได้ตอนจบฤดูกาล เราห่างแชมป์ลีกมานานถึง 9 ปี มันคือช่วงเวลาที่ล้ำค่าของแฟนบอล ของนักเตะ และโดยเฉพาะผมเอง
ตอนนั้นผมยังเด็กมาก พึ่งย้ายมาอยู่กับทีมได้ไม่นาน และนั่นเป็นการยิงประตูสำคัญประตูแรกของผมในการเล่นให้ยูเวนตุสอีกด้วย มันเป็นประตูที่แหวกแนวที่สุดที่ผมทำได้ แน่นอนประตูอื่นๆ ตลอดการค้าแข้งของผมก็สวยงามไม่แพ้กัน แต่ประตูนี้มันมีคุณค่าต่ออาชีพการค้าแข้งของผมมากจริงๆ”
ประตูที่อเล็กซ์ทำได้ในเกมนั้น เสมือนเป็นประตูปลดล็อคที่ทำให้เขากลายเป็นเด็กหนุ่มที่แฟนๆ ยูเว่จับตามองและได้รับฉายา “โกลเด้น บอย” ของอิตาลีในเวลาต่อมา
• ในแชมเปี้ยนส์ ลีก
“ผมคือคนยิงจุดโทษคนที่ 5 ของทีม แต่เกมจบลงเมื่ออาแจ็กซ์พลาดจุดโทษไปก่อน ทำให้เราชนะไป 4-2 ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากๆ ผมเสนอตัวขอเป็นคนยิงจุดโทษคนสุดท้าย ผมไม่รู้หรอกว่าโค้ชจะเลือกใครยิงบ้าง แต่ผมแสดงตัวให้เห็นเสมอว่าผมพร้อมรับหน้าที่อันหนักอึ้งนี้ แม้จะเป็นเกมนัดชิงแชมเปียนส์ ลีกก็ตามที”
อเล็กซ์เล่าให้ฟังถึงค่ำคืนที่ยูเวนตุสครองเจ้ายุโรปด้วยการดวลจุดโทษเอาชนะอาแจ็กซ์ไป 4-2 ในปี 1996 แม้ในปีต่อมาพวกเขาจะเข้าชิงอีกครั้งและเป็นทีมแรกที่มีโอกาสป้องกันแชมป์ แต่ก็ไม่สามารถทำลายอาถรรพ์นี้ได้ โดยพ่ายต่อดอร์ทมุนด์ไป 1-3
“ผมเป็นตัวสำรองลงมาในครึ่งหลัง แม้ผมจะทำประตูได้ แต่มันเป็นเกมที่ผมรู้สึกได้เลยถึงความเข้มข้นของเกมนัดชิง เราพลาดเพียง 1 ครั้งทำให้เสียโอกาสในการกลับสู่เกม ประตูของริคเค่นทำให้เราก้าวขากันไม่ออก ทั้งๆ ที่เราเริ่มต้นครึ่งหลังได้ดี พวกเขาเล่นงานเราด้วยการต่อบอลเพียง 5-6 ครั้งเท่านั้นเอง  นี่แหละฟุตบอล”
อเล็กซ์กลับมายิงระเบิดเถิดเทิงในปี 1997-1998 เขาสามารถยิงในกัลโช่ได้ 21 ประตู และยังคว้าดาวซัลโวรายการยูฟ่า แชมเปี้ยส์ ลีก ได้อีก แต่ถึงกระนั้นยูเว่ที่เจ้าตัวอุตส่าห์ยิงจนพาทีมเข้าไปถึงรอบชิงอีกครั้ง ก็พ่ายต่อเรอัล มาดริดไป 0-1 ลบโอกาสในการเป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 2 ของเขากับยูเวนตุสไปแบบน่าเจ็บใจ
“ผมมีช่วงเวลาที่ดีมากในปีนั้น น่าเสียดายที่ผมต้องมาได้รับบาดเจ็บจนพลาดลงเล่นในนัดชิง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ถือว่ามีปีที่มหัศจรรย์มาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กองหน้าตัวต่ำแบบผมจะยิงได้มากขนาดนั้นทั้ง 2 รายการใหญ่”
• สแตนดิ้ง โอเวชั่น ที่เบร์นาเบว
10 ปีให้หลังที่อเล็กซ์พลาดลงดวลกับมาดริดในรอบชิงแชมเปียนส์ ลีก เขาได้มีโอกาสกลับมาเจอกับมาดริดอีกครั้งในรอบแบ่งกลุ่มปี 2008 และครั้งนี้เขาก็ได้จารึกฝีเท้าจนสาวกชุดขาวต้องโค้งคารวะให้กับโกลเด้น บอยแห่งอิตาลีคนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
“มันเป็นค่ำคืนที่มหัศจรรย์อีกค่ำคืนนึงสำหรับผมเลย เมื่อคุณต้องลงเล่นเกมเยือนในนัดสำคัญต่อหน้าแฟนบอลมหาศาลในเบร์นาเบว ลงดวลกับผู้เล่นระดับโลกที่คว้าแชมป์มานักต่อนัก การที่พวกเขาลุกขึ้นยืนปรบมือให้คุณ นั่นคือเกียรติยศที่ดีที่สุดเท่าที่นักฟุตบอลคนนึงจะได้รับ
การได้รับชัยชนะ, ยิงประตูได้อย่างสวยงาม และได้รับการสแตนดิ้ง โอเวชั่น ไม่เพียงแค่จากแฟนบอลของเราเอง แต่ยังมาจากฝั่งตรงข้ามด้วย มันสุดๆ แล้ว”
บางที...
หากในเกมรอบชิงปี 1998 มีชายชื่อ “อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่” ในวัยที่หนุ่มแน่นและอยู่ในช่วงพีคสุดขีดลงสนามด้วย เรอัล มาดริดอาจไม่ได้เป็นทีมที่ครอบครองเจ้าถ้วยบิ๊กเอียร์ในตอนท้ายอย่างที่เห็นก็เป็นได้
:กับทีมชาติ
“ผมพร้อมเผชิญหน้ากับมันด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันเป็นปีที่ยากลำบากมากในเซเรีย บี แต่เราก็ทำได้ดีนะ ผมเป็นดาวซัลโว เราได้แชมป์ เรื่องนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า เมื่อคุณเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามด้วยความเชื่อมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทสุดกำลัง คุณจะทำมันออกมาได้ดี” อเล็กซ์พูดถึงขวบปีที่ต้องหล่นไปเล่นในลีกรอง
อเล็กซ์คือ 1 ในผู้เล่นระดับท็อปของยูเว่ที่ไม่ยอมทิ้งทีมไปไหน เขายอมหั่นค่าเหนื่อยตัวเองเพื่อลงมาเล่นกับทีมในลีกล่าง และช่วยกันรวมพลังกับเด็กหนุ่มๆ ในทีมจากชุดเยาวชน (หนึ่งในนั้นคือมาร์คิซิโอ) พาทีมกลับมาอยู่ในเซเรีย อา ที่ที่พวกเขาควรอยู่ได้สำเร็จภายในแค่ปีเดียวเท่านั้น
นอกจากพาทีมกลับมาได้แล้ว อเล็กซ์ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างทีมใหม่ ช่วงที่ยูเว่ฟื้นฟูทีมเพื่อกลับมาเป็นยักษ์ใหญ่อีกครั้ง ก็ได้แรงจากอเล็กซ์เป็นคนคอยพยุงรุ่นน้อง และเป็นหัวโจกในการไล่ล่าความสำเร็จกลับคืนมา
นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมชายที่มีชื่อหลังเสื้อสีขาว-ดำว่า “เดล ปิเอโร่” จึงเป็นดั่งเทพเจ้าของแฟนๆ ยูเวนตุส เพราะชายคนนี้ไม่ได้แค่ใช้ฝีเท้าร่ายมนตร์ในสนามเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนเสาหลักนอกสนามให้กับทีมในทุกๆ ครั้งที่ทีมลำบากอีกด้วย
:ในทีมชาติ
“ผมกับต็อตติน่ะเหรอ? เราสองคนเล่นด้วยกันได้นะ และผมรู้สึกว่าเราสองคนไปได้สวยเวลาลงเล่นร่วมกัน น่าเสียดายที่โค้ชหลายๆ คนมองไม่เห็นโอกาสตรงนั้น” อเล็กซ์เล่าถึงช่วงเวลาของเขากับต็อตติในทีมชาติ
“ในยูโร 2000 ผมมีโอกาสที่จะฝังฝรั่งเศสถึง 2 ครั้ง 2 ครา ผมควรทำมันออกมาได้ดีกว่านี้ เสียงวิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นของผมถูกยกมาพูดคุยกันใหญ่โต ทั้งเรื่องการผ่าตัดเข่า ทั้งเรื่องที่มีต็อตติโผล่เข้ามา แต่เอาจริงๆ นะ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเสียงวิจารณ์เหล่านั้นเลย ตรงกันข้าม กลับทำให้ผมโตขึ้นด้วยซ้ำ”
แต่อเล็กซ์ไม่ใช่คนขี้แพ้ เขากลับมาอีกครั้งในอีก 6 ปีให้หลังกับทัวร์นาเม้นท์ที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอดว่าจะเดินตามรอยไอดอลในวัยเด็กให้ได้ เกมกับเยอรมันเขารับบอลจากจิลาร์ดิโน่ แล้วบรรจงปั่นหนีมือเยนส์ เลห์มันน์ เข้าไป พร้อมกับฝังเจ้าภาพเยอรมันในเกมรอบตัดเชือกที่บีบหัวใจมากที่สุดเกมนึงของอิตาลี
“เมื่อบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย ภาพในหัวของผมมีแต่นัดชิงชนะเลิศทันที การยิงประตูในรอบตัดเชือกแบบนั้นในนาทีสุดท้าย ทำให้ผมปลดปล่อยอย่างมาก ผมปล่อยให้สัญชาตญาณและคุณภาพในตัวของผมได้แสดงออกมาตามธรรมชาติในวินาทีนั้น
มันอาจมีความกลัวอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจมนุษย์เราทุกคนเสมอนั่นแหละว่าจะทำพลาดอีก แต่ถ้าคุณมั่นใจแล้ว ความมั่นใจจะทำให้คุณผลิตสิ่งที่ดีที่สุดของตัวคุณเองออกมาได้”
จากเด็กชายอเล็กซ์ในวัย 7 ขวบที่เฝ้ามองไอดอลอย่างรอสซี่ หรือทาร์เดลลี่ แหกปากกู่ร้องในเกมฟุตบอลโลก มาจนถึงวันที่เด็กคนนั้นก้าวขึ้นมาทาบความฝันในวัยเด็กของเขาเองได้สำเร็จในวัย 31 กับถ้วยที่นักเตะระดับตำนานหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ
คงไม่มีใครกล้าปรามาสชายคนนี้ว่าไม่ใช่ของจริงอีกแล้ว กับบทพิสูจน์ตลอดเส้นทางการค้าแข้งของเขา
ชายผู้ทั้งชีวิตทุ่มเทให้กับยูเวนตุสและอิตาลีมาตลอด 2 ทศวรรษ อย่างไม่ยอมย่อท้อต่อเสียงปรามาสในบางครั้ง
หมายเลข 10 ผู้เป็นยิ่งกว่าตำนานแห่งตูริน
"อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่"
โฆษณา