6 ก.พ. 2019 เวลา 01:09 • ธุรกิจ
The Innovators ตอนที่ 2 : John D. Rockefeller
การนัดเจอกันระหว่างผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Vanderbilt และ ชายหนุ่มผู้เริ่มสร้างธุรกิจ กับธุรกิจใหม่อย่างโรงกลั่นน้ำมัน อย่าง John D. Rockefeller คนหนึ่งเป็นชายผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศ และแทบจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่หารู้ไม่ว่า ผู้ที่อำนาจและอิทธิพลสูงที่สุดในประเทศอย่าง Vanderbilt นั้นไม่รู้ว่า เขากำลังจะได้พบเจอกับอะไร?
The Innovators ตอนที่ 2 : John D. Rockefeller
ธุรกิจมันก็เปรียบเสมือนเกมส์การแข่งขัน ในทุก ๆ ธุรกิจ เหล่าผู้นำต้องเกี่ยวข้องกับการเข้าใจคนอื่น ๆ  เหล่าผู้นำระดับอัจฉริยะเหล่านี้ จะรู้ว่าคน ๆ ไหนที่ควรสร้างเป็นพันธมิตร หรือ คนไหนที่ควรกำจัดให้พ้นทาง หากเป็นขวากหนามทางธุรกิจ
การเจอกันที่นิวยอร์ค ระหว่างทั้งสองนั้น มันเป็นการตกลงธุรกิจ ที่ต่างตอบแทนผลประโยชน์ Rockefeller นั้นไม่ใช่เด็กน้อยที่จะให้ Vanderbilt เอาเปรียบได้ มีการต่อรองเจรจาลดราคาค่าขนส่งน้ำมัน โดยที่ Rockefeller นั้นสัญญากับ Vanderbilt ว่าจะทำให้ขบวนขนส่งสินค้าของ Vanderbilt นั้น เต็มในทุก ๆ ขบวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Vanderbilt ปราถนาอย่างมาก และมีการพูดเชิงคู่ว่า หากไม่ตกลงกับเขา Rockefeller นั้นก็จะไปเจรจากับบริษัทขนส่งทางรถไฟเจ้าอื่น ๆ ทันที
และ Vanderbilt นั้นก็ต้องยอม Rockefeller ในที่สุด แม้ตัว Rockefeller นั้นจะได้สิ่งที่เขาต้องการ แต่ปัญหาคือ ข้อตกลงที่จะทำให้สินค้ามันเต็มทุกขบวน ซึ่งต้องใช้น้ำมันถึง 60 บาร์เรล ต่อวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ Rockefeller เลย ตอนนั้นเขายังแทบจะไม่มีวิถีทางที่จะทำให้ผลิตน้ำมันก๊าซ ได้มากมายมหาศาลขนาดนั้น เพื่อรองรับความต้องการของ Vanderbilt ด้วยซ้ำ
การเจรจา Deal ครั้งสำคัญจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller
เขาสามารถผลิตได้แค่เพียงครึ่งนึง หรือ รองรับได้สูงสุดเพียง 30 บาร์เรลเพียงเท่านั้น แต่การได้สัญญากับ Vanderbilt นั้นเป็นสิ่งที่เขารอมานาน และมันยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของเขา รอดพ้นจากภาวะล้มละลาย
Rockefeller นั้นเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจนในเมือง Cleveland ในช่วงวัยเด็กนั้นเขาก็มีความคิดริเริ่มที่จะเป็นผู้ประกอบการ เขาฉายแววแห่งการเป็นนักลงทุน ซึ่งธุรกิจแรกเริ่มต้นของเขาก็คือ การขายขนมให้กับเด็ก ๆ เขาต้องช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อของเขาแทบจะไม่ส่งเสียจุนเจือครอบครัวเลย ทำให้เขาเติบโตมาอย่างยากลำบาก
เมื่อพ่อของเขาได้ทิ้งครอบครัวไป Rockefeller ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ด้วยการลาออกจากการเรียน และเริ่มไปทำงานแบบเต็มตัว เขาเริ่มธุรกิจด้วยการค้าขาย แต่ด้วยความอัจฉริยะ และความต่อสู้ชีวิตของเขา เขาจึงมักมองหาช่องทางและหนทางหากินใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ตอนนั้น Cleveland พบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งที่ใหญ่ที่่สุดอันดับต้น  ๆ ของโลก Rockefeller ไม่รีรอ เขามองเห็นทันทีว่าน้ำมันนั้นจะเป็นธุรกิจใหม่ มันเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกได้ และในที่สุดมันจะทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้
