28 พ.ค. 2019 เวลา 12:00
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย : ทำไมนักกีฬาอเมริกันเกมส์ ถึงรวยกว่านักฟุตบอล?
แฟนฟุตบอลหลายคนอาจจะอิจฉานักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือแม้กระทั่ง คาร์ลอส เตเวซ ที่ได้ค่าเหนื่อยมหาศาลสัปดาห์ละหลายแสน แต่หากเราเทียบสุดยอดพ่อค้าแข้งในยุคปัจจุบันกับนักกีฬาชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายอเมริกัน เกมส์ ก็จะพบว่า รายได้ของพวกเขาถือว่าจิ๊บๆ ไปเลย
1
เพราะหากติดตามข่าว เรามักจะได้ยินการต่อสัญญาค่าเหนื่อยมหาศาล เฉลี่ยปีละหลายสิบล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ จากนักกีฬาอเมริกันอยู่เสมอ ขณะที่มีแต่นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์เท่านั้น ที่จะได้ค่าเหนื่อยจำนวนมากเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
3
กีฬาไหนรับทรัพย์หนักสุด?
เมื่อเทียบตัวเลขรายได้ของนักกีฬา 4 ชนิด ได้แก่ นักฟุตบอล, นักอเมริกันฟุตบอล, นักบาสเกตบอล และนักเบสบอล ในส่วนของค่าเหนื่อยจะพบว่า มีการทำลายสถิติค่าเหนื่อยต่อปีสูงสุดขึ้นใหม่ในปี 2018 โดย แอร่อน ร็อดเจอร์ส ควอเตอร์แบ็กดีกรีแชมป์ซูเปอร์โบวล์ของ กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส ได้ค่าเหนื่อยสูงถึง 66.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ ลิโอเนล เมสซี่ นักฟุตบอลที่ได้ค่าเหนื่อยสูงสุดของโลกตอนนี้ ได้ค่าเหนื่อยอยู่ที่เพียง 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
ทว่าหากดูจากภาพรวมว่านักกีฬาคนไหนโกยรายได้มากที่สุด เมื่อนับรวมทั้งค่าเหนื่อย, โบนัสความสำเร็จ และเงินจากสปอนเซอร์ ซึ่งนิตยสาร ฟอร์บส ทำการสำรวจรายได้และประกาศออกมาในช่วงกลางปีของทุกปี แม้อันดับ 1 ในปี 2018 จะเป็น ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ตำนานยอดนักชกไร้พ่ายที่ทำรายได้คนเดียวถึง 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ใน 5 อันดับแรกก็มีนักฟุตบอลถึง 3 คน เริ่มจาก ลิโอเนล เมสซี่ อันดับ 2 (111 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ), คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อันดับ 3 (108 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และ เนย์มาร์ อันดับ 5 (90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
1
ถึงกระนั้น เมื่อลงลึกถึงรายละเอียดของนักกีฬาที่ทำรายได้ในปี 2018 มากที่สุด 100 คนแรกจากการสำรวจโดย ฟอร์บส กลับพบว่า บาสเกตบอล คือกีฬาที่มีนักกีฬาติดทำเนียบมากที่สุดถึง 40 คน รองลงมาคืออเมริกันฟุตบอล 15 คน, เบสบอล 14 คน ขณะที่ ฟุตบอล ตามมาเป็นอันดับ 4 โดยมีเพียง 9 คน
นั่นจึงมาสู่คำถามที่ว่า หากนักฟุตบอลอย่างโรนัลโด้กับเมสซี่คือคนที่ทำรายได้มากที่สุดเช่นนี้ เหตุใดอเมริกันเกมส์ อย่างบาสเกตบอล, อเมริกันฟุตบอล และเบสบอล ถึงเป็นกีฬาที่สามารถสร้างนักกีฬาขึ้นทำเนียบความมั่งคั่งได้มากกว่า ทั้งๆ ที่ภาพลักษณ์ของอเมริกันเกมส์ ในสายตาคนทั่วไป คือกีฬาที่แข่งในสหรัฐอเมริกา โดยคนสหรัฐอเมริกา เพื่อคนสหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นกีฬาสากลที่มีคนติดตามทั่วโลกอย่างฟุตบอล
ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดคือทุกสิ่ง?
สาเหตุหลักที่ทำให้อเมริกันเกมส์ กลายเป็นกีฬาที่สร้างความมั่งคั่งให้กับนักกีฬาได้มากขนาดนี้ก็คือ ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่มีมูลค่าสูงลิบลิ่วอย่างที่หลายคนนึกไม่ถึง ซึ่งมูลค่าสัญญาที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้นั้น คือค่าลิขสิทธิ์เฉพาะในประเทศที่มีการแข่งขันเท่านั้น ไม่รวมลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดออกไปยังต่างประเทศแต่อย่างใด
เริ่มจากอเมริกันฟุตบอล NFL ซึ่งหากดูในรายละเอียดสัญญาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฉบับปัจจุบันจะพบว่า 3 เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาอย่าง CBS, NBC และ FOX ลงขันร่วมกันจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับทาง NFL สูงถึง 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 9 ปีตั้งแต่ปี 2014-2022 ซึ่งนั่นเป็นเพียงสัญญาหลัก เพราะขณะเดียวกันก็ยังมีลิขสิทธิ์แยกย่อยที่ทำกับเครือข่ายต่างๆ ในการถ่ายทอดสดเกม อย่างเช่นที่ ESPN จ่ายถึงเฉลี่ยปีละ 1,900 ล้านตอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเฉพาะเกมคืนวันจันทร์ซึ่งมีแข่งเพียง 1-2 คู่ต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดของ NFL โดยรวมสูงถึงปีละราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นอันดับ 1 ของโลก
ด้านบาสเกตบอล NBA แม้จะมีรายได้จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดสูงไม่เท่า NFL แต่ก็ยังสูงมากเมื่อเทียบกับกีฬาอื่นๆ โดยลิขสิทธ์ฉบับปัจจุบันนั้น ESPN และ Turner (TNT) ลงขันร่วมกันจ่ายค่าลิขสิทธิ์ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดสัญญา 9 ปีตั้งแต่ปี 2017-2025 ซึ่งคิดเป็นเฉลี่ยปีละกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
สำหรับเบสบอล MLB ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฉบับปัจจุบันระบุว่า FOX จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, Turner จ่ายอีก 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ ESPN จ่ายอีก 5.6 พันล้านตอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 8 ปีจนถึงปี 2021 ทำให้ MLB มีรายได้จากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดสูงถึง 12,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดสัญญา เฉลี่ยปีละราว 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
ขณะที่ในส่วนของวงการฟุตบอล แม้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเป็นลีกฟุตบอลที่มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์สูงสุดในโลก แต่สิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฉบับใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อช่วงต้นปี 2018 กลับมีสัญญาณแปลกๆ ปรากฎอยู่ เมื่อ Sky กับ BT จ่ายค่าลิขสิทธิ์รวมกันเพียง 6.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันฤดูกาล 2019/20 ถึง 2021/22 ในสหราชอาณาจักร เฉลี่ยที่ 2.11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อฤดูกาล ซึ่งลดลงจากสัญญาฉบับก่อนหน้าที่มีมูลค่าสูงถึง 7.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 3 ฤดูกาลเท่ากัน เฉลี่ยที่ 2.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกครั้งใหม่ยังไม่ได้ถูกขายออกหมดทุกแพ็คเกจ ดังนั้นตัวเลขสุดท้ายจึงน่าจะสูงกว่านี้อย่างแน่นอน
1
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อเทียบกับอเมริกันเกมส์ ก็จะเห็นได้ชัดว่าแม้พรีเมียร์ลีกได้เงินจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดสูงกว่า MLB แต่ยังสู้ NBA และ NFL ไม่ได้
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเกิดขึ้นจากอะไร? โอเคล่ะ แม้สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เริ่มมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาในยุคไล่เลี่ยกันตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 แต่การตัดสินใจของ พีท โรเซลล์ คอมมิสชันเนอร์ของ NFL ในช่วงระหว่างปี 1960-1989 ที่ผลักดันให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันในทุกเกมของทุกทีมตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติหน้าที่ ก็ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันได้ชมเกมการแข่งขันมากขึ้นจนเกิดเป็นกระแสนิยม สถานีโทรทัศน์ต่างๆ ก็สามารถทำรายได้จากการถ่ายทอดสดเพิ่มมากขึ้น และเรื่องดังกล่าวก็ขยายรวมถึงกีฬาอื่นๆ ในประเทศด้วย
ขณะที่ในสหราชอาณาจักร ยุคทองของการถ่ายทอดสดกีฬาทางโทรทัศน์เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการถือกำเนิดของ พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 1992 ที่ทำให้มีเกมการแข่งขันฟุตบอลที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์มากขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็สูญเสียรายได้จากการถ่ายทอดสดในประเทศไปไม่น้อย เนื่องจากมีกฎตั้งแต่ยุค 1960 ที่ระบุว่า ห้ามมีการถ่ายทอดสด หรือ แบล็กเอาท์ (Blackout) เกมฟุตบอลที่แข่งระหว่างเวลา 14:45-17:15 น. ของวันเสาร์ เพื่อให้แฟนบอลออกไปชมเกมที่สนามเพิ่มขึ้น ทำให้ฟุตบอลอังกฤษสูญเสียรายได้ของการถ่ายทอดสดในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงที่มีเกมการแข่งขันมากที่สุดในแต่ละสัปดาห์ไป และผลจากการศึกษาหลายสำนักกลับพบว่า การห้ามถ่ายทอดสด ไม่มีผลสืบเนื่องต่อจำนวนผู้ชมในสนามอย่างเห็นได้ชัดแต่อย่างใด
2
หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นอเมริกันฟุตบอล NFL ที่แม้จะมีกฎตั้งแต่สมัยโบราณว่า จะไม่มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันในพื้นที่ 75 ไมล์ หรือ 121 กิโลเมตรจากสนาม แม้ NFL ได้อนุมัติให้มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันในทุกเกมแล้วก็ตาม แต่บรรดานักการเมืองในกรุงวอชิงตัน ดีซี รวมถึงประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ที่พลาดโอกาสได้ชมเกมของ วอชิงตัน เร้ดสกินส์ ในฤดูกาล 1972 ซึ่งสามารถเข้าไปถึงรอบเพลย์ออฟเป็นครั้งที่สองในรอบ 27 ปี ก็ได้ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลง จน พีท โรเซลล์ อนุมัติให้มีการทดลองยกเลิกกฎแบล็กเอาท์ในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 7 ซึ่งทำให้แฟนกีฬาในพื้นที่มหานครลอสแองเจลิส สถานที่จัดการแข่งขันได้ชมการถ่ายทอดสด
2
ทว่าสภาคองเกรสไม่รออีกต่อไป ผ่านกฎหมายที่อนุมัติการยกเลิกแบล็กเอาท์ได้ หากเกมนั้นทีมเจ้าบ้านขายตั๋วหมดก่อนการแข่งขัน ก่อนที่คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (Federal Communications Commission - FCC) ได้ลงมติเมื่อเดือนกันยายน 2014 ให้ยุติคำสั่งแบล็กเอาท์ ทำให้สามารถถ่ายทอดสดการแข่งขันได้ทุกเกมในทุกพื้นที่ ซึ่งแม้ทางโรเจอร์ กูเดลล์ คอมมิสชันเนอร์ NFL คนปัจจุบันจะกล่าวว่ายังต้องมีการศึกษาผลกระทบจากการยกเลิกคำสั่งแบล็กเอาท์ว่าไม่ส่งผลต่อจำนวนผู้ชมในสนามจริงหรือไม่ แต่ก็ได้คงคำสั่งงดการแบล็กเอาท์มาจนถึงทุกวันนี้
