20 มี.ค. 2019 เวลา 04:42 • ประวัติศาสตร์
วันดีเดย์ (D-Day) ปฏิบัติการพลิกสงครามโลก ตอนที่ 4
วันลงมือ
ภายหลังจากไอเซนฮาวร์ตัดสินใจให้ลงมือในวันปฏิบัติการดีเดย์ตามแผนเดิมแล้วนั้น ไอเซนฮาวร์ก็ได้ออกเยี่ยมเหล่าทหารพลร่ม
ไอเซนฮาวร์ได้ให้กำลังใจเหล่าทหารและพูดประโยคที่เหล่าทหารจำไม่มีวันลืม
“ฉันทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับพวกเธอแล้วนะ”
1
ไอเซนฮาวร์ให้กำลังใจเหล่าทหาร
เหล่าทหารพลร่มต่างเอาสีดำมาพรางหน้าเพื่อให้กลมกลืนกับความมืดและเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย
ทหารพลร่มต้องแบกสัมภาระที่หนักกว่า 200 ปอนด์บนหลัง พวกเขาต้องเอาชีวิตให้รอดเพียงลำพัง เนื่องจากการกระโดดร่มลงมา อาจจะไม่ได้ลงในจุดเดียวกับเพื่อน และต้องหาทางเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง
เหล่าทหารแสดงความเคารพผู้บังคับบัญชา จากนั้นพวกเขาก็หันหน้าไปทางทิศของฝรั่งเศส พร้อมเปล่งเสียงพร้อมกัน
“ฮิตเลอร์ พวกกูกำลังไปหามึงแล้ว”
6
ภายหลังจากเครื่องบินบรรทุกทหารพลร่มได้ออกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าซึ่งมืดมิด ก็ไม่มีอะไรที่ไอเซนฮาวร์จะทำได้แล้ว สิ่งที่เขาทำได้ คือรอฟังข่าวจากทางวิทยุ
หลังจากเที่ยงคืน วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) กองบินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ทะยานอยู่บนท้องฟ้า เครื่องบินมากกว่า 800 ลำออกจากฐานทัพในอังกฤษ มุ่งตรงสู่นอร์มังดี
บนเครื่องบินทั้ง 800 ลำที่กำลังอยู่บนฟ้าในตอนนี้ บรรทุกทหารพลร่มกว่า 20,000 นาย พวกเขากำลังจะกระโดดร่มลงไปยังฐานของศัตรูในความมืด
1
โดยปกติแล้ว ทหารพลร่มมักจะอารมณ์ดี หยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนิทสนม เนื่องจากพวกเขาได้มาฝึกหนักร่วมกันกว่า 2 ปี ทำให้สนิทสนมกัน
แต่ในคืนนั้น บรรยากาศบนเครื่องนั้นเงียบสนิท ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขากำลังคิดถึงภารกิจที่สุดแสนจะอันตรายครั้งนี้ พวกเขาต้องเข้ายึดสะพานและถนนสายสำคัญที่เชื่อมกับชายหาด เนื่องจากเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะบุกเข้าโจมตี และแน่นอนครับ เส้นทางที่พวกเขากำลังจะไปยึดมีทหารเยอรมันเฝ้าอยู่เต็มอัตรา
สำหรับสะพานและถนนสายอื่นนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ระเบิดไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเส้นทางที่พวกเขาจะไปยึด คือกุญแจสำคัญสำหรับชัยชนะ
1.30 น. เครื่องบินได้บินมาใกล้นอร์มังดี จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนไปทั้งลำ ทหารเยอรมันที่อยู่บนพื้นดินได้รัวปืนกลใส่เครื่องบิน
กระสุนที่สาดจากทหารเยอรมันบนพื้นดินนั้น รัวเต็มท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ ในเวลานี้เครื่องบินกลายเป็นกับดักมรณะ เหล่าทหารบนเครื่องต่างหาที่กำบังกันวุ่นไปหมด
นักบินได้เปิดประตูเครื่องพร้อมให้สัญญาณไฟสีเขียว นี่คือสัญญาณให้กระโดด
ตามแผนแล้ว จุดที่ต้องกระโดดนั้นอยู่ห่างจากจุดนี้อีกไกล แต่ทุกคนไม่มีทางเลือก เนื่องจากตอนนี้เครื่องบินนั้นพรุนไปด้วยห่ากระสุน พวกเขาต้องกระโดดลงมา หากไม่อยากถูกยิงตายอยู่บนเครื่องบิน
ในเวลานั้น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความโกลาหล ทหารพลร่มนับพันกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้า เครื่องบินหลายลำก็ระเบิด
1
เหล่าทหารพลร่มเมื่อถึงพื้นดินก็กระจัดกระจายกัน บางคนตกลงในทุ่งนา บางคนก็ต้นไม้ แทบไม่มีทหารนายไหนไปลงยังจุดที่ได้วางแผนไว้
ทหารพลร่มบางนายนั้นซวยหนักครับ หล่นลงในน้ำที่พวกเยอรมันได้วางกับดักไว้ ทำให้จมน้ำ บางนายก็หล่นลงมาเร็วเกินไป ทำให้กระดูกหัก ไปไหนไม่ได้
พลทหารเคน รัสเซลล์ (Ken Russell) วัย 17 ปีนั้นตกลงบนหลังคาของโบสถ์ เขาเป็นพลทหารที่อายุน้อยเกินกว่าจะเข้าร่วมกับกองทัพ แต่เขาโกหกเรื่องอายุตัวเองเพื่อเข้าร่วมกับกองทัพ
รัสเซลล์ต้องปลดร่มและกระโดดลงมาด้วยความสูง 20 ฟุต (6 เมตร) หลังจากนั้นเขาก็ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง และจัดการกับทหารเยอรมันที่ยิงเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรได้หลายคน ก่อนที่เขาจะได้เจอกับทหารพลร่มของหน่วยตัวเองและร่วมกันโจมตีฐานยิงปืนของฝ่ายเยอรมนี
ทหารอีกหลายนายก็ตกลงพื้นอย่างโดดเดี่ยวและมืดมิด พวกเขาต้องหาทางเอาตัวรอดเพียงลำพัง
ตามแผนที่วางไว้ ทหารแต่ละหน่วยต้องอยู่ด้วยกันและลงมือพร้อมกัน แต่เนื่องจากความโกลาหล ทำให้ตอนนี้ทุกอย่างมั่วไปหมด ตอนนี้สำหรับทหารพลร่มที่ลงมายังพื้นแล้ว จะทหารหน่วยไหนก็ได้ ขอให้เป็นพวกเดียวกันก็พอ
ทหารหน่วยหนึ่งมีชื่อหน่วยว่าอีซี่ คอมพะนี (Easy Company)
อีซี่ คอมพะนี (Easy Company)
พวกเขาสูญเสียหัวหน้าหน่วยไปกับเครื่องบินที่ระเบิด จึงต้องมีคนขึ้นเป็นหัวหน้าแทน
พวกเขาสามารถยึดปืนใหญ่ของฝ่ายเยอรมันได้ถึง 4 จุดทั้งๆ ที่ฝ่ายเยอรมันมีทหารมากกว่า 4 ต่อ 1
ในที่สุด ทหารพลร่มก็สามารถยึดสะพานและถนนสายสำคัญได้
ถึงแม้พวกเขาจะปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ แต่ก็ต้องสูญเสียกำลังพลไปถึง 1 ใน 5 ภายหลัง กองทัพสหรัฐจึงไม่ให้ทหารพลร่มปฏิบัติภารกิจในเวลากลางคืนอีกเลย
เรื่องราวกำลังเข้มข้น เหล่าทหารสัมพันธมิตรจะเป็นอย่างไรต่อ รอติดตามในตอนหน้านะครับ
โฆษณา