ตอนนั้นเทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันไม่ได้ก้าวล้ำแบบในปัจจุบันที่สามารถมองหาแหล่งน้ำมันได้ผ่านดาวเทียม ตอนนั้นมันเปรียบเหมือนการพนัน มันเต็มไปด้วยความเสี่ย Rockefeller รู้ดีในจุดนี้ เขาจึงต้องหาวิธีที่จะลดความเสี่ยงในการที่จะกระโจนเข้าไปสู่ธุรกิจน้ำมัน
Cleveland เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
การผลิตน้ำมัน มันก็คือ การเปลี่ยนแหล่งน้ำมันดิบใต้ดินให้กลายเป็นน้ำมันก๊าซ ในขณะนั้นมันคือเชื้อเพลงสะอาดที่นำไปถูกใช้กับตะเกียง เพื่อความส่องสว่างให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงชาวโลก
สิ่งที่ Rockefeller คิดนั้นแตกต่างจากนักธุรกิจน้ำมันรายอื่น ๆ ในขณะนั้น เขาเริ่มเข้าปรึกษานักวิทยาศาสตร์ทางด้านเคมี ที่รู้จริงเกี่ยวกับน้ำมัน มันต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในแขนงนั้นจริง ๆ เป็นคนที่รู้เทคนิค แล้วสามารถทำให้เขานำไปต่อยอดได้สำเร็จ
ซึ่งมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Rockefeller นั้นนำคู่แข่งอยู่หนึ่งกาวอยู่เสมอ ขณะที่เหล่านักเสี่ยงโชคคนอื่น ๆ กำลังขุดหาน้ำมันอยู่ แต่เขาสนใจในเรื่องการเปลี่ยนสภาพของน้ำมัน ซึ่งมันก็คือการควบคุมกระบวนการกลั่นน้ำมันนั่นเอง
ตอนนั้นเขาอายุเพียง 24 ปี และกำลังหันเหมาโฟกัสกับธุรกิจน้ำมันเต็มตัว เขาแทบจะทุ่มหมดหน้าตัก ขายกิจการอย่างอื่นทั้งหมด ได้เงินมาประมาณ 4,000 เหรียญ เพื่อมาลุยสร้างโรงกลั่นน้ำมันธุรกิจใหม่ของเขา
ลุยกับธุรกิจน้ำมันแบบเต็มตัว
มันเริ่มต้นได้ไม่ได้นัก เขาต้องพยุงธุรกิจโรงกลั่นให้อยู่รอด ตอนแรก ๆ เริ่มนั้นมันยังแทบจะหากำไรจากธุรกิจนี้แทบไม่ได้ มันขาดทุนจนสายป่านของเขาแทบจะหมดตัวแล้วด้วยซ้ำ แต่ทุก อย่างกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อ ผู้มีอิทธิพลที่สุดของประเทศอย่าง Vanderbilt กำลังสนใจเขา การทำธุรกิจกับ Vanderbilt นั้นมันทำให้เขาได้ค่าขนส่งราคาถูก และที่สำคัญมันยังทำให้เขามีโอกาสเจาะตลาดน้ำมันทั่วประเทศของสหรัฐ ผ่านเครือข่ายการขนส่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาของ Vanderbilt
แต่สัญญาที่เขาเจรจากับ Vanderbilt นั้นเขาต้องส่งน้ำมันถึง 60 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งตอนนั้นเขามีกำลังการผลิตแค่ไม่ถึง 30 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น แต่การไปสัญญากับนักธุรกิจระดับ Vanderbilt แล้วนั้น มันต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้มันเป็นไปได้ เพราะน้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้
4
Rockefeller จึงต้องขยายโรงกลั่นของเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้รอบรับการผลิตให้ได้ตามที่ Vanderbilt ต้องการ นั่นจึงเป็นที่เขาต้องไปหานักลงทุน แต่ตอนนั้นปัญหาใหญ่ก็คือ น้ำมันก๊าซ กำลังมีชื่อในแง่ลบอยู่ ข่าวบ้านเรือนที่น้ำมันก๊าซเกิดระเบิด และเกิดเพลิงไหม้ กำลังอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทั่วอเมริกา
มันทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มลังเลกับธุรกิจนี้  แต่เพราะตอนนั้นความต้องการน้ำมันก๊าซมันสูงมาก เพราะกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วอเมริกา มันก็ดึงดูดนักลงทุนบางกลุ่มที่กล้าที่จะเสี่ยงกับธุรกิจประเภทนี้
Rockefeller กลับมองปัญหาเหล่านี้ เป็นโอกาส เขาจึงคิดวิธีที่จะขจัดความกลัวเหล่านี้ออกจากหัวของชาวอเมริกา มันคือเรื่องของความปลอดภัย เขาจึงได้สร้างแบรนด์น้ำมันของเขาในชื่อ Standard Oil ซึ่งมันเป็นการตั้งชื่อที่ฉลาดอย่างมาก มันสื่อให้เห็นว่าน้ำมันของเขามีคุณภาพเหนือตลาด เขาได้สร้างมาตรฐานใหม่ของน้ำมันขึ้นมา และที่สำคัญความคิดของเขามันได้ผลทันที
น้ำมันที่มาตรฐานสูงของ Rockefeller สามารถหยุดความกลัวของทุกคนได้ มันได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการมากที่สุดในประเทศอเมริกาทันที หลังจากวางจำหน่ายไปได้ไม่นาน และมันกลายเป็นที่ดึงดูดเหล่านักลงทุนให้เข้ามาลงทุนใน Standard Oil จนมันทำให้เขาสามารถที่จะส่งสินค้าตามความต้องการของ Vanderbilt ที่ระบุในสัญญาได้
Standard Oil ที่ใช้การขนส่งทางเครือข่ายรถไฟของ Vanderbilt เป็นหลักในช่วงแรก
และเพียงไม่นาน ความต้องการน้ำมันก๊าซ มันก็พุ่งสูงขึ้นแบบสุดขีด มันทำให้ Standard Oil ของ Rockefeller กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันก๊าซรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และมันส่งผลให้อเมริการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุก ๆ ด้านอีกด้วย
แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่า Rockefeller นั้นมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ตอนนั้นเขาสามารถที่จะผลิตน้ำมันได้เกินความต้องการของ Vanderbilt แล้วด้วยซ้ำ แม้ Vanderbilt จะครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในการขนส่งทางรถไฟ
แต่ Rockefeller นั้นต้องการกระจายสินค้าของเขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่าเดิม มันจึงต้องทำให้เขาพาตัวเองไปพบคู่แข่งคนสำคัญของ Vanderbilt ในขณะนั้น เขาคือ ทอม สก็อต ที่เป็นประธานของบริษัทรถไฟรายหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ทอมนั้นมีเป้าหมายคือต้องการขึ้นมาแทนที่อันหนึ่งของเจ้าแห่งการขนส่งทางรถไฟแทน Vanderbilt
และการที่ทอมจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ เขาต้องพึ่งพา Rockefeller เช่นเดียวกับ Vanderbilt ทอมจึงต้องมุ่งหน้าไปยัง Cleveland พร้อมผู้ช่วยเด็กหนุ่มคนเก่งของเขาซึ่งมีนามว่า Andrew Carnegie ซึ่งในฐานะผู้ช่วยที่ ทอม สก็อตนั้นไว้ใจที่สุด Carnegie จึงมีหน้าที่ในการเจรจากับ Rockefeller
ทอม สก็อต คู่ปรับของ Vanderbilt
ซึ่งการเจรจานั้น เป็นการเจรจาที่สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย Rockefeller ต้องการแค่ผลประโชน์ที่ดีกว่า Vanderbilt เพียงเท่านั้น มันเป็นการเจรจาที่ไม่ยากนัก เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ความต้องการของอีกฝั่งอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
มันทำให้เจ้าพ่อวงการขนส่งทางรถไฟอย่าง Vanderbilt กำลังสูญเสียซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขัน มันเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของ Rockefeller ที่ให้บริษัทขนส่งทางรถไฟต่างห้ำหั่นกันเอง เพราะน้ำมันแบบที่ Standard Oil ของ Rockefeller ผลิตนั้นเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงอย่างมากทั่วประเทศอเมริกา
ผู้ช่วยคนสำคัญของทอม สก็อต Andrew Carnegie
หลังจบดีล กับ ทอม สก๊อต มันทำให้เป้าหมายของ Rockefeller นั้นบรรลุผล ตอนนี้ Standard Oil สามารถส่งน้ำมันไปยังทุกครัวเรือนของสหรัฐได้สำเร็จ เมื่อมีรายได้มากขึ้น กำไรก็มากขึ้นไปตามตัว  มันช่วยให้ Rockefeller นั้นนำเงินเหล่านี้ไปกว้านซื้อธุรกิจคู่แข่ง เพื่อยึดทั้งตลาดให้สำเร็จ
ตอนนี้ Rockefeller ผู้มีความทะเยอทะยานสูง และยังหนุ่มยังแน่น มีเป้าหมายหลักคือต้องการเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้นมันเป็นวิธีการที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ปัจจุบัน มันก็คือการผูกขาดตลาดดี ๆ นี่เอง ซึ่งเขาไม่ได้เพียงแค่กำลังขยายบริษัทเท่านั้น เขาต้องการที่จะสร้างกำไรสูงสุดจากน้ำมันของเขาด้วย เขาจึงต้องซื้อธุรกิจคู่แข่งมาทั้งหมด และกำจัดมันทิ้งเสีย มันเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ครั้งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์การทำธุรกิจในอเมริกา
ซึ่งในที่สุดบริษัท Standard Oil ของ Rockefeller นั้นก็สามารถยึดส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 90% ของโรงกลั่นน้ำมันของอเมริกาได้สำเร็จ มันได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกว่า บริษัทของเขา Standard Oil เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจผูกขาดเป็นรายแรกของประเทศ
เมื่อเขาอายุได้ 33 ปี เจ้าพ่อน้ำมันอย่าง Rockefeller ก็ได้กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดของประเทศแทนที่ตำแหน่งของ Vanderbilt ทันที ต้องบอกว่า Vanderbilt นั้นเสียท่าเป็นอย่างยิ่งในการปั้น Rockefeller ขึ้นมาจากบริษัทที่แทบจะใกล้ล้มละลายเต็มที แต่สุดท้ายคนที่เขาปลุกปั้น กลับมาแย่งตำแหน่งผู้มีอิทธฺิพลที่สุดในประเทศไปจากเขา
1
Standard Oil กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา
ซึ่งวิธีเดียวที่ Vanderbilt จะสู้กับ Rockefeller ได้นั้น มันมีวิธีเดียวก็คือ บริษัทขนส่งทางรถไฟต่าง ๆ ในประเทศต้องมาร่วมมือกันสกัดกั้น อำนาจที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ของ Rockefeller  มันทำให้เกิดเรื่องเหลือเชื่อคือ Vanderbilt นั้นไปจับมือกับคู่แข่งที่สำคัญของเขาในธุรกิจขนส่งทางรถไฟซึ่งก็คือ ทอม สก็อต นั่นเอง
ทั้งคู่ตัดสินใจทันที ที่จะยกเลิกสัญญาทั้งหมดกับ Rockefeller  ซึ่งมันคือการประกาศสงครามกับ Rockefeller ดี ๆ นี่เอง มันเป็นสงครามธุรกิจชัด ๆ ระหว่างดาวรุ่งดวงใหม่อย่าง Rockefeller กับ ผู้เก๋าเกมส์ที่ผ่านประสบการณ์มามากมายอย่าง Vanderbilt
แต่ Vanderbilt อาจจะประเมิน Rockefeller ต่ำไป เพราะตอนนี้ Rockefeller นั้นมีอิทธิพลสูงสุดในอเมริกา ใครที่คิดเป็นปฏิปักษ์กับเขานั้น เขาไม่มีความเมตตาให้อย่างแน่นอน เขาจึงต้องมุ่งมั่นหาทางขนส่งน้ำมันของเขาให้ได้โดยไม่ต้องพึ่ง Vanderbilt และ ทอม สก็อต
เขาจึงปรึกษากับเหล่าวิศวกรของเขา เรื่องที่จะหาทางส่งน้ำมันแบบใหม่ ตอนนั้น มีเครือข่ายท่อภายในโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อส่งต่อไปยังรถไฟ ในสถานีที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเขาจึงคิดไอเดียขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อท่อเหล่านี้มันสามารถส่งในระยะใกล้ ๆ ได้ เพราะฉะนั้นถ้าสร้างท่อส่งต่อไป มันก็อาจจะส่งในระยะไกล ๆ ได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องใช้การขนส่งทางรถไฟ
1
ถ้าเขาสร้างเครือข่ายท่อขนส่งน้ำมันได้ยิ่งใหญ่พอ มันก็จะสามารถที่จะตัดการขนส่งทางรถไฟออกไปได้สำเร็จ แต่การที่จะสร้างเครือข่ายท่อขนาดใหญ่ มันต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเป็นอย่าง แต่ถ้ามันทำสำเร็จนั้น มันก็จะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller ที่มีต่อ Vanderbilt
มันเป็นสิ่งที่คล้าย ๆ กันหมดของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ที่พวกเขาเหล่านี้อยากทำบางอย่างกับธุรกิจที่ผู้อื่น หรือ คู่แข่งนั้นไม่กล้าที่จะทำ เพราะมันมีความเสี่ยงและใช้เงินลงทุนสูง นักธุรกิจหลาย ๆ คน มีความคิด มีความทะเยอทะยาน แต่ไม่กล้าลงมือทำ ซึ่งมันต่างจากเหล่านักธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับ Rockefeller เพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในสัญชาตญาณของพวกเขา ไม่ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลง หรือความไม่แน่นอนเพียงใด พวกเขาเหล่านี้จะมองมันเป็นโอกาสอยู่เสมอ
เหล่าคนงานของ Rockefeller นั้นต้องเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืน เพื่อวางเครือข่ายท่อส่งน้ำมันไปทั่วประเทศ ซึ่งหลังจากใช้ทีมงานทำงานอย่างหนัก ในที่สุดเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของ Rockefeller ก็สร้างเสร็จ มันเป็นเครือข่ายท่อส่งน้ำมันที่ความยาวกว่า 4,000 ไมล์ เชื่อมกับบ่อน้ำมันที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในโลกหลายพันบ่อ
มันเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ Rockefeller สร้างขึ้น มันเป็นการฉีกกฏเกณฑ์ทุกอย่างของการส่งน้ำมันที่มีมา มันคือเครือข่ายท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่รังสรรค์ขึ้นมาโดย John D. Rockefeller
ท่อส่งน้ำมัน สุดยอดนวัตกรรมของ Rockefeller
25 ปีก่อนหน้า อุตสาหกรรมรถไฟนั้น ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอเมริกา เป็นเครื่องมือช่วยค้ำจุนเศรษฐกิจอเมริกา ทั้งการขนส่งคน และส่งสินค้าทั่วประเทศอเมริกา ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีใครจะโค่นลงได้ จนกระทั่งการมาของ Rockefeller ที่รู้ดีว่าตอนนี้นั้น เหล่าบริษัทรถไฟต้องพึ่งพาน้ำมันของเขาเพื่อความอยู่รอด
ซึ่งการงัดข้อกันระหว่าง Vanderbilt และ Rockefeller ครั้งนี้มันได้สั่งสอนให้เครือข่ายธุรกิจรถไฟ ทั้ง Vanderbilt รวมถึง ทอม สก็อต ได้พบกับความพ่ายแพ้  ซึ่งมันพร้อม ๆ กับการพาอเมริกานั้นกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกทันที ผู้คนไม่ต้องตกอยู่ในความมืดมน อีกต่อไป ด้วยเครือข่ายท่อส่งก๊าซที่ยิ่งใหญ่ของ Rockefeller
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ มันทำให้ Vanderbilt ต้องสูญเสีย การยกเลิกขนส่งน้ำมันซึ่งเป็นปริมาณการขนส่งถึง 40% ก่อนหน้า ได้ถูกตัดออกไปโดยเครือข่ายท่อส่งก๊าซของ Rockefeller และมันมีผลต่อหุ้นของกิจการรถไฟทันที ราคาหุ้นล่วงกราวรูด นักลงทุนต่างหวาดกลัว
เครือข่ายท่อส่งก๊าซของ Rockefeller ครอบคลุมประเทศอเมริกา
ในช่วงที่เกิดความแตกตื่น ทำให้มูลค่าหุ้นหล่นลงมานั้น มันส่งผลให้กว่า 30% ของกิจการรถไฟในประเทศเข้าสู่ภาวะล้มละลายทันที มันคือฟองสบู่ของกิจการรถไฟในประเทศอเมริกานั่นเอง เพราะตอนนั้น เส้นทางรถไฟเริ่มมีมากเกินไปจนล้น และ เมื่อถูกแรงกระแทกจาก Rockefeller ที่ตัดสินค้าอย่างน้ำมันที่เป็นสินค้าหลักออกไปจากการขนส่ง มันทำให้ฟองสบู่ของกิจการรถไฟแตกทันที
และมันยังส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นในอเมริกาเป็นครั้งแรก มันเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกาทั่วประเทศต้องตกงานอย่างกระทันหัน เหล่านคนงานถูก lay-off แต่เจ้าของโรงงานนั้นก็ยังใช้ชีวิตหรูหรา ฟู่ฟ่าเหมือนเดิม มันได้กลายเป็นช่วงเวลาที่สิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งของประชาชนชาวอเมริกา
แต่ในขณะที่บริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัทในประเทศนั้นกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด  แต่ Rockefeller นั้นได้มองเห็นโอกาส เขามองว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอดในวิกฤตินี้ได้ เมื่อเหล่าคู่แข่งต่างล้มละลาย Rockefeller ก้ได้เข้าไปเลือกบริษัทเหล่านั้นเพื่อซื้อกิจการ ในราคาที่ถูกแบบสุด ๆ  มันทำให้เขาได้สร้างเครือข่ายบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาได้สำเร็จ
ในขณะที่ Rockefeller กำลังขยายธุรกิจอย่างเมามันนั้น ทางฟากคู่แข่งอย่างธุรกิจรถไฟกำลังหนีตายเพื่อเอาตัวรอด  และเมื่อถึงจุดต่ำสุดของวงการรถไฟ ก็ได้เกิดข่าวร้ายขึ้น คือ Vanderbilt ราชาแห่งกิจการรถไฟ ได้เสียชีวิตลงไปในที่สุด ด้วยวัย 82 ปี  ซึ่งได้ทิ้งอาณาจักรรถไฟ มูลค่ากว่า 100 ล้านเหรียญ ไว้กับลูกชายของเขา William Vanderbilt
2
แต่คู่ปรับที่ยังคงเหลือรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ  ทอม สก็อต และผู้ช่วยมือดีอย่าง Andrew Carnegie เนื่องจากเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของ Rockefeller นั้นยังไปไม่ถึงเมือง พิตต์สเบิร์ก ฐานที่มั่นของพวกเขา มันยังต้องใช้รถไฟในการขนส่งน้ำมันอยู่
ซึ่ง ทอม สก็อต นั้นก็เริ่มคิดถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนเฉกเช่นเดียวกับ Vanderbilt หาก Rockefeller ขยายเครือข่ายท่อส่งน้ำมันจนครอบคลุมทั้งหมดได้ พวกเขาอาจจะไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้เฉกเช่นเดียวกับ Vanderbilt
ทอม สก็อต จึงต้องคิดแผนใหม่ขึ้นมา เพื่อขยายอาณาจักรของเขา และมันคือสิ่งที่ทำให้ Rockefeller ต้องหันกลับมามอง เพราะ ทอม สก็อต และ ผู้ช่วยมือดีอย่าง Andrew Carnegie กำลังคิดการณ์ใหญ่ คือการขยายเข้าไปสู่อุตสาหกรรมน้ำมัน ด้วยการสร้างเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของตัวเอง
มันเป็นการไปกระตุกหนวดเสืออย่าง Rockefeller อย่างเต็มตัว มันคือสงครามครั้งใหม่ มันเป็นการรุกล้ำธุรกิจน้ำมันที่แสนรักของ Rockefeller แต่คราวนี้ Rockefeller ไม่สามารถตัดการขนส่งน้ำมันของ ทอม สก็อต ได้ เพราะ ทอม สก็อต นั้นยึดเครือข่ายการขนส่งระหว่างเมืองใหญ่อย่าง พิตต์สเบิร์ก ไปยังนิวยอร์กเพียงเจ้าเดียว
แต่อย่างที่รู้ ๆ กัน Rockefeller นั้นเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ใครง่าย ๆ  เขาจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ด้วยการปิดโรงกลั่นที่จะส่งน้ำมันไปยังเครือข่ายรถไฟของ ทอม สก็อต แม้จะทำให้เขาสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมากก็ตาม แต่เขามองว่าการบดขยี้ศัตรูให้ตายไปนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ศึกครั้งใหม่ที่่ต้องสั่งสอง ทอม สก็อต
และเมื่อไม่มีน้ำมันของ Rockefeller มันก็ส่งผลให้ ทอม สก็อต สูญเสียมูลค่าทางธุรกิจไปเกือบครึ่ง มันบีบให้เขาต้อง lay-off คนงานกว่าหลายหมื่นคน และยังต้องลดค่าแรงลงเป็นอย่างมาก  เหล่าคนงานจึงต้องออกมาประท้วงตามท้องถนน
เนื่องจากคนงานในเมือง พิตต์สเบิร์ก ส่วนใหญ่นั้นทำงานกับบริษัทของทอม สก็อต การออกมาประท้วงจึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น  มันเต็มไปด้วยความรุนแรง และความโกรธของเหล่าคนงานที่โดน lay-off  มีการเข้าไปเผาลานจอดรถไฟของ ทอม สก็อต  ไฟได้โหมทำลายธุรกิจของ ทอม สก็อต แทบหมดสิ้น กองเพลิงได้ทำลายอาคารที่ทำการของบริษัทไปกว่า 39 หลัง รวมถึงสถานีรถไฟ และมันยังรวมถึง รถไฟกว่า 1,200 ขบวนได้ถูกทำลาย มันทำให้บริษัทของ ทอม สก็อต ได้กลายเป็นเศษซากทันที
การประท้วงของคนงานได้เผากิจการของทอม สก็อต จนวอดวาย
มันเป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพลของ John D. Rockefeller ที่ สามารถทำลายคู่แข่งที่คิดจะมาต่อกรกับบริษัทของเขา อย่างที่ ทั้ง Vanderbilt และ ทอม สก็อต โดนมาและพ่ายแพ้อย่างราบคาบ  ซึ่งถึงตอนนี้ ก็ไม่มีคู่แข่งที่จะมาขัดขวางธุรกิจของ Rockefeller อีกต่อไป เขาได้กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในอเมริการทันที มีทรัพย์สินมากกว่า 150 ล้านเหรียญในขณะนั้น ซึ่งเทียบกับมูลค่ากว่า 200,000 ล้านเหรียญในปัจจุบัน
Rockefeller สามารถควบคุมกว่า 98% ของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในอเมริกา มันทำให้เขากลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่เขายังไม่รู้ว่า ยักษ์ใหญ่อย่างเขา ก็มักจะตกเป็นเป้าหมายให้คนมาโค่นล้ม และ Rockefeller กำลังจะได้เผชิญหน้ากับผู้ท้าชิงที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แล้วเขาคนนั้นคือใคร? แล้วจะมาล้มผู้มีอิทธิพลทั้งเงินตราและอำนาจที่มีอยู่อย่างมหาศาลอย่าง Rockefeller ได้อย่างไร? โปรดอย่าพลาดติดตามได้ในตอนต่อไปครับผม
ช่องทางติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา