พระพุทธเจ้าทรงได้รับคำยกย่องว่าเป็นบรมครู ผู้สอนสั่งเวไนยสัตว์ให้ก้าวพ้นโอฆะคือวัฏสงสารได้ ฝึกคนที่คนอื่นไม่อาจฝึกได้ กำราบคนที่ผู้อื่นไม่อาจกำราบได้ แต่กระนั้น ก็ไม่ใช่มีแค่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นครูผู้สามารถสอนสั่งให้สัตว์ทั้งหลายบรรลุธรรมได้ พระสงฆ์สาวกหลายท่านก็เป็นครูที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ดังเช่นในวันนี้ที่เราจะพูดถึงพระอัสสชิเถระ ผู้ที่พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ได้ให้ความเคารพท่านว่าเป็นพระอาจารย์
พระอัสสชิเถระ คือหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยกันดี ประกอบไปด้วย พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ หลังจากพระอัญญาโกณฑัญญเถระบรรลุธรรมขั้นโสดาบันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ออกบวชเป็นพระสงฆ์สาวกรูปแรกของพระพุทธศาสนา ในวันต่อๆ มา พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงปกิณกะเทศนาจนพระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิต่างก็บรรลุธรรมในวันต่อๆ มาตามลำดับ โดยพระอัสสชิบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในวันแรม 4 ค่ำ เดือน 8 ครั้นเมื่อวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 จนทั้งหมดบรรลุเป็นพระอรหันต์
ต่อมา หลังพระพุทธเจ้าทรงบวชให้กับพระยสะพร้อมสหายรวม 55 ท่าน ก็มีรับสั่งให้ภิกษุอรหันต์ทั้งหมด 60 รูป ให้จาริกไปเผยแผ่พระธรรม โดยพระองค์ก็เดินทางไปยังอุรุเวลาเสนานิคมด้วยเช่นกัน
ครั้งนั้นพระอัสสชิเดินทางไปถึงเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เข้าไปบิณฑบาตในพระนคร มีกิริยามารยาทงดงาม ทั้งก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก มีนัยน์ตาทอดลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ขณะนั้นปริพาชกนามว่าอุปติสสะได้เดินทางผ่านมาเห็นท่านพอดีก็เกิดความเลื่อมใส ใคร่จะเข้าไปถามว่าท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร เมื่ออุปติสสะรอให้พระอัสสชิฉันบิณฑบาตจนเสร็จ จึงเข้าไปถามไถ่ว่าผู้ใดคือศาสดาของพระอัสสชิ
พระเถระตอบอุปติสสะว่า "มีอยู่ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตร เสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.
อุปติสสะได้ฟังก็ถามต่อว่า "ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?"
พระอัสสชิตอบว่า “เราเป็นผู้บวชใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านอย่างกว้างขวางได้ แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ”
อุปติสสะได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบว่า “น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความเพียงอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากไปทำไม?”
พระอัสสชิจึงกล่าวคาถาว่า “เย ธัมมา เหตุปปภวา, เตสัง เหตุง ตถาคโต อาหะ, เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ, เอวัง วาที มหาสมโณฯ”
“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะทรงสั่งสอนอย่างนี้” จบธรรมกถานี้ อุปติสสะก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทันที
หลังจากนั้น ท่านอุปติสสะก็ได้บวชในพระพุทธศาสนา ได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธองค์ นามว่าพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ แต่กระนั้น ท่านก็ยังให้ความเคารพพระอัสสชิเถระว่าเป็นพระอาจารย์ของท่าน ด้วยการกล่าวพระคาถาบทสั้นๆ เพียงบทเดียวนี้ ให้ท่านบรรลุธรรม
ความกตัญญูของพระสารีบุตรนี้ มีบันทึกในคัมภีร์ไว้ว่าเมื่อจะเข้านอน หากท่านรู้ว่าพระอัสสชิอยู่แห่งหนตำบลใด ท่านจะนอนหันหัวไปทางทิศนั้นเสมอ ด้วยความเคารพในพระอาจารย์
จะเห็นว่า แม้พระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แถมยังมีศักดิ์ใหญ่เป็นอัครสาวกเบื้องขวาผู้เปี่ยมปัญญาแล้ว แต่ก็ไม่ลืมพระคุณครูที่สอนท่านด้วยคาถาเพียงบทสั้นๆ แต่เข้าถึงใจ ปัดเป่าซึ่งธุลีในดวงตาคือกิเลสที่บดบังความจริงอยู่จนหายไป
ขอแสดงความเคารพในครูที่มอบปัญญาอันเลิศให้กับศิษย์ผู้หลงทางในความมืด แสวงหาอยู่ซึ่งแสงสว่างด้วยเถิด