1
อีกสิ่งหนึ่งที่แม้จะดูไม่น่าเกี่ยวข้อง แต่กลับสอดคล้องกัน ก็คือธรรมชาติของอเมริกันเกมส์ เพราะอเมริกันฟุตบอล, บาสเกตบอล รวมถึงเบสบอลที่เป็นกีฬายอดนิยมของสหรัฐอเมริกา ล้วนเป็นการแข่งขันที่มีการหยุดเล่นชั่วครั้งชั่วคราวอยู่บ่อยๆ แถมเวลาในการหยุดดังกล่าวยังมากพอที่จะสอดแทรกโฆษณาคั่นกลางได้โดยไม่เสียอรรถรสการรับชม โฆษณาระหว่างการแข่งขันจึงเป็นอีกช่วงเวลาทองในการหารายได้ของสถานีโทรทัศน์ ซึ่งสามารถทำเงินได้หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในแต่ละปีเพียงแค่จากช่องทางนี้เพียงช่องทางเดียว เกม NFL บางนัดมีโฆษณาตลอดทั้งการแข่งขันมากกว่า 150 ตัวเลยด้วยซ้ำ
1
ส่วนฟุตบอลนั้น มีธรรมชาติของเกมที่ไหลลื่นกว่า การตัดโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสดนั้นกลายเป็นการเบรกจังหวะเกมจนเสียอรรถรส และยังอาจพลาดจังหวะสำคัญของเกม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการเบรกโฆษณาระหว่างการแข่งขันน้อยมาก โฆษณาส่วนใหญ่จึงมักมีในช่วงก่อนแข่งขัน, พักครึ่งเวลา รวมถึงจบเกมแล้วเท่านั้น
ขนาดประชากรที่แตกต่าง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ NFL หรือ NBA มีค่าลิขสิทธิ์ที่พุ่งสูงยิ่งกว่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อันเป็นลีกมูลค่าสูงสุดของโลก คือขนาดของตลาดลูกค้า ที่แตกต่างกัน
สหรัฐอเมริกา มีจำนวนประชากรถึง 327,167,434 คน จากข้อมูลในปี 2018 เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ขณะที่อังกฤษ มีจำนวนประชากรประมาณ 55,619,400 คน น้อยกว่าสหรัฐฯ ประมาณ 6 เท่า
หรือต่อให้เพิ่มจำนวนประชากรของลีกฟุตบอลยักษ์ใหญ่ อย่างเยอรมัน, ฝรั่งเศส, สเปน และอิตาลี ตัวเลขประชากรรวมกัน ยังได้เพียง 312,699,287 คน ซึ่งน้อยกว่าประชาชน จากแดนมะกันอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ เท่ากับว่ากีฬาอเมริกันเกมส์ จึงมีฐานแฟนมหาศาล เพียงเฉพาะแค่ในประเทศ ก็มาพอที่จะดึงดูดค่าลิขสิทธิ์ เข้าสู่ลีกได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ฝั่งยุโรป จำนวนประชากร ไม่ได้มีตัวเลขเยอะ แบบนั้น ด้วยฐานประชากรที่น้อยกว่าหลายเท่าตัว จึงถือเป็นข้อเสียเปรียบ ของกีฬาฟุตบอล ตั้งแต่เริ่มต้น หากเทียบกับกีฬาในประเทศสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ไม่ได้หมายความว่า ประชากรทุกคนจะต้องเป็นแฟนกีฬา Global Web Index เว็บเก็บสถิติข้อมูล ได้เก็บสถิติผู้ชมพรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2015 ในประเทศอังกฤษ และพบว่า มีประชากร เพียง 46 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ชมฟุตบอล ผ่านการถ่ายทอดสด
ในขณะที่ Global Web Index ได้เก็บสถิติ ผู้ชมของ NFL ในปี 2015 เช่นเดียวกัน และพบว่า แฟน NFL ในสหรัฐอเมริกา มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ รับชมการแข่งขันผ่านการถ่ายทอดสด
พฤติกรรมการรับชมฟุตบอล ของคนยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ชอบเข้าสนามบอล มากกว่าดูเกมผ่านโทรทัศน์ แตกต่างจากชาวอเมริกันที่ไม่มีปัญหา กับการรับชมเกมผ่านทางจอตู้ ยิ่งทำให้จำนวนผู้ชม ของเกมการแข่งขัน แตกต่างกันมากขึ้นไปอีก จากตัวเลขประชากร ที่ต่างกันมาอยู่แล้ว
ซึ่งในจุดนี้ส่งผลโดยตรงกับค่าลิขสิทธิ์ ถ่ายทอดสดอย่าเลี่ยงไม่ได้ เพราะยิ่งมีผู้ชมมากเท่าไหร่ ค่าลิขสิทธิ์ก็ยิ่งมากเท่านั้น สปอนเซอร์ที่เข้ามาสนับสนุน ก็เช่นเดียวกัน
ด้วยตัวเลขประชากร ที่แตกต่าง บวกกับพฤติกรรมการรับชมเกม ที่แตกต่างกันไปอีก ทำให้ฟุตบอลของฝั่งยุโรป จึงต้องยอมรับว่า พวกเขามีแต้มต่อ ที่น้อยกว่าอเมริกันเกมส์ มาตั้งแต่เริ่มออกจากจุดสตาร์ทเสียด้วยซ้ำ
สหภาพผู้เล่น ... เครื่องต่อรองสำคัญ
แม้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดจะมีมูลค่ามหาศาล แต่หากไม่มีสหภาพผู้เล่นแล้ว เชื่อได้เลยว่าเหล่านักกีฬาอเมริกันเกมส์ จะไม่ได้ค่าเหนื่อยสูงขนาดนี้ เพราะสหภาพผู้เล่น ถือเป็นอีกภาคส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการเจรจาส่วนแบ่งค่าเหนื่อยกับทางเจ้าของทีมให้เกิดความยุติธรรมสำหรับพวกเขาในชื่อ ความตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน (Collective Bargaining Agreement - CBA) ยิ่งเวลาผ่านไป รายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดสูงขึ้น การเรียกร้องของเหล่าผู้เล่นจึงหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆ อย่างสุขภาพ, ความปลอดภัย ฯลฯ ตามไปด้วย ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตคือ การตกลงผลประโยชน์ร่วมกันที่สหภาพผู้เล่นทำร่วมกับเจ้าของทีมนั้น จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเสมอ ส่วนวงการฟุตบอลนั้น แม้จะมีสหภาพผู้เล่นอย่าง สหพันธ์นักฟุตบอลอาชีพโลก หรือ ฟิฟโปร (FIFPro) และ สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ (Professional Footballers' Association - PFA) แต่ความเข้มข้นในการเจรจาต่อรองผลประโยชน์นั้นยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับฝั่งอเมริกันเกมส์
ซึ่งหากตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ ผู้เล่นก็จะงัดมาตรการ ล็อกเอาท์ (Lockout) เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายร่วมกันเจรจาหาข้อยุติให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งในระหว่างการล็อกเอาท์ กิจกรรมทุกอย่างของการแข่งขันจะถูกหยุดพักทั้งฝั่งทีม และผู้เล่นจนกว่าจะหาข้อตกลงร่วมกันได้ และหากเกิดความล่าช้าจนไม่ทันเปิดฤดูกาล การแข่งขันก็จะเริ่มต้นไม่ได้เช่นกัน ทำให้ฤดูกาลต้องถูกตัดทอนให้สั้นลงจากกำหนดการปกติ
เหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้วใน NBA ฤดูกาล 1998-99 ซึ่งเหลือการแข่งขันฤดูกาลปกติเพียง 50 นัดต่อทีม และฤดูกาล 2011-12 ที่เหลือเพียง 66 นัดต่อทีม จากที่ปกติจะมีแข่งขันกันทั้งสิ้น 82 นัดต่อทีม ซึ่งสาเหตุของการล็อกเอาท์ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นจากการตกลงกันไม่ได้ของฝ่ายสหภาพผู้เล่นและเจ้าของทีม เมื่อเจ้าของทีมต้องการลดส่วนแบ่งรายได้ของผู้เล่นลงจนเหลือน้อยกว่า 50% โดยอ้างว่าผลประกอบการของทีมส่วนใหญ่ขาดทุน ขณะที่ฝั่งผู้เล่นต้องการให้ส่วนแบ่งรายได้ของตัวเองมีมากกว่า 50% เช่นเดิม โดยอ้างว่าพวกเขาสมควรได้ผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากมูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่สูงขึ้น
ทว่าการล็อกเอาท์ดังกล่าวก็ส่งผลกระทบกับทุกฝ่าย เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ฝั่งผู้เล่นก็ต้องสูญเสียรายได้ไปไม่น้อย เนื่องจากจะไม่มีการจ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่น ส่วนฝั่งทีม แน่นอนว่าการที่ไม่มีโปรแกรมแข่งขัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถโกยรายได้จากบัตรเข้าชม, การถ่ายทอดสด ฯลฯ เหมือนที่เคย ซึ่ง ฟอร์บส รายงานว่าเหตุการณ์ล็อกเอาท์ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2011 ทำให้ทาง NBA ต้องสูญเสียรายได้ไปมากกว่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
ความเท่าเทียมที่ใกล้เคียง
คราวนี้เราขอย้อนมาลงลึกในรายละเอียดของนักกีฬาที่ทำรายได้มากที่สุด 100 อันดับแรกของปี 2018 ของ ฟอร์บส กันอีกซักครั้ง เพราะจำนวนนักกีฬาที่เป็นตัวแทนจากลีกต่างๆ คืออีกสิ่งน่าสนใจที่ไม่อาจมองข้าม
ซึ่งสิ่งที่ทำให้นักกีฬาอเมริกันสามารถทำเงินจากค่าเหนื่อยได้ใกล้เคียงกันมากขึ้น แม้ฝีมือและชื่อเสียงจะไม่เท่ากัน ก็คือการมีอยู่ของ เพดานค่าเหนื่อย หรือ ซาลารี่ แคป (Salary Cap) ที่แม้จุดประสงค์หลักจะมีขึ้นเพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินของทีมต่างๆ ให้มีความใกล้เคียงกัน รวมถึบสนับสนุนการแข่งขันของทีมต่างๆ ให้มีความสูสีมากขึ้น เพราะทีมที่มีเพดาน หรือ แคป เหลือเยอะ ก็สามารถทุ่มเงินจ้างสตาร์ดังๆ จากทีมอื่นเพื่อพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งขึ้น ส่วนทีมที่ต้องการสร้าง “ซูเปอร์ทีม” รวมดาวดัง ก็ต้องตกลงสัญญากับผู้เล่นให้ยอมลดค่าจ้างที่ควรจะได้รับให้ได้ เพื่อเพิ่มแคปให้มากพอที่จะจ้างสตาร์ดังคนอื่นๆ ขณะที่ทีมซึ่งเหลือแคปน้อย ก็จำเป็นต้องปล่อยผู้เล่นที่ได้รับค่าเหนื่อยแพงๆ ออก เพื่อไม่ให้ใช้จ่ายเกินแคป ซึ่งจะทำให้มีบทลงโทษตามมาอย่างการปรับเงิน หรือแม้กระทั่งห้ามเซ็นสัญญาผู้เล่นใหม่จนกว่าจะลดค่าใช้จ่ายให้ได้ตามที่กำหนดไว้
แต่ขณะเดียวกัน ทางลีกของอเมริกัน เกมส์ ก็ไม่ต้องการให้ผู้เล่นระดับล่างหรือน้อยประสบการณ์ได้รับค่าเหนื่อยที่น้อยเกินควร รวมถึงไม่ต้องการให้ทีมลดต้นทุนด้านค่าเหนื่อยจนเกินงาม พวกเขาจึงได้กำหนด เพดานค่าเหนื่อยขั้นต่ำ หรือ ซาลารี่ ฟลอร์ (Salary Floor) รวมถึง ค่าเหนื่อยขั้นต่ำ (Minimum Salary) เพื่อให้แต่ละทีมต้องใช้เงินขั้นต่ำตามที่กำหนด
1
นโยบายดังกล่าวยังได้สะท้อนผ่านผลการศึกษา Global Sports Salaries Survey ที่จัดทำโดย Sporting Intelligence เมื่อปี 2017 ซึ่งระบุว่า NBA คือลีกที่มีค่าเหนื่อยเฉลี่ยของนักกีฬามากที่สุดใน 4 ลีกกีฬาใหญ่ของ 4 ชนิดกีฬาที่ 7,147,217 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี รองลงมาคือ MLB ที่ 4,468,069 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี ตามมาด้วย พรีเมียร์ลีก ที่ 3,435,261 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี และ NFL ที่ 2,700,768 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผู้เล่นใน NBA มีค่าเหนื่อยเฉลี่ยที่สูงที่สุด ทั้งที่มีการจ่ายค่าเหนื่อยรวมเป็นอันดับสองที่ 3,159,069,802 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ก็เพราะว่าลีกนี้มีผู้เล่นที่เป็นทรัพยากรหมุนเวียนในทีมชุดใหญ่ของทุกทีมน้อยสุดที่ 442 คน ขณะที่ MLB แม้จำนวนผู้เล่นชุดใหญ่ของทุกทีมรวมกันจะมี 868 คน มากกว่า พรีเมียร์ ลีก ซึ่งมี 522 คน แต่การจ่ายค่าเหนื่อยรวมที่มากกว่า ทำให้อันดับของ MLB สูงกว่า ส่วน NFL ที่มีค่าเฉลี่ยเงินเดือนของนักกีฬาน้อยสุดใน 4 ลีกนี้ ทั้งๆ ที่จ่ายค่าเหนื่อยมากที่สุดถึง 4,580,501,744 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ก็เนื่องจากพวกเขามีผู้เล่นชุดใหญ่ของทุกทีมรวมกันมากสุดถึง 1,696 คน
อีกตัวเลขที่น่าสนใจคือ สัดส่วนการใช้เงินระหว่างทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่นสูงสุดในลีก กับทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่นต่ำสุดในลีก ซึ่ง NFL มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันที่สุดในบรรดา 4 ลีกดังที่ 1.4:1 รองลงมาคือ NBA ที่ 2.2:1 ขณะที่ พรีเมียร์ลีก ซึ่งมีสัดส่วน 5.1:1 และ MLB ที่ 6.2:1 ถือเป็นลีกที่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างทีมเศรษฐีกับทีมเงินน้อยสูงมาก
2
ซึ่งสัดส่วนค่าเหนื่อยระหว่างทีมที่ใกล้เคียงกัน นอกจากจะเป็นตัวชี้วัดว่าแต่ละทีมมีการใช้เงินที่ใกล้เคียงกันแล้ว ยังสะท้อนถึงความเท่าเทียมที่ใกล้เคียงทั้งในส่วนของผู้เล่นและทีมในส่วนของการจ้างนักกีฬา และทำให้การแข่งขันมีความสูสีกันมากขึ้นอีกด้วย
1
ทิศทางในอนาคต
สำหรับคำถามที่ว่า ทิศทางค่าเหนื่อยของนักกีฬาจากลีกต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางใด ผลจาก Global Sports Salaries Survey ซึ่งได้สำรวจเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2010 ก็ทำให้แฟนกีฬาฟุตบอลต้องตะลึงอีกครั้ง
เพราะเมื่อนำผลการศึกษาจากปี 2014 ซึ่งเป็นปีแรกสุดที่ทาง Sporting Intelligence ได้ปล่อยรายงานฉบับเต็มออกมา เทียบกับของปี 2017 ก็จะพบว่า นักฟุตบอล พรีเมียร์ลีก มีค่าเหนื่อยเฉลี่ยแทบจะไม่ต่างจากเดิมเลย โดยจากปี 2014 ซึ่งได้ที่ 3,453,779 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี มาปี 2017 กลับลดลงมาเล็กน้อยด้วยซ้ำ ขณะที่ฟุตบอลลีกอื่นๆ ของยุโรปอย่าง ลาลีกา สเปน, บุนเดสลีกา เยอรมัน และ กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ต่างมีค่าเหนื่อยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ซึ่งต่างกับฝั่งอเมริกันเกมส์ แบบคนละเรื่อง เพราะค่าเหนื่อยเฉลี่ยของนักกีฬาอเมริกันมีแต่จะพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง NBA ที่พุ่งขึ้นจาก 4,522,283 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปีเมื่อปี 2014 แบบก้าวกระโดดเกือบเท่าตัว
ยิ่งไปกว่านั้น สัดส่วนการใช้เงินระหว่างทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่นสูงสุดในลีก กับทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่นต่ำสุดในลีกของลีกกีฬาจากสหรัฐอเมริกายังค่อยๆ ลดลง เกิดความสูสีระหว่างทีมต่างๆ มากขึ้น (ยกเว้น MLB ซึ่งไม่มีเพดานค่าเหนื่อย) ขณะที่ฟุตบอลลีกดังๆ ของยุโรป หากแทบไม่มีความแตกต่างในทางที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเช่น ลา ลีกา ลีกอื่นๆ ก็มีแต่ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น รวมถึง พรีเมียร์ลีก ด้วย
ที่สุดแล้วคงสามารถสรุปได้ว่า ดัวยลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่มีมูลค่ามหาศาลต่างกันอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงความเหลื่อมล้ำในการจ่ายค่าเหนื่อยระหว่างทีมต่างๆ ที่สูง ทำให้แม้นักฟุตบอลอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ จะทำรายได้มากที่สุดของโลกในแต่ละปี แต่โดยรวมแล้วนักกีฬาอเมริกัน เกมส์ ยังมีรายได้ที่สูงกว่า มีนักกีฬาที่สามารถทำเงินได้เกินปีละ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากมาย ซึ่งหากไม่มีการปรับปรุงความเหลื่อมล้ำให้มีความใกล้เคียงกันยิ่งขึ้น หรือแม้กระทั่งการเพิ่มรายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด โอกาสที่นักฟุตบอลจะแซงหน้านักกีฬาอเมริกัน เกมส์ ก็ดูจะเป็นเรื่องยากจริงๆ
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา