7 ส.ค. 2019 เวลา 13:09
เรื่องสั้น : รถบัสสีเหลืองกับต้นโอ้คเก่าริมทาง
รถบัสวิ่งมาจอดที่ป้ายอย่างช้าๆ ไม่มีใครลงป้ายนี้ และมีแค่ผมคนเดียวที่เดินขึ้นไปบนรถบัสสีเหลืองที่ดูมอซอ คงเพราะเป็นสายที่ไม่ได้มีคนโดยสารมากนัก รถคันนี้จึงอาจขาดการดูแลไปบ้าง แต่ดูท่ามันคงน่าจะวิ่งไปส่งผมถึงจุดหมายได้อยู่
"สวัสดี พ่อหนุ่ม" คุณลุงพนักงานขับรถเอ่ยทักทาย ทันทีที่ผมกัาวขึ้นมาบนรถ
"เอ่อ สวัส..สวัสดีครับ" ผมตะกุกตะกักนิดหน่อย เพราะประโยคทักทายแบบนี้ ออกจะไม่คุ้นหูผมสักเท่าไหร่
ผมค้อมตัวให้อีกเล็กน้อยแล้วจึงเดินไปหาที่นั่ง ผมเลือกนั่งข้างหน้าต่างแถวรองจากแถวท้ายสุด เพราะตรงเบาะท้ายนั้นมีคุณลุงผมขาวโพลนพร้อมไม้เท้าวางพาดเบาะอยู่ข้างๆ ผมคงไม่อยากเบียดเข้าให้นั่งให้ลำบากกันทุกคน เพราะจริงๆ ที่นั่งก็ออกว่างถมไป เพราะทั้งคันมีผู้โดยสารนอกจากคุณลุงตรงหน้ากับผม ก็มีคุณป้าสองคนนั่งติดกันที่เบาะหลังคนขับ ชายวัยกลางคนนั่งแถวกลางลำรถ เขาใส่เชิ๊ตสีขาวกางขายาวสีดำ เนคไทถูกคลายออก เขาคงกำลังกลับจากที่ทำงาน และเด็กสาวน่าจะอายุราวสิบกว่าๆ เธออ่านหนังสือเล่มเล็กในมืออย่างใจจดใจจ่ออยู่เบาะหน้าชิดบันไดขึ้นลงรถ เธอดูคร่ำเคร่งกับหนังสือที่ว่า ผิดกับคนอื่นๆ ที่หางตาจับจ้องมาที่ผมอย่างรู้สึกได้
ผมหย่อนตัวลง เอาถุงผ้าใส่ของวางไว้เบาะข้างๆ ไม่ได้มีอะไรมากมายในนั้นที่มีค่าหรอก แค่เสื้อผ้าสองชุด กับของเก่าที่เคยติดตัวเสมอเมื่อสองปีก่อน ก่อนที่ผมจะเดินคอตกเข้าไปหลังลูกกรงนั่น
ผมลืมบอกไปเลยว่า ผมกำลังเพิ่งพ้นโทษวันนี้ มันเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อยราวหนึ่งปี เพราะโชคดีที่ได้รับทัณฑ์บน จากการทำตัวดีและช่วยทำประโยชน์เสมอตลอดเวลาที่อยู่ในเรือนจำ ทั้งหมดนั่นเพื่อสิ่งเดียวที่ผมต้องการ ซึ่งมันถูกเขียนในจดหมายส่งไปหาเธอราวๆ เดือนที่แล้ว และผมกำลังจะไปรับคำตอบ
คำตอบที่น่าหวาดหวั่นที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต น่าตระหนกกว่าคำตัดสินของศาลให้จำคุกจากข้อหาทำร้ายร่างกายจนเหยื่อบาดเจ็บสาหัสเสียอีก ผมได้แค่หวังเท่านั้นเอง
รถเคลื่อนตัวไป วิ่งผ่านตัวเมือง มุ่งสู่ย่านชนบทเพื่อไปยังเมืองเล็กๆ ที่ไกลออกไป น่าจะใช้เวลาราวสองชั่วโมงเห็นจะได้ ถ้ารถบัสเก่าคันนี้จะวิ่งได้แค่ความเร็วเท่านี้
ผมทอดสายตาออกไปไกล ตัดผ่านท้องทุ่งต้นมัสตาดที่กำลังออกดอกเหลืองอร่ามทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ปลายทุ่งมีก้อนเมฆสีขาวอ้วน ลอยเอื่อยตัดกับพื้นหลังสีฟ้าสด จะบอกว่าวันนี้อากาศสดใสมากๆ ก็คงกล่าวได้เต็มปาก แต่สิ่งที่กังวลกลับทำให้ผมไม่ได้ชื่นชมความสดชื่น ซึ่งธรรมชาติของคนที่เพิ่งพ้นโทษออกมาพบแสงสว่าง น่าจะตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้ แต่กับผมภาพต้นโอ้คใหญ่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวที่อยู่ติดถนนนั่นต่างหาก ที่ผมกำลังคำนึงถึงเพียงอย่างเดียว
ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ไงพวก ยังกังวลสินะ ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง ใช่ไหมพ่อหนุ่ม" เสียงชายชราที่นั่งด้านหลังเอ่ยขึ้น
"เออ….ครับ ก็กังวลนิดหน่อยน่ะครับ" ผมตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็มีคนมาละเมิดความเป็นส่วนตัวของผมเสียอย่างนั้น
เสียงไม้เท้าที่ถูกกระแทกพื้นทำเอาทุกคนในรถหันมามองทางนี้กันทั้งคัน ไม่เว้นแม้แต่คนขับที่มองลอดกระจกมองหลังมา คงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ลุงลุกขึ้นพร้อมไม้เท้าในมือที่ใช้ยันตัวขึ้น เขาขยับตัวช้าๆ แล้วลุกออกมา แล้วย้ายมานั่งข้างๆ ผม
"ขอโทษนะพ่อหนุ่มที่เสียมารยาท ขอนั่งด้วยคนสิ"
"ครับ เชิญครับ" ผมรีบคว้าถุงบนเบาะออกไปวางไว้ที่พื้นตรงที่วางเท้า
"ร่างกายมันก็ไม่ว่องไวเหมือนหัวใจฉันเสียแล้ว ฮาฮา.." เขานั่งลงเสียงหัวเราะยังเหลือในลำคอ
"จิตใจที่ยังแข็งแรง มันก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมนะครับคุณลุง"
"พูดได้ดี พ่อหนุ่ม ฉันชื่อไบรอัน ยินดีที่ได้พบนะ" ลุงยื่นมือมาหาผม
"อ่อ..ผมริคครับ ยินดีเช่นกันครับ" ผมยื่นมือไปจับมือลุงตามมารยาท
ลุงจับมือแน่นและเขย่าเบาๆ นั่นเป็นการบอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจที่มี ไม่ใช่การจับมือแค่เป็นมารยาทเท่านั้น ผมรู้สึกได้
"มันสับสนนิดหน่อยนะ เพราะเรากังวลลึกๆ ว่าโลกภายนอกมันจะเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว ทุกอย่างจะยังเหมือนตอนที่เราเดินเข้าไปที่นั่นไหม ฉันก็เคยรู้สึกแบบนั้นล่ะ"
"หมายความว่า…" ผมหยุดค้างคำพูดอยู่อย่างนั้น
"ใช่ ฉันก็เคยติดคุกมาก่อน มันไม่สนุกเลย เวลาในนั้นยาวนานเหลือเกิน และมันก็เปลี่ยนทุกอย่างข้างนอกไปหมด เหมือนเราถูกขังในมิติเวลาที่เชื้องช้า แต่ข้างนอกนั่นเวลาเดินเร็วเหลือเกิน"
"เหรอครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้น แค่บ้านเรือนสองข้างทางยังเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ผมไม่แน่ใจว่าที่บ้านจะเป็นไงบ้าง…." ผมหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
"หมายถึงคนใช่ไหม คงไม่ใช่ตัวบ้านจริงๆ หรอก" ลุงกระแอมขึ้นนิดหน่อยก่อนจะพูด
"ครับ ผมกังวลว่าเธอจะยังรอผมอยู่ไหม"
"แล้วอะไรที่ทำให้คิดว่าเธอจะเปลี่ยนไปล่ะ หัวใจคนเรามันเปลี่ยนไม่ง่ายหรอกนะ ยิ่งถ้ามันเป็นรักแท้ด้วย.." ลุงหยุดกึก
"ผมขอโทษที่ถามนะครับ แล้วตอนนั้น...เออ คนรักของลุง...เออ…" ผมอึกอักที่จะพูดออกไป
"เธอทำไก่อบกับเค้กคัสตาดไว้รอ พอฉันไปถึงที่บ้าน กลิ่นนี่หอมอบอวลไปทั่วทีเดียว แล้วเค้กก้อนมหึมานั่น ฉันต้องใช้เวลากินตั้งสามวัน..สามวันเลยนะ มันถึงจะหมด ฮาฮา…" ลุงหัวเราะลั่น
ป้าสองคนที่นั่งด้านหน้าพากันหัวเราะคิกคัก ไม่เว้นแม้แต่ชายในเชิ้ตขาวที่มีเสียงหึหึดังมาเบาๆ
"อย่ากังวลนักเลย ถ้านายมั่นใจว่าไม่เคยผิดต่อเธอ แม้ว่าโทษนายจะร้ายแรงขนาดไหน เธอก็อภัยให้นายได้เสมอ เชื่อลุงสิ" ลุงมองตาผมพร้อมน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นทันที
"เธอก็บอกทำนองนั้นครับ ในจดหมายที่เราติดต่อกัน เพียงแต่ช่วงสามสี่เดือนมานี่ เธอตอบจดหมายผมช้าลงมาก บางฉบับเกือบเดือน เธอถึงจะตอบกลับมา"
"เธออาจจะยุ่งมากก็ได้นะคุณ บางทีชีวิตข้างนอกมันก็วุ่นวายเสียจนเราอาจไม่มีเวลาแม้แต่จะแบ่งให้คนที่เรารักเลยทีเดียว ทำไงได้ งานก็ต้องทำ เงินก็ต้องหา ไม่ง่ายเลยนะครับ" ชายในเชิ้ตขาวพูดแทรกขึ้นมา
"อาจจะจริงแบบนั้นก็ได้ เธออาจจะยุ่งมาก คุณมีลูกด้วยไหม" ลุงถามผม
"อ่อ ไม่ครับ เราแค่เป็นคู่หมั้นกัน จริงๆ เรากำลังวางแผนเรื่องแต่งงาน แต่ดันมีเรื่องขึ้นมาเสียก่อน" ผมหมุนแหวนเงินที่นิ้วอย่างลืมตัว
"เธอบอกอะไรบ้างไหม เรื่องคุณทั้งคู่น่ะริค คุณน่าจะพออ่านใจเธอได้ จากสิ่งที่เธอเขียน"
"เธอไม่ได้พูดอะไรชัดเจนนัก บอกทำนองว่าข้างนอกนี่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ผมคงต้องตกใจที่หลายๆ อย่างไม่เหมือนตอนที่ผมจากมา แต่เธอก็ยังย้ำว่าหัวใจเธอไม่เคยเปลี่ยน เธอแค่หวังว่าผมก็จะไม่เปลี่ยน"
"นั่นไง ยังกังวลอะไรอีก" ลุงตบเบาะฉาดใหญ่
"ผมกังวลเรื่องตัวผมเองที่เปลี่ยนไป หมายถึง..คนขี้คุกอย่างผม จะเหมาะสมกับเธอรึเปลา กังวลว่าจะเป็นทำให้ชีวิตของเราสองย่ำแย่ลงไหมน่ะครับ ถ้าเธอจะเปลี่ยนไป ผมจะไม่โทษเธอเลย ผมผิดเองที่ทำให้ทุกอย่างมันพังลงแบบนี้" ผมเอ่ยเสียงสั่น
"คุณดูถูกความรักมากเลยนะคะ หนูเชื่อว่าความรักที่แท้ ยอมอภัยให้ได้กับทุกสิ่ง คุณไม่แม้แต่จะไว้ใจตัวเองด้วยซ้ำ ไม่แปลกที่คุณจะไม่ไว้ใจความรักที่มีเลย" เด็กน้อยที่นั่งด้านหน้าพูดขึ้น
" นี่มันอะไรกัน" ผมนึกในใจ
"คุณไม่ถามไปตรงๆ เลยล่ะ" ป้าหนึ่งในสองคนเอ่ยถาม
"เอ่อ...ถามอะไรเหรอครับ"
"คุณเคยถามเธอตรงๆ ไหม ว่าจะรอจนคุณจนกว่าจะพ้นโทษแล้วจะแต่งงานกัน ทำนองนี้ไง" ป้าอีกคนเอ่ยขึ้นสลับกันราวกับลูกคู่วงอะแคปเปล่า
"ไม่หรอกครับ ผมคงไม่กล้า มันเหมือนผมบีบบังคับเธอให้รอ ผม.." ผมอ้ำอึ้งไป
"อยากให้เธอบอกเลิกคุณด้วยซ้ำใช่ไหม" คุณลุงพูดขึ้นเบาๆ
"ใช่..ครับ"
"ฉันก็เคยคิดแบบนั้น เคยบอกกับภรรยาแบบนั้นด้วยซ้ำ แต่เธอก็ตบหน้าฉันฉาดใหญ่ด้วยการบอกว่า ผู้ชายก็ดีแต่คิดแทนผู้หญิง ออกจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย เธอก็มีสมอง คิดได้อยู่แล้วว่าควรเลือกอะไร ระหว่างหัวใจกับหัวใจ ฉันหน้าชาเลยล่ะตอนนั้น" ลุงหัวเราะขึ้นเบาๆ
"ผมเพิ่งยื่นใบลาออกจากบริษัทเฮงซวยนั่น แต่ผมโอเคมากๆ เลยนะ เพราะภรรยาผมเธอเป็นคนบอกผมเอง ว่าชีวิตของผม ผมก็เลือกเองได้ ให้ใช้หัวใจบ้าง อย่าใช้แต่สมองคิดหาแต่เหตุผลนานา มาตีกรอบให้ตัวเอง ผมเลยคิดว่าจะออกมาทำธุรกิจเล็กๆ ที่บ้าน ดีกว่าต้องทนให้เจ้านายบ้าๆ ค่อยชี้นิ้วสั่งแถมทำนาบนหลังคนแบบนั้น คุณก็ควรเชื่อหัวใจคุณนะ" ชายในเชิ้ตขาวหันมาพูดตาเป็นประกาย
1
"ขอบคุณครับ" ผมสับสนนิดหน่อยที่จู่ๆ ทุกคนก็ดูจะสนใจเรื่องของผมขึ้นมา
"ฉบับล่าสุดนายบอกเธอไปว่ายังไงล่ะ ริค" ลุงหันมาถามผมอีกครั้ง
"บอกว่าผมจะกลับไปขอคำตอบกับเธอ ง่ายๆ แค่เธอเอาริบบิ้นสีเหลืองพันติดกับต้นโอ้คใหญ่หน้าบ้าน นั่นแสดงว่าเธอยินดีที่ผมจะกลับมา แต่ถ้าไม่...ผมก็พร้อมจะจากไป โดยที่ไม่มีต้องพบหน้ากันให้เจ็บปวดกว่านี้" ผมนึกถึงเนื้อความจดหมายฉบับสุดท้ายที่เธอยังไม่ตอบกลับ
"ต้นโอ้ค..ใช่ต้นใหญ่ๆ ที่ริมถนนก่อนเข้าหมู่บ้าน Thomasville นั่นรึเปล่า"
"ใช่ครับ"
"อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้วนี่นา" เด็กสาวพูดขึ้น เธอลุกไปกระซิบกับคนขับอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่งยิ้มมาให้แล้วกลับไปนั่งพร้อมหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ
"ฉันมั่นใจว่า เธอจะได้คำตอบ และมันน่าจะดีด้วยล่ะ เชื่อสิ" ลุงเอื้อมมาตบบ่าผมเบาๆ
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน แล้วหันออกไปมองที่ด้านนอกอีกครั้ง ตอนนี้รถกำลังวิ่งผ่านป่าสน ผมจำได้ว่าถ้าพ้นแนวป่าสนนี้ไปสักสิบนาที ก็จะถึงบ้านของเธอแล้ว ผมจำต้นโอ้คใหญ่นั่นได้ดี ผู้คนที่ผ่านเส้นทางนี้ทุกคนคงสังเกตุเห็น เพราะด้วยขนาดของมัน ยังไม่นับที่มันยืนต้นตระหง่านอยู่กลางทุ่งกว้าง ทุ่งหญ้าเขียวสุดสายตานั่นเป็นพื้นหลังขับให้มันโดดเด่นได้เป็นอย่างดี
โปรดติดตามตอนต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา