ถอดรหัสธุรกิจจากสบู่เบนเนท
ตอนที่ 2
ครั้งที่แล้วเราพูดเรื่องสถานการณ์
ของตลาดสบู่ในยุคนั้นกันไปแล้วนะครับ
ซึ่งตลาดสบู่ก็อยู่แบบนั้นไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง
.
จนกระทั่งประมาณปี 1990 หรือพ.ศ. 2533
ซึ่งตอนนั้นทั่วโลกกำลังมีกระแสใหม่
สมัยนี้เราอาจเรียกว่า เมกะเทรนด์
.
นั่นก็คือ ”ครีมอาบน้ำ”ครับ
นักการตลาดยุคนั้นคาดการว่าครีมอาบน้ำ
จะเป็นสินค้าที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรม
การอาบน้ำของผู้คนทั่วโลก
โดยหลักๆคือความสะดวกสบายและสุขอนามัย
ในการอาบน้ำที่แตกต่างจากสบู่
.
เพราะ สบู่ 1 ก้อนเราใช้อาบหลายคนในบ้าน
ทำให้สบู่ต้องผ่านการสัมผัสหลายคน
แต่ครีมอาบน้ำใช้แค่ไหนก็เทหรือบีบแค่นั้น
ที่สำคัญหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วผิวจะไม่แห้ง
.
ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวพร้อมภาพลักษณ์
ที่การใช้ครีมอาบน้ำจะดูเป็นคนทันสมัย
ทำให้ครีมอาบน้ำก็ได้รับความนิยมทันที
.
โดยลักส์เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย
ที่ผลิตสินค้าตัวนี้ออกมาจำหน่าย
.
จากนั้นไม่นาน....
หลายต่อหลายแบรนด์ก็เริ่มผลิตครีมอาบน้ำ
เพื่อแย่งชิงตลาดสินค้าใหม่
.
ซึ่งตอนนั้นตลาดครีมอาบน้ำ
ถือเป็นตลาดน่าเย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง
.
เพราะเป็นสินค้าใหม่ที่ผู้คนกำลังอยากลองใช้และต้องการ
รวมถึงผู้เล่นในตลาดยังมีไม่มาก
และมีอัตราการเติบโตที่สูงนั่นเอง
.
เห็นได้ว่าทุกยุคทุกสมัย
ไม่มีสินค้าใดที่คู่แข่งทำไม่ได้
.
เมื่อสินค้าใดที่เริ่มสร้างกระแสได้
คู่แข่งก็จะตามคุณมาทันที
และท้ายสุดเราก็จะวัดกันที่การรักษาลูกค้า
และช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
.
ซึ่งแบรนด์สบู่ทั้งหลายในตอนนั้น
เชื่อเทรนด์ที่ว่าครีมอาบน้ำจะมาทดแทนสบู่ในอนาคต
จึงเริ่มตัดงบการตลาดและโฆษณาสบู่
และทุ่มเทกับสินค้าดาวรุ่งตัวใหม่
.
จากนั้นไม่นานโฆษณาส่วนใหญ่
ก็จะเป็นครีมอาบน้ำแทนสบู่
โดยเฉพาะเจ้าใหญ่ในตลาดทั้ง 2
คือลักส์และปาล์มโอลีฟ
ที่เข้ามาแข่งกันเหมือนเดิม
และมีผู้เล่นใหม่เข้ามาร่วมมากขึ้น
.
และแล้ว......สบู่หลายยี่ห้อ
ก็เริ่มหายไปจากตลาด
.
.
อ้าว!แล้วเทรนด์ของครีมอาบน้ำ
มันเกี่ยวอะไรกับเบนเนท
.
.
ก็ในขณะที่ครีมอาบน้ำกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอยู่นั้น
ทางพาภิญโญ ก็ยังรับผลิตสบู่และทำแบรนด์สบู่
สมุนไพรกลั่นรอว์ร่า ตราคนใส่แว่นตา
ซึ่งช่วงนั้น “คุณชาย ปราบเล่ง” เจ้าของเบนเนทในปัจจุบัน
ได้เข้ามาช่วยดูแลกิจการต่อจากทางบ้าน
ด้วยความที่ต้องขับรถไปส่งของเองที่ต่างจังหวัด
ตามร้านค้าทั่วไปอยู่เสมอ
สิ่งที่ ”คุณชาย” ทำอยู่ตลอดก็คือการแวะเยี่ยมร้านค้า
ทางผ่านแม้ไม่ได้สั่งสินค้าเพิ่ม
.
จากการพูดคุยทั้งร้านค้าและผู้ใช้
ทำให้รู้ว่าคนต่างจังหวัดไม่ชอบอาบน้ำด้วยครีมอาบน้ำ
“เพราะอาบแล้ว....รู้สึกว่าไม่สะอาด”
.
.
.
ด้วยความมีประสบการณ์จากการค้าขายสบู่
และสอบถามผู้ใช้อยู่เสมอ เมื่อได้ยินคำตอบนี้
จึงทำให้มีความคิดว่า........
.
ตลาดสบู่น่าจะยังมีโอกาสเติบโตอยู่
.
เพราะคนทุกคนไม่ได้ชอบทุกอย่างเหมือนกัน
เทรนด์ของครีมอาบน้ำจึงยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ
และกำลังซื้อต่างจังหวัดยังพร้อมที่จะซื้อสบู่ใช้
เพราะความคุ้นเคยจากการอาบ
.
ต้องขออธิบายนิดนะครับ
สมัยก่อนสบู่ที่ขายทั่วไปจะเป็นสบู่ก้อนแข็ง
ที่สามารถใช้ได้นานและละลายช้า
เพราะจะทำให้คนซื้อรู้สึกว่าสบู่ที่ละลายช้า
จะคุ้มค่าเพราะใช้ได้นาน
.
ถึงกับมีการแซวกันเล่นๆว่าสบู่บางยี่ห้อ
เอาไปปาหัวหมาก็ยังแตก
.
แต่คนทำสบู่จะรู้ดีว่าสบู่ที่ดี
จะทำจากกลีเซอรีน เพราะช่วยเรื่องผิวได้ดีกว่า
แต่ต้นทุนแพงและฟองจะไม่มากเท่าสบู่ไขมันพืช
.
ด้วยประสบการณ์ในการจำหน่ายสมุนไพรกลั่นรอว์ร่า
ตราคนใส่แว่นตา ซึ่งมีจุดขายคือฟอกได้
ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ใช้สระผมก็ได้
อีกทั้งยังช่วยเรื่องสิว ฝ้า และโรคผิวหนังต่างๆ
รวมถึงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
.
“คุณชาย” จึงเริ่มพัฒนาสูตรสบู่ใหม่
ให้แตกต่างจากเดิม....โดยตั้งเป้าว่า
อยากลองทำสบู่ดีๆ เพื่อให้คนไทยได้ใช้ของดีๆดูบ้าง
โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดที่ชอบอาบน้ำด้วยสบู่
และขั้นตอนการผลิตนั้น
ต้องใช้วิธีผลิตด้วยมือแบบดั้งเดิม
.
อันดับแรกจึงเริ่มจากดึงจุดขายของสบู่ตัวเดิม
เรื่องการลดสิว ฝ้าและกลิ่นกายมาผสมกับ
กับสบู่กลีเซอรีนเพื่อเน้นการดูแลผิวเป็นหลัก
.
จากนั้นผสมสมุนไพรไทยที่คนไทยคุ้นเคย
และเลือกสมุนไพรที่ช่วยเรื่องผิว
อย่างขมิ้น ว่านหางจรเข้
ทำกลิ่นให้หอมแต่ไม่แรงเท่าสบู่ต่างประเทศ
เพราะอยากให้ผู้ใช้ยังรู้สึกถึงความเป็นสมุนไพร
.
และสิ่งที่เพิ่มเติมเข้าไปจนกลายเป็นจุดขาย
ของสบู่เบนเนทและสบู่อื่นๆในเวลาต่อมา
นั่นก็คือ สบู่ก้อนนี้เมื่อใช้แล้ว.......
.
จะช่วยให้ผิวขาวขึ้น
.
.
และแล้วในปี 2538
สบู่เบนเนทก้อนแรกก็ได้ถือกำเนิดขึ้นครับ
.
ส่วนการเดินทางของสบู่เบนเนทจะเป็นอย่างต่อนั้น
มาอ่านต่อไปในบทความหน้ากันต่อนะครับ
.
.
.
“รองเท้าแตะเหยียบดวงจันทร์”
- 10
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
