14 ม.ค. 2019 เวลา 06:43 • การศึกษา
Gabe Newell มหาเศรษฐีเกม PC ผู้ไม่ถือตัว
ทุกวันนี้คงแทบจะไม่ต้องเถียงกันแล้วนะครับ ว่าวีดีโอเกมนั้นเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงที่ใหญ่โตมโหฬารไม่แพ้อุตสาหกรรมบันเทิงรุ่นพี่อย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมหนัง หรืออุตสาหกรรมเพลง และในอุตสาหกรรมนี้ ก็มีชายคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดเขาคือชายร่างท้วมวัย 50 ปีเศษดูใจดีมีนามว่า Gabe Newell หรือที่เหล่าเกมเมอร์มักจะมีชื่อเล่นเรียกเขาว่า “Gaben” ตามอีเมลของเขา
ทุกวันนี้ Newell เป็นคนรวยติดใน 500 อันดับของโลก (ถ้าจัดตามนิตยสาร Forbes) และถ้านับแต่คนที่ร่ำรวยมาจากเกมในโลกตะวันตกแล้วเขาคืออันดับ 1
ทุกวันนี้ถ้าพูดถึง “เศรษฐีเกม” หรือ “เจ้าพ่อเกม” ใครๆ ก็คงจะนึกถึงแต่ Gabe Newell เพราะร่างท้วมๆ หน้าตายิ้มแย้มของเขาเป็นที่จดจำของเกมเมอร์มาช้านาน และความขี้เล่นเป็นมิตรของเขาก็ทำให้เหล่าเกมเมอร์สร้างมีมมาเล่นสารพัด
ที่สำคัญที่สุด ที่เขายังไม่ได้ร่ำรวยขนาดเหล่ามหาเศรษฐีระดับท็อปของโลกก็เพราะบริษัทของเขา (ที่ประเมินกันว่าเขามีหุ้นอยู่ราว 50%) ยังไม่เข้าตลาดหุ้นครับ ถ้าเข้านี่ผมว่าน่าจะมีติด 1 ใน 100 คนรวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าหุ้นบริษัทที่จะพุ่งกระฉูดแน่ๆ เพราะบริษัทของเขาเป็นเจ้าของ “Appstore แห่งโลกวิดีโอเกม” อย่าง Steam ซึ่งมีรายได้มาจากส่วนแบ่งของการซื้อเกมและของในเกมทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม
...ก็ลองคิดแล้วกันครับว่าวันๆ นึงทั่วโลกมีการซื้อเกมและของในเกมผ่านช่องทางออนไลน์กันแค่ไหน แล้ว Market Share ของ Steam ในตลาดเกมออนไลน์นี่ในปี 2013 มีการประเมินกันว่าสูงถึง 75% นะครับ รายได้สูงขนาดไหนนี่ไม่ต้องคิดเลยครับ ว่ากันว่าพนักงานของ Steam นี่รายได้เฉลี่ยสูงกว่าทาง Apple, Google และ Microsoft อีก
แม้ว่าเขาจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในโลกของนักเล่นเกม แต่ Gabe Newell ก็เป็นชื่อที่แวดวงธุรกิจรู้จักกันน้อยมาก ทั้งๆ ที่จริง เขาก็เป็นคนรุ่นๆ เจ้าพ่อธุรกิจคอมพิวเตอร์อย่าง Bill Gates และ Steve Jobs ซึ่งก็ยิ่งทำให้มันน่าแปลกไปใหญ่ว่าคนรุ่นใหญ่ขนาดนี้ที่ไม่น่าจะโตมากับเกม จะมาลงทุนกับเกมจนรวยเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างไร?
เรามารู้จักความเป็นมาของเขากันครับ
ช่วงตั้งตัว
Gabe Newell เกิดที่เมือง Seattle รัฐ Washington ในปี 1962 ประวัติช่วงวัยเด็กของเขาลึกลับมาก แต่ก็น่าจะพอคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นเด็กเนิร์ดๆ ที่ฝึกเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาแต่เด็ก ในยุคแรกที่คอมพิวเตอร์เริ่มแพร่หลายในสังคมอเมริกัน ซึ่งก็แน่นอนอีกว่าในสมัยนั้นเขาก็คงแทบจะไม่ได้เล่นเกมคอมพิวเตอร์แน่ๆ เพราะมันไม่มีให้เล่น
ในปี 1980 เขาเข้าเรียนด้านคอมพิวเตอร์ที่ Harvard ก่อนจะออกมาทำงานกับ Microsoft ในปี 1980 ตามคำเชิญจากทางบริษัททั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ตัวเขาเล่าว่าเขามาทำงานกับ Microsoft เพียงสามเดือนเขาก็ได้ความรู้มากกว่าช่วงเวลาที่เขาเรียนที่ Harvard เสียอีก เพราะที่นี่เต็มไปด้วยโปรแกรมเมอร์เก่งๆ ที่ทำให้เขาเรียนรู้ได้เร็วมาก
ตอนทำงานอยู่ Microsoft เขาเป็นหนึ่งในทีมพัฒนา Windows เวอร์ชั่นแรกสุด และอีกสองเวอร์ชั่นต่อมา ซึ่งเขาก็ทำงานกับ Microsoft มายาวนานจนเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำพอจะตั้งบริษัทของตัวเองได้
หน้าตาของ Windows 1.0
ว่ากันว่าหลังจากที่ Microsoft ออกระบบปฏิบัติการ Windows 95 ออกมาไม่นาน และได้รับการตอบรับแบบถล่มทลาย Newell ก็เห็นว่าระบบปฏิบัติการนี้มีศักยภาพพอที่จะยึดครองตลาดระบบปฏิบัติการ PC ได้แน่ๆ (สมัยก่อนโน้นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์มีหลากหลายครับ คนไม่ได้ใช้ Windows กันทั้งบ้านทั้งเมืองเหมือนตอนนี้) เขาจึงคิดว่าการออกมาเดิมพันทำ Software เพื่อป้อนให้ระบบปฏิบัติการที่จะครองโลกนี้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เข้าท่ากว่าที่เขาจะทำงานอยู่ที่เดิม สุดท้ายหลังจากทำงานมา 13 ปี ในปี 1996 เขาก็เลยออกมาตั้งบริษัท Valve พร้อมกับเพื่อนร่วมงานของเขาจาก Microsoft อย่าง Mike Harrington
อิทธิพลที่ทำให้เขาเลือกจะออกจากงานประจำมาทำบริษัทของตัวเองส่วนหนึ่งมาจากการที่เกมคอมพิวเตอร์อย่าง Doom (ที่ทุกวันนี้ภาคแรกเป็นเกมระดับคัลท์คลาสสิคสำหรับเกมบนคอมพิวเตอร์ไปแล้ว) และ Quake ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามสำหรับนักเล่นเกมในยุคนั้น และในกรณีของ Quake มันก็เป็นอิทธิพลกับเขาเป็นพิเศษ เพราะมีเพื่อนร่วมงานของเขาที่ Microsoft ออกจากงาน และย้ายไปทำงานที่บริษัทผลิต Quake ก่อนหน้าเขาและเกมก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
ภาพจากเกม Doom
...แล้วเขาก็คิดไม่ผิด หลังจากเขาออกจาก Microsoft มาตั้งบริษัทพัฒนาเกมได้ราว 2 ปี ในปี 1998 เกมแรกของ Valve ก็ออกมาสู่สายตาชาวโลก มันมีนามว่า Half-Life ซึ่งเป็นเกมยิงที่มีโครงเรื่องของเกมแบบนิยายวิทยาศาสตร์
Gabe Newell ในช่วงราวๆ ที่ Valve เปิดตัว Half-Life
ยอดขายของ Half-Life ถล่มทลายมากจนตอนหลังมันได้ลง Guinness Book ในปี 2008 ว่ามันเป็นเกมยิงที่ขายดีที่สุดในโลก (อย่างไรก็ดีทุกวันนี้แพ้ Halo 3 และ Call of Duty: Modern ไปเรียบร้อยแล้ว)
ภาพจากเกม Half-Life
กำเนิด Steam
หลังจาก Half-Life ทาง Valve ก็พัฒนาเกมในแนวเดียวกันออกมาต่อเนื่องหลายเกม และก็ล้วนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเหล่าเกมเมอร์ เกมพวกนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบเดียวกับ Half-Life ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมใหม่ๆ เหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้วิธีเล่นเพิ่มเติมมากมายนัก แต่เกมที่ต่อยอดมาจาก Half-Life มีรายละเอียดเกมที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น Left 4 Dead ก็มีเนื้อเรื่องของเกมเป็นโลกในตอนที่ซอมบี้ระบาด หรือที่นักเล่นเกมชาวไทยรู้จักกันก็น่าจะเป็น Counter-Strike (ที่เป็นเกมโมดิฟายด์ของแฟนเกม Half-Life มาก่อนแล้ว Valve ซื้อลิขสิทธ์มา) เป็นต้น
ภาพจากเกม Counter-Strike
หลังจากเกมของ Valve หลายเกมประสบความสำเร็จทั้งๆ ที่มันไม่มีเนื้อเรื่องอะไรเลย แค่เป็นเกมแบบให้เล่นพร้อมกันหลายคน และให้ผู้เล่นยิงกันไปมาเท่านั้น Valve ดูจะมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าอนาคตของเกมไม่ใช่เกมที่จะเล่นคนเดียวอีกแล้ว แต่เป็นเกมที่เล่นกันหลายๆ คนทั่วโลกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ดีธรรมชาติของการเล่นเกมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ก็สร้างปัญหาอยู่
เพราะเกมในยุคนี้ไม่ใช่เกมที่หยุดนิ่งแบบเกมสมัยก่อนเล่น จุดเด่นของเกมที่เล่นบนคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้ต่างจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่มันมักจะมีการอัปเดตอย่างต่อเนื่องตลอดไม่ว่าจะเป็นการแก้บั๊กในเกมที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจตอนเขียนโปรแกรม หรืออัปเดตเพื่อปรับแต่งหรือเพิ่มรายละเอียดใหม่ๆ ในเกม
นี่คือการอัปเดตโปรแกรมปกติที่ทุกวันนี้เราก็คงเห็นกัน อย่างไรก็ดีสำหรับเกมออนไลน์แล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ ผู้เล่นทั้งหมดที่จะมาเล่นด้วยกันได้นั้นต้องมีเกมในเวอร์ชั่นเดียวกัน และนี่สร้างปัญหากับประสบการณ์ของผู้เล่นจำนวนมากเพราะก็ไม่ใช่ทุกคนจะอัปเดตเกมอย่างสม่ำเสมอ และคนที่ไม่อัปเดตเกมก็จะประสบกับภาวะที่ไม่สามารถร่วมเล่นกับคนอื่นๆ ได้และภาวะติดขัดต่างๆ นาๆ ซึ่งนี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกมออนไลน์ที่ผู้เล่นหลายๆ คนน่าจะเจอในทุกเกม
Valve เล็งเห็นปัญหานี้เขาจึงมีความคิดที่จะสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นทั้งเซิร์ฟเวอร์กลาง ที่จะคอยบังคับอัปเดตให้เกมของผู้เล่นทั้งหมดเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่สุด ไปพร้อมๆ กับที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมผู้เล่นเข้าหากัน
...แต่ทำแค่นั้นจะไปพออะไร ทำไมไม่ทำแพลตฟอร์มขายเกมออนไลน์ไปพร้อมๆ กันเลยล่ะ พูดง่ายๆ คือเป็นร้านเกมออนไลน์แบบครบวงจร ทั้งขายเกม อัปเดตเกม เชื่อมต่อผู้เล่นในโลกให้เล่นเกมด้วยกันได้ และเป็นชุมชนของคนเล่นเกม
...แล้ว Steam ก็เกิดมาเพื่อเป็นสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด
Steam คือโปรแกรมร้านค้าเกมออนไลน์ที่เป็นมากกว่าร้านค้า คือเป็นทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมด เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามการนำเกมไปโมดิฟายด์ให้เกิดภาวะที่เรียกได้ว่า “โกง” ผู้เล่นคนอื่นๆ (เช่นเพิ่มพลังชีวิตตัวเองหรือพลังโจมตีให้สูงกว่าคนอื่น) และทำให้เสียบรรยากาศการเล่นเกมร่วมกันอีก การมี Stream ป้องกันไม่ให้เกิดการ “โกง” ในแบบนี้ได้ เพราะเกมที่ทำอย่างที่ว่ามา ก็ย่อมจะถูกตรวจสอบก่อนเข้าร่วมเครือข่าย และผลก็คือคนที่ทำแบบนี้จะไม่สามารถเล่นร่วมกับคนอื่นๆ ได้
Steam เปิดตัวในปี 2003 และก็ขยายตัวใหญ่โตครอบคลุมตลาดเกมคอมพิวเตอร์ของโลกอย่างรวดเร็ว และด้วยความสะดวกของมัน ทำให้ Valve ได้ขยายกิจการจากที่ผลิตเกมขาย มาเป็นบริษัทจัดจำหน่ายพร้อมให้บริการด้านเกมแบบออนไลน์แบบเต็มภาคภูมิ และนี่ก็ทำให้ความนิยมของ Half-Life 2 ที่เปิดตัวมาในปี 2004 เป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ Half-Life แต่ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยสำหรับ Valve เพราะต่อจากนี้ไปสิ่งที่จะสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัทก็คือ Steam
สู่จุดสูงสุด
หลังจาก Steam ออกมาสู่โลกบริษัทเกม ทั่วโลกก็เริ่มหันมาขายเกมผ่าน Steam กันเรื่อยๆ เนื่องจากมันมีระบบที่ดีมากๆ และมีฐานของผู้ใช้ที่กว้าง จากปี 2004 ที่มีเกมเปิดตัวบน Steam 7 เกมก็มีเกมต่างๆ มาขายบน Steam เพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นเกมที่หน้าหนาตาแบบย้อนยุค 8 Bit หรือเกม 3D ที่มีกราฟิกที่ซับซ้อน และในปี 2016 มีเกมเปิดตัวบน Steam ถึง 4,207 เกมด้วยกัน และทำให้ปัจจุบันก็มีเกมให้เล่นบน Steam เกินกว่า 10,000 เกมเข้าไปแล้ว
10,000 เกมนี่เยอะขนาดไหนกัน? เอาง่ายๆ ครับ เครื่องเกมที่ฮิตๆ บนโลกนี้มักจะมีเกมให้เล่นระหว่าง 1,000-1,500 เกม โดยเครื่องเกมที่มีเกมให้เล่นเยอะที่สุดน่าจะเป็น PlayStation 2 ที่มีเกมให้เล่นทั้งหมดเกือบ 4,000 เกม นี่หมายความว่าเกมบน Steam มีมากกว่าเกมบนเครื่องเกมที่ฮิตที่สุดในโลกตั้งแต่มีมาเกิน 2 เท่า (หรืออาจจะเกิน 3 เท่าด้วยซ้ำ) และเกมจำนวนมหาศาลทั้งหมดนี้ ก็สามารถเล่นได้ผ่านคอมพิวเตอร์ที่ติดอินเทอร์เน็ตเท่านั้นเอง
ว่ากันว่าเงินทั้งหมดที่ไหลเวียนผ่าน Steam ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเกมหรือซื้อสินค้าในเกม ทาง Steam จะได้ส่วนแบ่งเฉลี่ยราวๆ 30% คิดดูแล้วกันครับว่าจากการประเมินในปี 2016 โลกนี้น่าจะมีเกมเมอร์ราวๆ 1,800 ล้านคนอยู่ในนั้น ถ้าเกมเมอร์ 2 ใน 3 เล่นเกมบน PC ทาง Steam จะมีรายได้ราวๆ 3 ใน 4 ของเกมทั้งหมดบน PC เลยทีเดียว
เรียกได้ว่ารายได้ของ Steam มันมากมายมหาศาลจนทุกวันนี้ฝ่ายพัฒนาเกมของ Valve ก็ดูจะมีความเฉื่อยชามากๆ กับการพัฒนาเกมใหม่ๆ และทำให้เหล่าเกมเมอร์ก็ทวงแล้วทวงอีกว่าเมื่อไหร่ Half-Life 2: Episode 3 จะออก (ส่วน Half-Life 3 หลายๆ คนเลิกหวังไปแล้วว่าจะได้เล่นในชีวิตนี้)
...ทั้งหมดส่งให้ Gabe Newell ผู้ก่อตั้ง Valve และผู้ถือหุ้นกว่าครึ่งของบริษัทมีสินทรัพย์เป็นหลักพันล้านเหรียญ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาเป็นคนถือตัวอะไร ทุกวันนี้ว่ากันว่าถ้าเขามีเวลา เขาก็จะตอบเมลที่ทางเหล่าเกมเมอร์เมลมายังเมลส่วนตัวของเขาเสมอ และเวลาเขาออกไปพูดตามที่ต่างๆ ก็จะชอบมีแฟนๆ เกมเมอร์โผเข้าไปกอดเขาตลอด
แน่นอนว่าเกมเมอร์จำนวนไม่น้อยก็คงเคืองๆ “Gaben” บ้างเนื่องจาก Steam ชอบลดราคาเกมลงพรวดเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเทศกาลต่างๆ (ซึ่งมีการลดราคาถี่มากๆ) จนทำให้คนที่ซื้อเกมมาราคาเต็มต้องตีอกชกหัวไปตามๆ กัน แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เหล่าเกมเมอร์หยุดเอ็นดู ประธานบริษัทผู้ไม่ถือตัวคนนี้ จนทำให้เขาถูกเอามาทำเป็นมีมสารพัด
โฆษณา