7 ก.ค. 2019 เวลา 12:23 • ประวัติศาสตร์
EP3. ประวัติศาสตร์ "น้ำตาลทราย" ที่ขมขื่น!
ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าเครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ รวมไปถึงขนมหวานต่างๆล้วนแล้วแต่ต้องมีส่วนผสมของน้ำตาลทรายเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ทุกคนรู้ไหมครับว่าฉากหลังของน้ำตาลทรายสีขาวบริสุทธิ์ที่เรารับประทานกันทุกวันนี้จะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แสนเจ็บปวดของชาวแอฟริกันนับล้านซ่อนอยู่ ผมจะพาทุกๆคนไปย้อนอดีตไปดูประวัติศาสตร์แสนเศร้าของน้ำตาลทรายกันครับ
การจับตัวชาวแอฟริกัน ไปขายเป็นทาส
1. น้ำตาลทรายเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์ที่เรารับประทานกันในทุกวันนี้คือน้ำตาล sucrose ครับ น้ำตาลชนิดนี้ประกอบจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวสองชนิดต่อกันคือ glucose (ร่างกายใช้เป็นพลังงานหลัก) กับ fructose (อาหารเลี้ยงอสุจิและดอกไม้ใช้ล่อแมลง) ซึ่งน้ำตาล sucrose นี้สามารถสกัดได้จากท่อลำเลียงอาหารของพืช (phloem) ทุกชนิดครับ
3
2. ส่วนมากการผลิตน้ำตาลจะใช้ “ต้นอ้อย” เป็นหลักเพราะว่าท่อลำเลียงของอ้อยมีน้ำตาล sucrose ที่เข้มข้นและปริมาณมากกว่าพืชชนิดอื่นๆ (20-25% ของน้ำหนัก) ปลูกง่าย โตเร็ว ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ยอดเยี่ยม แถมถ้าเราตัดต้นอ้อยแล้วเหลือตอไว้ มันก็งอกใหม่ได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีรากอยู่ (ไม่ต้องปลูกใหม่)
ต้นอ้อย
3. เดิมต้นอ้อยมีถิ่นกำเนิดที่ปาปัวนิวกินี ชาวโปลินีเซียนได้นำต้นอ้อยกระจายไปทั่วหมู่เกาะแปซิฟิกรวมไปจนถึงประเทศอินเดีย ต่อมาราวๆคริสตวรรษที่ 2 ชาวอินเดียได้ค้นพบเทคนิคการผลิตน้ำตาลทราย (นำน้ำอ้อยมาทำเป็นผลึก) ซึ่งทำให้น้ำตาลเก็บรักษาได้ง่าย พกพาสะดวก ไม่เน่าเสีย และทำให้น้ำตาลทรายเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของชาวอินเดีย คำว่า “sugar” มาจากภาษาสันสกฤตคำว่า “sarkara” ซึ่งแปลว่าก้อนกรวด ในภาษาอาราบิกเรียกน้ำตาลทรายว่า “al-sukar”
2
การแพร่กระจายของการปลูกอ้อย
4. การค้าขายผ่านของพ่อค้าชาวอินเดียกับชาวอาหรับทำให้เทคนิคการปลูกอ้อยและการทำน้ำตาลเข้าสู่โลกมุสลิม และพระสงฆ์ที่เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาที่ประเทศจีนช่วงราชวงศ์ถังในรัชสมัยของถังไท่จงฮ่องเต้ (เหตุการณ์ก่อนไซอิ๋ว) ได้นำอ้อยและเทคนิคการทำน้ำตาลทรายไปพร้อมๆกับศาสนาพุทธ น้ำตาลทรายจึงเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมอาหารและเครื่องดื่มของชาวจีนและชาวตะวันออกกลางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในขณะที่ชาวยุโรปยังให้น้ำผึ้ง
3
5. ในช่วงยุคกลางนักรบครูเสดได้นำน้ำตาลกลับจากโลกอาหรับไปยังยุโรป โดยผ่านการค้าขายผ่านพ่อค้าคนกลางในเวนิส เวนิสจึงได้ผูกขาดการค้าน้ำตาลทราย พร้อมกับการค้าขายเครื่องเทศต่างๆตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี ทำให้น้ำตาลทรายราคาพุ่งสูงมากในยุโรป โดยเฉพาะที่ประเทศอังกฤษน้ำตาลเป็นของหรูหราและฟุ่มเฟือยมาก (คนชั้นสูงใส่ชาและขนมต่างๆ) จนทำให้น้ำตาลทรายมีชื่อหนึ่งว่า “white gold”
2
6. จนมาถึงกลางศตวรรษ์ที่ 15 ธุรกิจผูกขาดการค้าน้ำตาลทรายของเวนิสได้จบลงพร้อมกับการเดินทางออมแหลมกู๊ดโฮปเพื่อไปสู่อินเดียของชาวโปรตุเกส (Vasco Da Gama) และการค้นพบทวีปอเมริกาของ Christopher Columbus และการเดินทางครั้งที่สองของ Columbus นั้นได้นำ ”ต้นอ้อย” (ตัวละครสำคัญของเรา) ไปยังโลกใหม่ และแล้วเส้นทางที่จะนำไปสู่โศกนาฎกรรมต่อเนื่องได้เริ่มต้นขึ้น
3
การเดินทางของ Vasgo da Gama
เส้นทางการเดินทางของ Columbus
7. “ต้นอ้อย” สามารถโตได้ดีนอกถิ่นกำเนิด ไม่เหมือนเครื่องเทศอื่นที่เวนิสผูกขาดการค้าที่จะปลูกได้เฉพาะถิ่นกำเนิดของมันเท่านั้น (กานพลู จันทน์เทศ พริกไทย) เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวยุโรปนำโดยชาวสเปนและโปรตุเกสเริ่มนำต้นอ้อยไปปลูกบน “โลกใหม่” (ทวีปอเมริกา) ไม่ว่าจะเป็นหมู่เกาะเวสอินเดียส จาไมก้า บราซิล ไปจนถึงอเมริกาเหนือ
8.โศกนาฏกรรมฉากที่1 ในตอนแรกชาวยุโรปไปถึงโลกใหม่ ได้ทำการปล้นฆ่าเพื่อชิงทรัพย์สินโดยเฉพาะทองคำของคนท้องถิ่น และรุกรานที่ดินของชนพื้นเมืองเพื่อทำการเกษตร การกวาดต้อนคนท้องถิ่นมาเป็นทาสทำในไร้อ้อยและทำเหมืองทองคำ ทำตั้งแต่ตะวันขึ้นจนถึงดึกแบบไม่มีพัก และโรคระบาด (ฝีดาษ กาฬโรค) ที่ชาวยุโรปนำไปทวีปใหม่ ทำให้คนท้องถิ่นเสียชีวิตประมาณ 80%ของประชากร (อรายะธรรม Aztec ถึงกับล่มสลาย) แรงงานจึงไปพอเพียง จะนำชาวยุโรปมาทำไร่ที่ทวีปใหม่ก็ต้องจ้างด้วยค่าแรงถึงแม้ไม่มากนักแต่ก็ยังคงมีต้นทุนอยู่ดี(แรงงานจากทาสไม่มีต้นทุน) เค้าลางโศกนาฎกรรมฉากที่สองจึงเริ่มต้นขึ้น
1
สงครามระหว่างชาวสเปนกับชาวแอซเทค
9. ก่อนการมาถึงของชาวโปรตุเกส การค้าทาสเป็นเรื่องปกติในทวีปแอฟริกา ทาสส่วนมากมาจากเชลยศึก และนักโทษที่ทำผิดกฏกหมาย การมาถึงของชาวยุโรปได้ทำการซื้อขายทาสผิวสีเหล่านั้นกับสินค้าที่มาจากยุโรปโดยเฉพาะปืนไฟ ในระยะแรกจำนวนทาสที่ซื้อขายเพียงพอต่อความต้องการของชาวยุโรปเพื่อนำไปทำไร่อ้อย ต่อมาภายหลังชาวอังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศส รวมไปถึงประเทศอื่นๆได้กระโดดมาเป็นผู้เล่นในทำธุระกิจนี้ด้วย ด้วยสาเหตุนี้เองทาสที่เป็นนักโทษและเชลยศึกจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ
1
เส้นทางการค้าทาส transatlantic
10. ธุรกิจการค้าทาสจึงเริ่มต้นขึ้นจาก ชาวแอฟริกันที่แถบชายฝั่งตะวันตกของทวีปจึงทำตัวเป็น “นายพรานล่ามนุษย์” ตอนแรกเริ่มจากการจับชนเผ่าคู่อริมาเป็นทาส ต่อมาจึงลามไปจนถึงการลักพาตัวชนเผ่าที่เป็นคู่แข่ง ไม่แม้กระทั่งเผ่าที่เป็นพันธมิตร สาเหตุที่ต้องเป็นเช่นนั้นเนื่องจากถ้าไม่มีทาสมาให้ชาวยุโรป ชาวยุโรปจะจับชนเผ่าของพวกตนเองไปเป็นทาส (โหดมาก) หลังจากที่จับจนหมด การลักพาตัวแบบไม่เลือกหน้าเลือกหน้าจึงเกิดขึ้น แต่ความต้องการต่อแรงงานทาสที่ไร้ต้นทุนของชาวยุโรปก็ยังไม่เพียงพอ นักค้าทาสก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณการกันว่ามีชาวแอฟริกันถูกจับไปเป็นทาสประมาณ 15 ล้านคน !!! ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 15 จนถึง ต้นศตวรรษที่ 18 ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 300 ปี ทำให้เกิดการถ่ายโอนประชากรขนาดมหึมาระหว่างทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา ทั้งหมดนี่เพราะความต้องการน้ำตาลทรายที่ไม่สิ้นสุดของชาวยุโรป
การล่าทาสผิวสีโดยชาวแอฟริกันด้วยกันเอง
นี่คือประวัติศาสตร์เบื้องหลังของน้ำตาลทรายที่เรากินกัน สำหรับตอนถัดไปผมจะเล่าถึงขั้นตอนล่าทาส และเส้นทางการขนส่งทาสจากแอฟริกาข้ามหาสมุทรแอตแลนติกที่กว้างใหญ่จนไปถึงทวีปอเมริกา และชีวิตทาสผิวดำในทวีปอเมริกาครับ
By lazybio
เปิดประสบการณ์หม่ในการเรียน ชีวะ-เคมี
สามารถ add QR code สอบถามรายละเอียดได้เลยนะครับ
EP1. ทำไมเราชอบทานเผ็ด
EP2. ทำไมเราชอบหวาน
references
หนังสือ Napolean's bottons
โฆษณา