1 ส.ค. 2019 เวลา 14:02 • ปรัชญา
วันหนึ่ง จู่ๆ ผมก็เป็นอัมพาต
วินาทีแรก ผมนึกว่าผีอำ
คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะหาย
แต่ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานสักเท่าไร
ร่างกายของผมก็ยังขยับเขยื้อนไม่ได้
ทำได้เพียง กลอกลูกตาไปมาเท่านั้น
ผมเครียด และกังวลมาก
คนรอบข้างผมนึกว่าผมแกล้งเล่นละคร
กว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นอะไร
ก็เล่นเอาเข้าไปช่วงเย็น
ผมทั้งหิว และเจ็บ
รอบตัวผมตอนนี้คงเต็มไปด้วยรอยผ้า
ผมไปทำงานไม่ได้
อย่าว่าแต่งานเลย
พูดก็ยังไม่ได้
ได้แต่กลอกตาไปมา
เหมือนตุ๊กตาที่เห็นตอนเด็กๆ
ที่พอนอนแล้วหลับตา
พอลุกแล้วลืมตา
ผมรู้สึกสิ้นหวัง
ผมจะไม่ได้ใช้ชีวิตเดินเหิน
ไปเที่ยวนั่น
กินนี่
ไปชมบรรยากาศสวยๆ
ไปสถานที่แปลกๆ อีกแล้ว
แต่เอาจริงๆ
ตอนที่ผมยังปกติดี
ผมก็ไม่มีโอกาสไปเที่ยวเลยสักครั้ง
ไม่เคยได้กินอาหารดีๆ
มีแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
หนี้สินท่วมหัว
ใช่
หนี้
แล้วทีนี้ผมจะทำยังไง
ผมถูกขนตัวไปโรงพยาบาล
รอบตัวผมมีผู้ป่วยนอนร่วมอยู่นับสิบคน
ใจหนึ่งผมโล่งใจนะ
ที่ไม่ต้องรีบตื่นทุกวันเพื่อไปทำงานเส็งเคร็ง
แต่ผมก็ยังโดนเพื่อนร่วมงาน
โดนเจ้านายตามมาด่าที่โรงพยาบาลนี่ล่ะ
ไม่มีขาที่จะเดินหนีเสียด้วย
ตอนนี้ผมรู้สึกอยากกำหมัดและต่อยหน้าคนพวกนี้จริงๆ
แต่เอาเถอะ
ปกติผมก็อดทนอดกลั้นมาตลอดอยู่แล้ว
สักพักพวกนี้ก็ไม่มีใครโผล่หน้ามาอีก
มันก็เหมือนด่าตอไม้
แต่ตอนนี้ผมชักสงสัยแล้วว่า
ตอไม้มันมีความรู้สึกนึกคิดบ้างหรือเปล่า
มันจะเศร้าและเจ็บปวดบ้างไหม
ผมคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่ง
"ชุดประดาน้ำกับผีเสื้อ"
เขียนโดยคนเป็นอัมพาตนี่ล่ะ
เสียดายที่ตอนนี้คงไม่มีโอกาสได้อ่านอีกแล้ว
ผมคงไม่โชคดีที่จะมีใครมาคอยสื่อสารกับผมหรอก
แต่เทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวไกล
ไม่แน่ ผมอาจจะหาย
ไม่ๆ
ไม่หายดีกว่า
ถ้ากลับไปอยู่สังคมแบบเดิม
ผมยอมตาย
เวลาน่าจะผ่านไปสัก 3 วัน
ผมเริ่มรู้สึกเบื่อชีวิตใหม่
ทุกอย่างต้องทำตามเวลา
ไม่มีอะไรตื่นเต้น
เร้าใจ
ผมไม่ได้กินอะไรทางปากเลย
ผมคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยทำได้
ผมได้แต่นึกย้อนดูอดีตตัวเอง
ถ้าผมกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้
ผมจะทำอะไรต่างจากนี้หรือเปล่านะ
วันนี้วันที่เท่าไรไม่รู้
ความเบื่อหน่ายเริ่มกลายเป็นความเฉยชา
สิ่งที่พอจะแตกต่างไปบ้าง
คือคนป่วยที่หมุนเวียนไป
บางคนก็ตาย
บางคนก็หาย
บางคนก็นอนนิ่งแบบเดียวกับผม
แม้ไม่ต้องมองเห็น ผมก็รู้สึกได้
หูผมยังคงได้ยินดี
2
เพดานที่ผมมองทุกวัน
ดูหมองลงกว่าเดิมนิดหน่อย
มันอาจจะเป็นเพราะว่าผมมองมันจนชินกระมัง
สีตรงนั้นไม่เรียบ
ตรงนี้มีตำหนิ
ปกติผมคงไม่สังเกต
พูดได้ว่ายามนี้สิ่งบันเทิงในชีวิตผม
คงมีแต่การใช้ตาสังเกตร่องรอยต่างๆ เท่านั้น
อ่อ รวมถึงจมดิ่งกับความทรงจำเก่าๆ
และจิตนาการถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นั้น
เขาว่าเวลาที่คนใกล้ตาย
ความทรงจำทั้งหมดจะย้อนมา
ผมสงสัยว่ามันจะคล้ายๆ แบบนี้หรือเปล่า
ผมเริ่มคิดถึงแม่ที่ไม่ได้เจอมาหลายปี
ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าแกเป็นยังไงบ้าง
แกอาจจะไม่รู้เรื่องที่ผมป่วยอยู่นี้ก็ได้
แต่ผมก็ไม่อยากอยู่ให้เป็นภาระ
ผมคิดถึงพ่อที่แยกกันอยู่ตั้งแต่ผมอยู่ ม.6
ผมพูดจาไม่ดีกับพ่อก็หลายครั้ง
ตอนนี้อยากขอโทษ อยากใช้เวลาดีๆ ด้วยกัน
ผมคิดถึงรถติดๆ ความเบียดเสียดของผู้คน
ขาที่ยืนจนเมื่อย
ที่รอรถจนเดินแล้วเดินอีก
1
ผมยังจำภาพตัวเองที่นั่งไม่ติดป้ายรถเมล์ได้ดี
รวมถึงที่ผมเดินชะเง้อมองรถเรื่อยๆ
พร้อมนึกภาพว่าตัวเองกำลังอยู่บนละครเวที
หลายครั้งผมฝันว่าผมลุกออกจากเตียงมาเดินได้ตามปกติ
บางครั้งทุกอย่างก็ชัดเจนสมจริงมาก
บอกตามตรงว่าบางทีเวลาที่ผมตื่นอยู่
ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ผมนอนอยู่บนเตียง
อยู่ให้ห้องที่ต่างออกไป
ผมเหลือบตามองซ้ายขวา
"คุณล้มหัวฟาดพื้นน่ะ ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ นะครับ"
ผมค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น
นี่คือความฝันอีกหรือเปล่า
หรือคือความจริง
แล้วผม...
จะใช้ชีวิตต่างจากเดิมหรือเปล่า
.
.
.
สิ่งของจะไร้ค่า
จนกระทั่งคุณเสียมันไป
บางครั้งการโดนลดทอน
โดนตัดบางสิ่งที่สำคัญ
อาจทำให้คุณเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นมากขึ้น
นานขนาดไหนแล้วที่มีสิ่งที่คุณอยากทำแต่ไม่ได้เริ่มสักที
กี่ปี กี่เดือน กี่วัน
รู้ไหมว่า เวลากำลังหายไปเรื่อยๆ
ชีวิตของคุณก็เช่นกัน
อยากไปเที่ยวแต่ไม่มีเงิน
ก็ค่อยๆ สะสมไป
อยากมีชื่อเสียง
แต่ก็ยังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง
เริ่มซะแม้เป็นสิ่งเล็กๆ
เพจผมไม่ได้มีคนถึงสองพันด้วยการดีดนิ้ว
ผมยังไม่ได้เป็นนักเขียนผู้เปลี่ยนแปลงโลก
แต่ถ้าผมไม่ลงมือทำสักที
คงไม่มีแฟนเพจสักคน
คงไม่มีคนรู้จัก
เพจนี้มีคน 128 คน
นั่นหมายความว่าคนที่อ่านเรื่องนี้อย่างน้อย 128 คน
ควรจะ...
เริ่มทำอะไรตามที่ตั้งใจได้แล้ว
แม้แค่นิดเดียว
คุณก็เข้าใกล้สิ่งที่คุณต้องการมากกว่าเดิม
มันอาจจะช้า หรือเร็วขนาดไหน
ผมก็บอกไม่ได้
แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย
โอกาสก็แทบเป็น "0"
และผมก็ไม่อยากให้คุณรอจนเวลาเป็น "0" ด้วยหรอกนะครับ
Martin Zen
#martinzen #นิทานปรัมปราของชายตาบอด #โอกาส #คุณค่า
โฆษณา