15 ก.ค. 2019 เวลา 20:13 • ประวัติศาสตร์
การค้าทาส : ทาสผิวดำ ตอนที่ 2 : ชาวยุโรปค้าทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ที่สร้างกําไรให้อย่างมหาศาลได้แก่ “การค้ามนุษย์”และสงครามกลางเมืองไม่ได้เกิดจากทาส แต่เกิดจากขัดผลประโยชน์ของเศรษฐีด้วยกันเอง …
ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด ซิน นักประวัติศาสตร์ชั้นนําของมหาวิทยาลัยบอสตันกล่าวถึงระบบทาสในอเมริกาว่า “เป็นระบบที่โหดร้ายทารุณที่สุดใน ประวัติศาสตร์โลก การหากําไรอย่างไม่จํากัดและความเกลียดชังในเผ่าพันธุ์ ได้ลดชีวิตของคนผิวดําให้ต่ำกว่าความเป็นมนุษย์
พวกเขาเป็นเหยื่อของการถูกพลัดพรากและตกอยู่ในความสิ้นหวังตลอดชีวิต” ก่อนถูกส่งขึ้นเรือทาสที่ถูกซื้อจะถูกขังไว้ในกรงในสภาพเปลือยเปล่า แพทย์ประจําเรือจะตรวจ ร่างกายอย่างละเอียดเพื่อการตั้งราคาแล้วใช้เหล็กเผาไฟประทับตราของบริษัท อังกฤษ หรือฝรั่งเศสหรือฮอลันดาไว้บนหน้าอก เมื่อขึ้นเรือทาสจะถูกขังไว้ ใต้ท้องเรือโดยมีโซ่ล่ามที่คอและขา
พวกเขามีพื้นที่พอขยับเขยื้อนได้ไม่ใหญ่ ไปกว่าโลงศพ ใต้ท้องเรือมีสภาพเปียกชื้นและสกปรกไปด้วยของเสียของพวกเขาเอง อากาศใต้ท้องเรือก็เลวร้ายจนมีการทําร้ายและฆ่ากันเพื่อแย่ง อากาศหายใจ สภาพโดยรวมไม่ต่างจากโรงงานฆ่าสัตว์และถ้ามีโอกาสทาศ มักจะกระโดดลงทะเลเพื่อหนีจากความทุกข์ทรมาน
หนึ่งในสามของทาสเสียชีวิตในเรือก่อนถึงที่หมายร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกโยนลงทะเล เล่ากันว่าฝูงปลาฉลามจะว่ายตามเรือทาสไปตลอดทางกว่า 1,000 ไมล์จากฝั่งตะวันตกของแอฟริกาจนถึงอเมริกา เมื่อถึงฝั่ง คนต่างเผ่าพันธ์ต่างภาษาก็ถูกต้อน จากเรือไปอยู่ปะปนในคอกโดยครอบครัวจะถูกแยกออกจากกัน ชีวิตอันเลวร้ายอย่างแท้จริงของพวกเขากําลังเริ่มขึ้น
หลังพบโลกใหม่ ชาวยุโรปค้ากําไรทุกอย่างที่ขวางหน้า ตั้งแต่ขนสัตว์ ใบยาสูบ ผลผลิตการเกษตร หนังและลิ้นควายไบซัน สัตว์ทะเล ฯลฯ แต่ที่ สร้างกําไรให้อย่างมหาศาลได้แก่ “การค้ามนุษย์” ซึ่งรวมถึงการเพาะพันธุ์ ทาสขาย เจมส์ เมดิสัน ซึ่งต่อมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 4 ของสหรัฐฯ กล่าวกับแขกชาวอังกฤษว่าเขาทํารายได้จากทาสชาวอัฟริกันคนละ 257 ดอลลาร์ต่อคน ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 12-13 ดอลลาร์ต่อปี เท่านั้น (กําไรกว่า 2,000 เปอร์เซ็นต์)
เจมส์ เมดิสัน ปธน.สหรัฐฯ คนที่ 4
กําไรจากการค้าทาสและใช้แรงงานทาสทําให้ต้องมีกฎหมายที่ เข้มงวดและการลงโทษที่รุนแรงป่าเถื่อน ซึ่งรวมไปถึงการเฆี่ยนตี ทรมาน การตัดอวัยวะและการแขวนคอ ส่วนสาเหตุหลักของการหลบหนีคือระบบทาสที่มุ่งทําลายความสัมพันธ์ในครอบครัวโดยการแยกพ่อแม่ลูกและห้าม แต่งงาน ตามมาด้วยงานที่แสนหนัก ความโหดร้ายทารุณและการล่วงละเมิดทางเพศ ความเลวร้ายดังกล่าวอาจนําไปสู่การต่อต้านขัดขืน รวมทั้ง การฆ่านายทาส การเผาบ้านหรือคลังสินค้า
นอกจากการสร้างกําไรอย่างไร้คุณธรรมแล้ว ระบบทาสยังมุ่งสอนกฎระเบียบ การยอมรับในความต่ำต้อย (Inferiority) สีผิวที่แสดงความเป็นรอง (Subordination) ในฐานะของตน การเกรงกลัวอํานาจของนายทาส การทําลายความต้องการของตนในฐานะ มนุษย์และการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของนายเหนือ นอกจากใช้ระบบแยกครอบครัวแล้วยังใช้ระบบแบ่งแยกแล้วปกครองเพื่อป้องกันการรวมตัว ต่อต้านด้วย
แม้กระนั้นการต่อสู้ขัดขืน การจลาจลและการหลบหนีก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ในปี 1739 (พ.ศ. 2282) ทาส 20 คนฆ่าคนเฝ้าคลังสินค้าในแคโรไลนาตอนใต้ ขโมยปืนแล้วมุ่งใต้ พวกเขาฆ่าและเผาไปตลอดทางจนมีทาสเข้าร่วมขบวนด้วยอีกประมาณ 80 คน แต่ก็ถูกปราบลงที่สุด ทาสผิวดํา เสียชีวิต
ในการประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ “บิดาผู้สร้าง” ประกาศ all men are created equal ซึ่งมีความหมายว่าชายทุกคนมีฐานะเท่าเทียม กัน และทุกคนมีสิทธิในการถือครองทรัพย์สิน ส่วนสตรีและเด็กไม่มีสิทธิในทรัพย์สินเพราะเป็นผู้อยู่ในการปกครองของชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว (ตามลัทธิชายเป็นใหญ่)
ส่วนทาสยิ่งไม่มีสิทธิเพราะเป็นเพียงสมบัติของนายทาสเท่านั้น คนทั้งสามกลุ่มไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิคือคนขาวที่เป็น เจ้าของทรัพย์สินตามจํานวนที่กําหนดเท่านั้น ผู้ที่จะเข้ารับตําแหน่งทางการเมืองเช่นผู้ว่าการและซีเนเตอร์ยิ่งต้องมีทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้น นั่น หมายความว่าคนร้อยละ 90 ของประเทศไม่มีสิทธิรับตําแหน่งทางการเมือง
ในปี ค.ศ. 1790 (พ.ศ.2333) ภาคใต้ของสหรัฐฯ ผลิตฝ่ายได้หลายหมื่นตัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1860 (พ.ศ. 2403) การผลิตได้เพิ่มเป็นล้านตัน ในเวลาเดียวกันจํานวนของทาสก็เพิ่มขึ้นจาก 500,000 คนเป็น 4.0 ล้านคนทั้งๆ ที่การนําเข้าทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1808 (พ.ศ.2357) กําไรที่จะได้นําไปสู่การนําเข้าทาสอย่าผิดกฎหมายถึงประมาณ 250,000 คน ก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง
สําหรับต้นเหตุของสงครามกลางเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องของทาสหรือศีลธรรม และก็ไม่ใช่การปะทะกันของชาวเหนือและชาวใต้ แต่เป็นการขัดกันของผลประโยชน์ของชนชั้นนํา เศรษฐีชาวเหนือต้องเห็น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ต้องการเสรีภาพในเรื่องที่ดิน แรงงาน ตลาด และการปกป้องผู้ผลิตด้านอุตสาหกรรมด้วยภาษีสูงๆ และต้องการธนาคารแห่งอเมริกาด้วย
แต่ผลประโยชน์จากการมีระบบทาสของเศรษฐีชาวใต้เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเข้ารับ ตําแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1861 (พ.ศ. 2404) กล่าวว่า:
“ผมไม่มีจุดหมายทั้งทางตรงและทางอ้อมที่จะแทรกแซงสถาบันทาส ผมเชื่อว่าผมไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะทําเช่นนั้นและผมก็ไม่มีความโน้มเอียงที่จะทํา...ถ้าผมสามารถที่จะรักษาสหรัฐฯ ไว้ได้โดยไม่ต้องปล่อยทาส ผมจะทํา และถ้าผมสามารถรักษาสหรัฐฯ ไว้ได้โดยการปล่อยทาส ผมก็จะทำ”
อับราฮัม ลินคอล์น ปธน.สหรัฐฯ คนที่ 16
พอถึงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1864 (พ.ศ.2407) ชาวอเมริกา 400,000 คน ได้ร่วมกันเซ็นชื่อเสนอให้สภาคองเกรสเลิกทาส ในเดือนเมษายน สภาสูง ใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 13 ฉบับแก้ไขประกาศการสิ้นสุดการมีทาสและสภาครองเกรสก็ประกาศตามในเวลาต่อมา การเลิกทาสทําให้คนผิวดําสมัครเป็นทหารของฝ่ายเหนือกันมาก (ถูกใช้งานสกปรกและได้รับค่าจ้างน้อยกว่าคนขาว)
ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้คนขาวภาคเหนือที่ยากจนเพราะเห็นว่า เป็นการแย่งงาน รวมทั้งไม่พอใจคนรวยที่สามารถใช้เงิน 300 ดอลลาร์ซื้อสิทธิการไม่ออกรบ พวกเขาพุ่งเป้าของความโกรธไปที่คนผิวดําและออกทําร้ายชาวผิวดําทั้งชาย ผู้หญิงและเด็ก สงครามกลางเมืองส่งผลที่เลวร้าย อย่างยิ่งเพราะมีผู้เสียชีวิตถึงประมาณ 600,000 คนจากประชากร 30 ล้านคนที่มีในขณะนั้น หลังสงครามกลางเมืองสถานการณ์สับสน อลหม่าน และประเทศอ่อนแอ นายทุนผู้ร่ำรวยจากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์แสดงตนเป็น “นายทุนโจร” (robber baron) พวกเขาเข้าครอบงําทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ด้วยอํานาจเงินตั้งแต่ทศวรรษ 1870 (พ.ศ.2413) จนถึงปัจจุบัน
รอติดตามตอนที่ 3 ...
ฝากกด Follow
:: Books Reference ::
- Glenn Greenwald, “With Liberty and Justice : How The Law Is Used to Destroy Equality and Protect the Powerful”, Picador. New York, 2011, เกลนฯ เป็นนักเขียน หนังสือขายดีและได้รับเลือกจากนิตยสารแอตแลนติก
- Howard Zinn, “A People's History of the United States, 1492-Present” HarperCollins Publishers, New York, 2005, โฮเวิร์ดฯ เป็นศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยบอสตัน
- Niall Ferguson, “Civilization”, Penguin Group, USA, 2011, ในอัลล์ฯ เป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์สากล ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา