14 ก.ค. 2019 เวลา 16:03 • ประวัติศาสตร์
การค้าทาส : ทาสผิวดำ ตอนที่ 1 : โปรตุเกสบุกเบิกการค้าทาสแอฟริกัน โดยการค้าทาสเพื่อทํากําไรและใช้แรงงานอย่างทารุณ ...
ในศตวรรษที่ 15 วัฒนธรรมของชาวแอฟริกาไม่ได้ด้อยไปกว่าชาว ยุโรปแถมการพัฒนาสังคมเมืองยังก้าวหน้ากว่าในยุโรปด้วย ถนนของเมือง ที่รุ่งเรืองในแอฟริกามีความกว้างกว่าถนนในกรุงอัมสเตอดัม 7-8 เท่า วัฒนธรรม ของชาวแอฟริกาก็มีเรื่องของความโหดร้าย
การมีสิทธิพิเศษของชนชั้น การบูชายันต์ด้วยชีวิตคนในพิธีศาสนา มีการค้าขายทํากําไรรวมทั้งการค้าทองคํา ซึ่งมีเมืองเป็นศูนย์กลาง มีการเกษตรกรรมรวมทั้งการทอผ้า การทําเครื่อง ปั้นดินเผาและการแกะสลักที่โดดเด่น เมืองที่เป็นที่ประทับใจของชาวยุโรป ได้แก่เมือง “ทิมบุกตู” และ “มาลี” ทั้งสองเป็นเมืองที่มีการจัดตั้งอย่างดีและ มั่นคงแล้วขณะที่เมืองในยุโรปกําลังถูกพัฒนาให้ทันสมัย
นักเดินทางในปี ค.ศ.1662 และ ค.ศ.1680 (พ.ศ.2045 และ พ.ศ.2223) รายงานถึงราชอาณาจักรเบนินว่า เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และชาวเมืองมีธรรมชาติที่ดี ง่ายต่อการติดต่อและตกลง พวกเขาพร้อมที่จะเสนอของขวัญตอบแทนเป็นสองเท่าของที่ได้รับ
แอฟริกามีวัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนายแต่ไม่ใช่สังคมที่ประกอบด้วย ชนชั้นทาสเหมือนในนครรัฐกรีกหรือกรุงโรม แอฟริกามีกฎหมายและการ ลงโทษที่มีความเมตตาปรานีมากกว่ายุโรปโดยเฉพาะในเรื่องกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สิน
ซึ่งการละเมิดจะถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเด็ดขาดในยุโรป ในอังกฤษในปี 1740 (พ.ศ. 2283) เด็กอาจถูกแขวนคอสําหรับการขโมยผ้า เร็วที่ทําจากผ้าฝ้ายผืนเดียว ในคองโก การขโมยดังกล่าวจะถูกลงโทษเพียง สถานเบาเพราะการไม่เคร่งครัดในกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ชาวคองโกเน้นการอยู่ ร่วมกันของชุมชนมากกว่าปัจเจกนิยมหรือตัวใครตัวมัน
วัฒนธรรมแอฟริกันก็มีระบบทาสและนั่นทําให้ชาวยุโรปใช้เป็นความ ชอบธรรมในการค้าทาส ทั้งๆ ที่ทาสในแอฟริกามีฐานะเหมือน “คนรับใช้” ในยุโรป ซึ่งต่างกับชาวแอฟริกาที่ชาวยุโรปขนใส่ “เรือทาส” (Slave Ship) เหมือนขน “สัตว์” ไปใช้แรงงานในอเมริกา ในราชอาณาจักร “อชานติ” ทางแอฟริกาตะวันตก
ทาสมีสิทธิ์แต่งงาน มีสิทธิในทรัพย์สินและยังมีสิทธิครอบครองทาสรวมทั้งมีสิทธิเป็นพยานและรับมรดกของเจ้านายด้วยทาส ชาวอชานติ 9 ใน 10 มักถูกรับเข้าเป็นสมาชิกของครอบครัวและแต่งงาน ข้ามตระกูลโดยน้อยคนจะรู้เบื้องหลังของพวกเขา
โปรตุเกสซึ่งบุกเบิกการค้าขายทางฝั่งตะวันตกของแอฟริกาได้ส่งทาส กลุ่มแรกไปกรุงลิสบอนในปี 1441 (พ.ศ. 1954) ในระยะแรกการค้าทาสยัง ทําได้เฉพาะบริเวณชายฝั่งตะวันตกของทวีปเท่านั้น ต่อมาการสร้างทางรถไฟ ทําให้ชาวยุโรปเข้าถึงใจกลางของทวีปและสามารถยึดเอาทวีปอันกว้างใหญ่ เป็นอาณานิคมได้ทั้งหมด
สําหรับความคิดเห็นของชาวผิวขาวต่อชาวอัฟริกัน แม้ชาวผิวดําจะมีความประพฤติและวัฒนธรรมที่อ่อนโยนเอื้อเฟื้อและไม่โหดเหี้ยมเท่าชาวยุโรป พวกเขาก็เป็นที่รังเกียจและดูถูกตั้งแต่ก่อนจะมีการ ค้าทาสอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทาสชาวผิวดำ
ในศตวรรษที่ 16 พจนานุกรมอ๊อกฟอร์ดของ อังกฤษเปรียบเทียบคนผิวดํากับความสกปรก ป่าเถื่อน ต่ำต้อย ความตาย ความพินาศ ความน่ารังเกียจหรือ “ไม่เป็นมนุษย์” (unpeople) ทั้งๆ ที่เมื่อ เปรียบเทียบกันแล้ววัฒนธรรมของชาวแอฟริกันมีความเป็น “มนุษย์” มาก กว่าชาวศิวิไลซ์จากยุโรปด้วยซ้ำ
ในปี 1610 (พ.ศ. 2153) นักบวชคาทอลิกในอเมริกาชื่อหลวงพ่อ ซานโดวัล ได้เขียนจดหมายไปถามศาสนจักรในยุโรปว่าการจับ การขนส่ง และการใช้แรงงานทาสชาวแอฟริกันนั้นถูกกฎหมายและถูกต้องตามหลัก ศาสนาหรือไม่อย่างไร
คําตอบที่ได้จากหลวงพ่อหลุยส์ แบรนโดน โดยสรุป คือ :
“เรื่องนี้เคยถูกพิจารณาโดยคณะกรรมการแห่งคุณธรรมของกรุงลิสบอนซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีสติและความรู้สึกผิดชอบ พวกเขาไม่เคยเห็นว่า การค้าดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดหลักศาสนาและกฎหมาย หลวงพ่อจึงไม่ควรรู้สึกกระดากใจหรือลังเลในเรื่องนี้เลย”
คงจะเป็นระบบคุณธรรมและหลักศาสนาของชาวยุโรปนี่เอง การค้าทาสเพื่อทํากําไรและใช้แรงงานอย่างทารุณจึงเป็นไปอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยทาสแอฟริกันกลุ่มแรกจํานวน 20 คน ถูกส่งขึ้นบกที่เมืองเจมส์ทาวน์ โดยเรือของฮอลันดาในปี 1619 (พ.ศ. 2162) ในระยะแรก ฮอลันดาครองตลาดค้าทาสผิวดํา
แต่ต่อมาถูกแย่งชิงไปโดยอังกฤษ ในปี 1795 (พ.ศ. 2338) เมืองลิเวอร์พูลมีเรือสําหรับขนทาสโดยเฉพาะมากกว่า 100 ลำและอังกฤษ ครองตลาดค้าทาสถึงร้อยละ 50 พอถึงศตวรรษที่ 18 ชาวแอฟริกัน 10-12 ล้านคน ซึ่งหนึ่งในสามเป็นผู้หญิงก็ถูกนําไปขายในทวีปอเมริกาและนันเป็น จํานวนเพียง 1 ใน 3 ของจํานวนทั้งหมดที่ถูกล่าเป็นทาสเท่านั้น ส่วนที่ เหลือถูกส่งไปทําการเกษตรตามหมู่เกาะอินเดียตะวันตกและที่อื่นๆ
มีการ ประเมินว่าทวีปแอฟริกาสูญเสียพลเมืองที่เป็นคนหนุ่มคนสาวและเด็กที่ แข็งแรงไปถึง 50 ล้านคนให้กับการเป็นทาสและความตายเพื่อจุดประกาย ความเบ่งบานให้วัฒนธรรมตะวันตก (Western civilization) โดยทาส แต่ละคนมีอายุใช้งานอย่างทารุณโหดร้ายไร้มนุษย์ธรรมโดยเฉลี่ยเพื่อ "กำไรสูงสุดและต้นทุนต่ำสุด" เพียงแค่ 7 ปี เท่านั้น...
รอติดตามตอนที่ 2 ...
ฝากกดติดตามเพจเราด้วยนะครับ
ฝากกด Follow
:: Books Reference ::
- Glenn Greenwald, “With Liberty and Justice : How The Law Is Used to Destroy Equality and Protect the Powerful”, Picador. New York, 2011, เกลนฯ เป็นนักเขียน หนังสือขายดีและได้รับเลือกจากนิตยสารแอตแลนติก
- Howard Zinn, “A People's History of the United States, 1492-Present” HarperCollins Publishers, New York, 2005, โฮเวิร์ดฯ เป็นศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยบอสตัน
- Niall Ferguson, “Civilization”, Penguin Group, USA, 2011, ในอัลล์ฯ เป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์สากล ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา