16 ม.ค. 2019 เวลา 06:09 • กีฬา
จุดเริ่มต้นของพระเจ้า : ร็อบบี้ ฟาวเลอร์...ชายผู้เป็น “ก็อด” ของ “เดอะ ค็อป”
การที่จะเป็นดาวยิงมหัศจรรย์ของวงการนั้นเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร...เซบ สแตฟฟอร์ด บลอร์ จะย้อนความหลังถึงจุดเริ่มต้นของชายที่ถูกเรียกว่า “ก็อด” หรือ “พระเจ้าของลิเวอร์พูล”
เส้นทางอาชีพของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ นั้นเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายที่ ลิเวอร์พูล เขาอาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ และรอคอยโอกาส แต่ว่าช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เกิดปัญหามากมายในสโมสร ที่ แกรม ซูเนสส์ ผู้จัดการทีมเป็นคนสร้างมันขึ้นมาในช่วงปลายซัมเมอร์ของปี 1993
การทำงานของ ซูเนสส์ นั้นเต็มไปด้วยความดุดันแบบเดียวกับเมื่อสมัยที่เป็นนักเตะ แต่พอมาคุมทีมมันกลับดูตึงเกินไป เขาได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นนายใหญ่ของทีมในปี 1991 โดยเวลาของเขาในถิ่น แอนฟิลด์ มีอายุเพียงแค่ 3 ปี รวมทั้งได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ในปีแรกของเขาแบบเต็มตัว โดยในยุคของกุนซือชาวสกอตต์ นั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ มากมาย ที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
เขาเกรี้ยวกราดเกินไป และสร้างความกดดันให้กับผู้เล่น ที่นับวันก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาในตัวของเขาเข้าไปทุกที โดยเฉพาะกับการขายผู้เล่นตัวหลัก ที่อยู่กับทีมมานานออกไป เพื่อสร้างทีมของตัวเองสำหรับการประสบความสำเร็จในช่วงยุค 90 เท่านั้นยังไม่พอเขายังทำพลาดครั้งใหญ่ ด้วยการดันไปให้สัมภาษณ์กับ “เดอะ ซัน” สื่อที่เป็นศัตรูของเมือง ลิเวอร์พูล จากโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ แม้ต่อมาเขานำเงินจากการขายเรื่องราวของตัวเองให้กับ “เดอะ ซัน” ไปบริจาคให้กับเด็กๆ ที่โรงพยาบาล แต่มันก็ยังสร้างความผิดหวังให้กับชาวเมืองอยู่ดี
ห้องแต่งตัวใน แอนฟิลด์​ เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจนตั้งแต่ในช่วงต้นปี 1992 นั่นหมายความว่าการต้องออกจากตำแหน่งของ ซูเนสส์ มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ความไม่ชัดเจน
ในช่วงที่ย่ำแย่ มันก็เป็นเหตุที่ทำให้เริ่มมีการดันเด็กเยาวชนขึ้นมา...ในยุคของ ซูเนสส์ มีเด็กที่แววดีจากอะคาเดมี่หลายคนอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน, ร็อบ โจนส์, ดอน ฮัตซิสัน, เจมี่ เร้ดแน็ปป์, โดมินิก มัตเตโอ และ เดวิด เจมส์ ทั้งหมดต่างได้รับโอกาสขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่โดยการผลักดันของ ซูเนสส์ และ ฟาวเลอร์ ก็เช่นกัน เขาได้ประโยชน์จากการพยายามสร้างทีมขึ้นมาใหม่ของคนผู้เป็นผู้จัดการทีม ที่หวังวางรากฐาน จากนักเตะผู้มีความซื่อสัตย์และมีความรักที่มีต่อทีมอย่างจงรักภักดี
ในเดือนกันยายนปี 1993 ในเกมที่ออกไปเยือน ฟูแล่ม ในศึก โคคา​ โคล่า คัพ ฟาวเลอร์ วัย 18 ปี ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครั้งแรกกับ ลิเวอร์พูล และยิงประตูแรกของตัวเองได้ทันที จากลูกเปิดของ ฮัตชิสัน เขาจบสกอร์ได้อย่างเฉียบขาด
ท่ามกลางความไม่แน่นอนในทีมในยุคนั้น... ฟาวเลอร์กลายเป็นความหวังของทีม และถูกคาดหมายว่าจะแจ้งเกิด เขาได้ลงเล่นเกมพรีเมียร์​ลีก นัดแรก เกมที่ลิเวอร์พูล พบกับ เชลซี ในช่วงสุดสัปดาห์เดียวกันนั้นเอง และสามารถยิงประตูได้เช่นกัน จากนั้นก็ยิงอีก 5 ประตู ในเกมที่พบกับ ฟูแล่ม อีกครั้งในเกมโคคา โคล่า คัพ นัดที่สองที่ แอนฟิลด์, เขายิงประตูได้ต่อเนื่องทั้ง แฮตทริกกับ เซาธ์แฮมป์ตัน, สองประตูกับท็อตแน่มฮอต สเปอร์, และประตูชัยในเกม เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้ กับเอฟเวอร์ตันตั้งแต่การลงสนามครั้งแรกของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การบาดเจ็บกระดูกข้อเท้าแตกในเดือนมกราคมปี 1994 นั้นหยุดเส้นทางที่กำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงของเขา กว่าที่จะหายเจ็บ ซูเนสส์ ​ก็ตกงานไปเป็นที่เรียบร้อย หลังทำทีมพ่ายให้กับ บริสตอล ซิตี้ คาบ้านในเกม เอฟเอ คัพ ...ซูเนสส์ ประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และถูกแทนที่โดย รอย อีแวนส์
อีแวนส์ นั้นเป็นโค้ชคนละสไตล์กับ ซูเนสส์ ​เขามีความ อ่อนโยน มากกว่า เขามาจาก บู๊ตรูม (Boot Room) ซึ่งเป็นรากฐานของ ลิเวอร์พูล เหมือนกัน และเป็นคนปลุกสปิริตความสามัคคีภายในทีมขึ้นมาอีกครั้ง แบบเดียวกับทศวรรษที่แล้ว อีแวนส์ นั้นไม่เร่งที่จะใช้งานกองหน้าหนุ่มคนนี้ เพราะเขารู้สึกว่า เด็กคนนี้ได้รับโอกาสเปิดตัวเร็วเกินไป เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งเขาหวังว่าจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนที่เหมาะสม
ระเบิดฟอร์ม
ในฤดูกาล 1994/95 ฟาวเลอร์ ได้โอกาสลงเป็นตัวจริง และมันเป็นทำให้เขาแรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ เขายิงประตูใส่ คริสตัล พาเลซ และจากนั้น 8 วันให้หลัง เขาใช้เวลาเพียงแค่ 4 นาที 33 วินาที กดแฮตริกใส่ อาร์เซน่อล ต่อหน้ากล้องถ่ายทอดสดของสกายสปอร์ตส์...เดวิด เลซี่ ผู้สื่อข่าวกีฬาชื่อดัง เรียกการทำประตูของเขาว่าเป็นเหมือนปืนกล จากการระเบิดฟอร์มในวันที่พบกับ “ไอ้ปืนใหญ่”
มันเป็นสถิติที่อยู่ยงคงกระพันมามากกว่า 20 ปี ก่อนที่จะมาโดน ซาดิโอ มาเน่ ทำลายไปในเดือนพฤษภาคมปี 2015 ในเกมที่ เซาธ์แฮมป์ตัน พบกับ แอสตัน วิลล่า ด้วยสถิติ 2 นาที 56 วินาที และ ฟาวเลอร์ ก็กลายเป็นที่โด่งดังไปทั่ว และ สกาย สปอร์ตส์ ก็พยายามที่จะปั้นให้เขา กลายเป็นไอดอลลูกหนัง
“สกาย พยายามทำทุกอย่างในการสร้างมูลค่าและเพิ่มยอดคนดู และฟอร์มของผมเปรียบเหมือนของขวัญล้ำค่าของพวกเขา” ฟาวเลอร์ กล่าว “สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ รูปภาพสวย ๆ  คนที่จะมาเป็นภาพลักษณ์ ในการขายสินค้า และสร้างยอดขาย ผมยังอายุน้อยและกลายเป็นจอมถล่มประตูในซีซั่นนั้น มันทำให้ผมได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ประตูที่ผมทำได้ก็จะถูกพูดถึง หนังสือพิมพ์ก็จะลงแต่เรื่องของผม ทุกคนรู้จักผม ผมคิดว่า แฮตทริก ในคราวนั้นมันทำให้ผมโด่งดังไปทั่ว”
“พระเจ้า”​ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ในวันนั้น ฟาวเลอร์ อาจจะกลับบ้านไปกินข้าวผัดที่บ้านคุณแม่ของเขาตามปกติ แต่ว่าโลกของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
กลายเป็นจุดสนใจ
ช่วง 20 ปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องง่ายที่เราอาจจะมองข้ามความท้าทายต่าง ๆ ที่ ฟาวเลอร์ ต้องเจอ, เดวิด เบ็คแฮม ยังไม่ขึ้นมา เป็นที่สนใจของสื่อ และส่วนใหญ่ คนก็จะไปการจับตามอง ไรอัน กิ๊กส์ หรือจะเป็น ลี ชาร์ป จากฝั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน แต่ว่า ก็เป็น ฟาวเลอร์ ที่แทบจะกลายเป็นคนที่เด่นที่สุดของฤดูกาลนั้น
ในช่วงยุคปี 2017 พวกดาวรุ่งนั้นได้รับความสนใจจากสื่อตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งๆ ที่อาจจะยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองขึ้นมา แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่เกิดกับเมื่อ 25 ปีที่แล้ว , นักเตะหนุ่ม ถ้าหากว่าไม่เก่งจริง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับความสนใจ และกลายเป็นคนดัง ทางฝั่งสโมสรเอง ก็ไม่ได้มีการเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้มาก่อนด้วยเช่นกัน เมื่อนักเตะหนุ่มของพวกเขากลายเป็นคนดัง ทำให้ไม่สามารถปกป้องเขาจากปัจจัยหลายๆอย่างที่ตามเข้ามาแบบไม่คาดคิดได้...เดวิด เจมส์​ ย้อนความหลังถึงเรื่องนี้ว่า “ผมจำได้ว่าครั้งนั้นตอนนั้น เราเต็มไปด้วยเด็ก ๆ ในทีม เราต้องมีการพบกับ จิตแทพย์ เขาพยายามปลูกฝังให้เราคิดเสมอว่า เราคือ ลิเวอร์พูล และ ลืมสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง เพราะว่ายังไงซะความเป็นตัวตนของเราคือสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยน”
เช่นเดียวกับ ฟาวเลอร์ ที่ก็ต้องรับมือกับความโด่งดังที่มาแบบคาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน เขากลายเป็นจุดสนใจของของสื่อ ที่พร้อมจับผิดเขาในทุก ๆ เรื่อง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาไปให้สัมภาษณ์กับ นิตยสารฉบับหนึ่งพร้อมกับ สตีฟ แม็คมานามาน เพื่อนร่วมทีม แล้วก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อโดถามจี้ใจดำ ซึ่งมันทำให้เป็นการสร้างความขัดแย้งขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา เพราะว่าทุกอย่างมันถูกบันทึกไว้อยู่แล้ว
มันเป็นเหมือนกับดักที่ขุดเอาไว้โดยนักข่าวที่นักฟุตบอลอาชีพต้องเจอ เหมือนกับยุคนี้ นั่นทำให้พวกเขาต้องมีที่ปรึกษาคอยแนะนำ แต่ว่าในสมัยนั้น พวกเขาไม่ได้มีตัวช่วยขนาดนี้ และก็ต้องตระหนักกับตัวเองว่า เขาอยู่ในความสนใจของสื่อมาโดยตลอด
โชว์ของ
การเป็นที่สนใจของสื่อ ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้นต่อฟอร์มของเขา...ช่วงปลายปี 1994 ต่อด้วยปี 1995 ฟาวเลอร์ ยิงในพรีเมียร์ ลีก ไปแล้ว 18 ประตู นอกจาก แฮตทริกที่เขาทำได้ในเกมกับ อาร์เซน่อล แล้วยังมีการยิงสองประตูสุดสวยที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี ในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า
ลูกแรกมาจากการยิงบริเวณริมกรอบเขตโทษ ผ่านมือ มาร์ค บอสนิช ไป ส่วนอีกลูกก็มาจากในลักษณะเดียวกัน ซึ่งมันก็สุดปัญญาที่นายทวารชาวออสเตรเลีย จะเซฟเอาไว้ได้
ประตูแรก นาทีที่ 4.12 ส่วนประตูที่สองนาที 7.20
เขาอาจจะเป็นแค่วัยรุ่นธรรมดาที่เติบโตขึ้นมาและได้เล่นให้กับทีมท้องถิ่น แต่ว่าสถานะของเขาด้วยวัยแค่นี้ เขากลายเป็น “ราชาแห่งเมอร์ซี่ไซด์” เขาไม่ใช่แค่จอมถล่มประตู แต่ว่าทุกประตูนั้นเต็มไปด้วยความสวยงามและความหลากหลาย, คนดูยินดีจ่ายเงินซื้อค่าตัวเพื่อมาดูการเล่นของเขา ไม่มีใครรู้ว่าจะได้เห็นประตูรูปแบบไหนจากเท้าซ้ายอันทรงพลังของเขา ในขณะที่ กองหน้าคนอื่นนั้นมีหน้าที่ปักหลักรอยิงประตู แต่ว่า ฟาวเลอร์ นั้นไม่ใช่แบบนั้น เขาสามารถยิงประตูได้ทุกระยะ ทั้งนอกกรอบ, ในกรอบ, ยิงด้วยความรุนแรง หรือ เล่นทิศทาง จะเท้าซ้าย, เท้าขวา หรือโหม่ง เขาสามารถทำได้ทั้งหมด
ในวันที่ 28 ธันวาคม เขาทำประตูจากลูกยิงไกลสุดสวยใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ แอนฟิลด์ และ 3 วันให้หลัง เขาวิ่งฉีกแนวรับของลีดส์ แล้วก็ยิงเข้าไปอย่างเลือดเย็น
นาทีที่ 00:20
นั่นล่ะคือเขา...เมื่อชื่อของ ฟาวเลอร์ ปรากฏขึ้นมาว่าเขาเป็นผู้ทำประตูบนสกอร์บอร์ด สิ่งที่หลายคนคิดก็คือมันจะเป็นประตูที่ถูกนำไปจัดในรายการ "แมตช์​ ออฟ เดอะ เดย์" หรือไม่
เมื่อมองแว่บแรกก็จะรู้ได้ทันทีว่า ฟาวเลอร์ จะต้องกลายเป็นนักเตะที่โด่งดัง ขณะเดียวกัน สกาย ก็ต้องการใครสักคนที่จะมาเป็นสตาร์ในการเรียก “เรตติ้ง” ซึ่งฟาวเลอร์ นั้นคือคนที่เหมาะสมที่สุด เขาได้รับเชิญไปที่รายการของช่อง และนั่นทำให้มูลค่าทางการตลาดต่าง ๆ ของเขาสูงยิ่งขึ้นไปอีก
มุ่งหน้าทะยานฟ้า
ในฤดูกาล 1994/95 เป็นซีซั่นที่เราจดจำกันได้ว่า ฟาวเลอร์ นั้นถล่มประตูได้อย่างมากมาย ในการเริ่มต้นอาชีพแบบเต็มตัว แต่ว่าเราต่างก็รู้เช่นเดียวกันว่า การเล่นของ ฟาวเลอร์ นั้นมันมีมากกว่าแค่การเล่นในตำแหน่งกองหน้า เขากลายเป็นคนดัง ไปไหนก็มีแต่สื่อจับตามองตลอด แต่สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นของเขาเลย
เขาอาจจะแสดงให้เห็นถึงความอึดอัด จนบางครั้งก็ทำตัวไม่เหมาะสมออกหน้าสื่อ แต่ว่า ฟาวเลอร์ ก็มักจะไประเบิดมันในการลงสนาม ซึ่งทำให้เราได้เห็นประตูมากมายจากเขา, เขารักที่จะทำประตู เด็กหนุ่มจาก ท็อกซ์เทกซ์ เหมือนกับว่าจะสนุกสนานเหลือเกินกับการได้ขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
อันที่จริง ฟาวเลอร์​ นั้นดูธรรมดามาก ถ้าเรามองจากภายนอกเราก็ไม่คิดว่าเขาจะมีการเล่นที่มหัศจรรย์ได้ขนาดนี้...จอห์น บาร์นส์ เพื่อนร่วมทีมของเขากล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับ ร็อบบี้ ก็คือเขาไม่ได้ดูเป็นนักเตะที่เก่งเลย , เขาได้มีความเร็ว, ไม่ได้สูงใหญ่ หรือว่ามีทักษะที่สุดยอด ผมจำได้ว่าตอนที่เราดันเขาขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ เขาทำตัวเหมือนกับว่ารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากทั้งในและนอกสนาม”
ในช่วงต้นยุค ‘90 ความเป็นสตาร์ของนักฟุตบอลหลายๆ คนเริ่มทำตัวเหินห่างจากแฟนบอล ด้วยเรื่องของตัวเงินมหาศาลที่พวกเขาจะได้รับนอกวงการ แต่สำหรับ ฟาวเลอร์ นั้นไม่ใช่แบบนั้น
ในขณะที่ เบ็คแฮม นั้นมีแฟนเป็น “ป๊อป สตาร์” และได้เซ็นสัญญาเป็นนายแบบ, เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ก็ไปทางเดียวกัน หรือแม้แต่ เจสัน แม็คเอเทียร์ ก็ได้เล่นโฆษณาแชมพูชื่อดัง แต่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ไม่สนเรื่องพวกนี้ เขาสนแค่การยิงประตูเท่านั้น เขาอาจจะเป็นคนดัง แต่ว่ากับเรื่องนอกสนาม เขาแทบไม่สนใจ
จุดเริ่มต้นและจุดจบ
ผลงานของ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้นเรียกได้ว่าน่าผิดหวัง ช่วงเดือน เมษายน พวกเขาแพ้ให้กับ โคเวนทรี และ ลีดส์ คาบ้านของตัวเอง เช่นเดียวกับการแพ้ให้กับ แอสตัน วิลล่า และ เวสต์แฮม ในช่วงเดือนพฤษภาคม
แต่อย่างน้อย ประตู จาก ฟาวเลอร์​ก็ทำให้ทีมของ อีแวนส์ ได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โคคา โคล่า คัพ ที่ เวมบลีย์ ซึ่งฟอร์มอันสุดยอดของ แม็คมานามาน ก็ทำให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โบลตัน 2-1 คว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้สำเร็จ ซึ่งมันเป็นแชมป์แรกของ ฟาวเลอร์ ในอาชีพนักฟุตบอล
จากนั้นเขาก็ได้รางวัล ดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ พีเอฟเอ (ครั้งแรกก่อนที่ได้สองสมัยซ้อน) และถูกนำไปเทียบกับ เอียน รัช ตำนานดาวยิงของสโมสร เขากลายเป็นดาวยิงที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งของยุโรป จากการยิงไปทั้งสิ้น 31 ประตู รวมทุกรายการ และเป็นหนึ่งในกองหน้าที่มีจังหวะจบสกอร์ที่เฉียบขาดที่สุดในยุคนั้น
แต่ถ้าในฤดูกาล 1994/95 นั้นเป็นจุดเริ่มต้น ฤดูกาลต่อมาที่เขายิงได้ 28 ประตูในลีก ก็เป็นเหมือนกับจุดจบ แม้ว่าเขาจะเข้าใกล้กับความเป็นสุดยอดนักเตะมากขึ้น ด้วยการได้ไปลุยศึกยูโร 96
แต่หลังจากนั้น อาการบาดเจ็บก็ทำให้เขาไม่ใกล้เคียงกับฟอร์มที่เคยเป็นอีกเลย ความสัมพันธ์กับ เชราร์ อุลลิเยร์ ที่เข้าขั้นย่ำแย่ทำให้เขาโดนขายให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2001 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ เขาอาจจะยังทำประตูได้บ้าง แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
ช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ความยอดเยี่ยมของ ฟาวเลอร์ ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะกับ มาร์ติน ไทเลอร์ กูรูลูกหนังที่ทำงานตลอดอาชีพกับวงการฟุตบอลอังกฤษมาหลายสิบปี ก็ยกย่องว่า ฟาวเลอร์ ช่วงสุดยอดเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็น
“เช้าวันหนึ่งผมลงมากินอาการเช้า แล้วเห็นหน้าตัวเองบนกล่อง คอร์นเฟลค” ฟาวเลอร์ พูดถึงสิ่งที้เขาจำได้ในยุคทองของตัวเอง “ความรู้สึกผมคือ มันประหลาดจริงๆ”
credit:fourfourtwo​ thailand
โฆษณา