14 ก.ค. 2019 เวลา 05:34 • ประวัติศาสตร์
การค้าทาส : ทาสผิวขาว ตอนที่ 2 : นายทุนโจร การเติบโตของบริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกา เกิดจากแรงงานทาสทั้งสิ้น ...
สินค้าสีขาว” (white cargo) ที่ถูกส่งไปจากยุโรปประกอบด้วยบุคคล 5 กลุ่ม ดังนี้ :
1. กลุ่มแรกที่ถูกส่งขึ้นเรือในฐานะสินค้าคือ “เด็กยากจน” ในปี ค.ศ. 1618 (พ.ศ. 2161) เจ้าหน้าที่ของนครลอนดอนได้ออกกวาดจับเด็กๆ ในสลัมท่ามกลางการประท้วงของตัวเด็กเองและครอบครัว พวกเขาถูกส่งไปยังพื้นที่ที่ในปัจจุบันเรียกว่า “เวอร์จิเนีย” การไล่ล่าสินค้าผิวขาวกลุ่มแรกนี้มีคนรวยอยู่เบื้องหลัง พวงเขาอ้างว่าพวกเขากําลังทํางานการกุศลโดยเปิด โอกาสให้เด็กยากจนและอดอยากได้มีโอกาสเริ่มชีวิตใหม่ในอเมริกา เด็กถูก ขายให้เกษตรกรเพื่อทํางานในไร่และร้อยละ 50 เสียชีวิตภายในปีแรก การส่งเด็กไปทํางานในอเมริกาดําเนินอยู่หลายสิบปีทั้งจากอังกฤษและต่อมาจากไอร์แลนด์ จํานวนมากยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เมียของชาวไร่คนหนึ่งซึ่ง “นําเข้า” เด็กชาวไอริช 4 คน แสดงความสงสัยว่าทําไมสามีซื้อเด็กมาเป็น คนใช้เพราะเด็กที่ซื้อมายังเล็กมาก (อังกฤษเคยส่งเด็กจํานวนมากไปทํางาน ในไร่ส้มที่ออสเตรเลียด้วย
2. กลุ่มที่สองที่ถูกเนรเทศได้แก่คนชั้นต่ําและอาชญากรสถานเบา ซึ่งคนชั้นสูงต้องการกําจัดนักโทษ 50,000 – 70,000 คนถูกส่งไปเวอร์จิเนีย แมริแลนด์ บาร์บาดอสและอื่น ๆ ก่อนปี ค.ศ. 1776 (พ.ศ.2319) นอกจาก นักโทษแล้ว ผู้ใดก็ตามที่ไม่เป็นที่ปรารถนาของสังคมอังกฤษก็ถูกส่งไปเป็น “คนใช้ตามสัญญา” ด้วย ตัวอย่างเช่น คนขอทาน โสเภณีและคนในคริสต์ ศาสนานิกายอื่นที่ไม่ใช่ “นิกายอังกฤษ” (Church of England)
3. อังกฤษได้ยึดเกาะไอร์แลนด์เป็นอาณานิคมและปฏิบัติต่อชาวไอริชอย่างเลวร้าย ชาวอังกฤษทั้งแย่งชิงที่ดินการเกษตร ทั้งกดขี่ข่มเหง เมื่อถูกต่อต้านก็เข่นฆ่าสังหารอย่างแบบล้างเผ่าพันธุ์ ชาวไอริชที่ถูกแย่งที่ดิน ที่ยากจนและถูกจับเพราะต่อสู้ขัดขึ้นทั้งชาย หญิงและเด็กก็ถูกบังคับ ให้เป็น “แรงงานทาส” ในอเมริกาตลอดกว่า 100 ปี
4. เมื่อนักโทษ โสเภณี เด็กยากจนหรือผู้ที่สังคมไม่ต้องการหายาก ขึ้น การลักพาตัวเพื่อส่งไปขายก็เกิดขึ้นเพื่อสนองความกระหายในแรงงาน ราคาถูกของนายทุนในอาณานิคม เมื่อถึงกลางศตวรรษที่ 17 ธุรกิจลักพาตัว ก็เฟื่องฟู ค่าหัวสําหรับการลักพาตัวชายที่แข็งแรงคือ 2 ปอนด์และนั่นทําให้ เกิดการลักพาตัวถึงประมาณ 10,000 คนต่อปี
5. กลุ่มสุดท้ายได้แก่ผู้ที่ต้องการหนีความยากจนและกดขี่ข่มเหง และต้องการไปเริ่มชีวิตใหม่ พวกเขายอมเซ็นสัญญาเป็น “คนใช้ตามสัญญา เพื่อแลกกับการโดยสารเรือโดยไม่เสียเงินและการได้ที่ดินแปลงหนึ่งเมื่อ หมดอายุสัญญา ระหว่างปี ค.ศ. 1620 - 1775 (พ.ศ. 2163 - 2318) สมัครใจเซ็นสัญญาซึ่งประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติมีจํานวนถึง 300,000 คน อย่างไรก็ตามเมื่อเดินทางไปถึง พวกเขามักพบว่าตนเองมีฐานะไม่ต่างจากทาส พวกเขาไม่มีสิทธิครอบครองทรัพย์สินและมีสิทธิอื่นๆ น้อยมาก แต่ก็สายเสียแล้ว การนําเรื่องขึ้นสู่ศาลก็มีโอกาสชนะน้อยมากเพราะ “ศาลถูกตั้งขึ้นโดยเจ้าของไร่และนายทุน”
ระบบ “คนใช้ตามสัญญา” เกิดขึ้นเพราะเป้าหมายทางเศรษฐกิจของชาวอาณานิคมชั้นนายทุนและคนชั้นสูงนั่นคือ “ต้นทุนต่ำสุดและกำไร” และนั่นทําให้ระบบนี้วิวัฒนาการไปสู่ “การค้าทาส” ทั้งผิวขาวและผิวดำ รวมถึง “การเพาะพันธุ์ทาส” เพื่อขายในสหรัฐฯ
ในเวลาต่อมา ชาวอาณานิคม คนหนึ่งชื่อเดเนียล เดอโฟ (Daniel De Foe) เขียนไว้ในศตวรรษที่ 17 (พ.ศ. 2243) ว่า “คนใช้ตามสัญญาควรถูกเรียกว่าทาสจึงจะถูกต้อง ทาส คือ “ทาส” เมื่อการส่งคนที่สังคมไม่ต้องการไปอเมริกาต้องชะลอลงหลังประกาศ อิสรภาพของอาณานิคม นักโทษชาวอังกฤษก็ทยอยถูกเนรเทศไปสู่ทวีป ออสเตรเลียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1788 (พ.ศ. 2331)
คนชั้นสูงชาวคริสเตียนในสมัยนั้นมักตีความศาสนาของตนว่า พวกเขาร่ำารวยเพราะพระเจ้าโปรดเพื่อสร้างความชอบธรรมต่อระบบ “ผู้ชนะได้หมด” (winner-take-all) ของเขา และยังอ้าง “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน สนับสนุนด้วย นอกจากนั้น พวกเขายังคิดว่าคนยากจนและ อ่อนแอเป็นภาระของสังคม
นักคิดชาวอังกฤษในสมัยนั้นชื่อ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ ถึงกับกล่าวว่า “การปกป้องผู้อ่อนแอโดยรัฐจะนําไปสู่ความพินาศ การปล่อยให้ผู้อ่อนแอถูกกําจัดตามธรรมชาติจะช่วยสร้างสังคมให้แข็งแกร่ง” ด้วยเหตุนั้น คนยากจนและคนชั้นต่ำจึงถูกนําไปเป็น “ทาสผิวขาว” ใน อเมริกา และนักโทษจึงถูกส่งขึ้นเรือไปปล่อยที่ออสเตรเลีย
ในสมัยต่อมา ความคิดนี้ก็ยังดํารงอยู่ จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ นายทุนโจรอเมริกัน เคยกล่าวว่า “การเติบโตของบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ก็เป็นเพียงเพื่อความ อยู่รอด ไม่ใช่ความชั่วร้าย มันเป็นเพียงธรรมชาติที่กําหนดขึ้นโดยพระเจ้า เท่านั้น” แม้ในปัจจุบัน คนชั้นนําชาวคริสเตียน เช่นนายมิต รอมนี (ผู้ชิง ตําแหน่งประธานาธิบดีกับบารัก โอบามา) ก็กล่าวว่า “คนยากจนต้อง รับผิดชอบในความยากจนของตนเอง”
ความคิดดังกล่าวปรากฏอย่างชัดเจน ในพรรครีพับลิกันซึ่งนิยมลัทธิอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neoconservativism) หรือ “ทุนนิยมคาวบอย” พวกเขามุ่งลดภาษีให้คนรวย ขายกิจการทุกชนิดให้เอกชน (นายทุน) และลดการช่วยเหลือคนชั้นกลางและคนยากจน
อนึ่ง ในสมัยล่าอาณานิคมพวกเขาก็ออกปล้นโลกด้วยข้ออ้างว่า มันเป็นภาระของคนผิวขาว (Whiteman’s Burdan) ที่จะต้องไปช่วยยกระดับการพัฒนาของประเทศที่ล้าหลังทั่วโลกและดึงให้พวกเขาไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์
1
ฝากกด Follow
Books Reference :
Don Jordan และ Michel Walsh, “White Cargo : The Forgotten History of Britain’ s White Slaves in America”, Mainstream Publishing Co., Ltd., Great Britain, 2007
Marcus Rediker, “The Slave Ship : A Human History” , John Murry (Pubishers), USA , 2007

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา