Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
30 ส.ค. 2019 เวลา 01:55 • ประวัติศาสตร์
孔子及弟子
ประวัติขงจื่อและสานุศิษย์
1 ขงจื่อ
ขงจื่อ นามว่าชิว ฉายาจ้งหนี เป็นชาวแคว้นหลู่ในสมัยชุนชิว (๗๗๐-๔๗๖ ปีก่อนคริสตศักราช) บรรพชนของท่านเป็นผู้มีสกุลรุนชาติแห่งแคว้นซ่ง หากแต่เพราะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น บรรพชนของท่านจึงจำต้องอพยพหลบหนีไปที่แคว้นหลู่ และได้ตั้งรกรากปักฐานที่เมืองโจวอี้ในแคว้นหลู่นับแต่นั้นเป็นต้นมา
บิดาของท่านมีนามว่าสูเหลียงเฮ่อ เป็นทหารที่มีพละกำลังมหาศาล เคยสร้างคุณความดีในสมรภูมิรบ ดังนั้นจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนนางเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่ง ส่วนมารดาของท่านมีนามว่าเหยียนเจิงจ้าย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมด้วยนารีสมบัติและปัญญาสมบัติ แต่หลังจากทั้งสองได้แต่งงานกันเนิ่นนานก็ยังหาได้มีบุตรชายไว้สืบสกุลไม่ ดังนั้นจึงไปอธิษฐานขอบุตรจากเทพารักษ์ที่ภูเขาหนีชิว ด้วยเหตุนี้ บิดามารดาจึงตั้งชื่อให้ขงจื่อว่าชิว ฉายาจ้งหนี ตามชื่อภูเขาหนีชิวที่ไปอธิษฐานขอพร
ขงจื่อสูญเสียบิดาเมื่ออายุเพียง ๓ ขวบ ดังนั้นท่านจึงใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวกับมารดาเพียงสองคน และด้วยเหตุที่ท่านต้องลำบากและเห็นความเหนื่อยยากของมารดามาแต่เยาว์วัย ดังนั้นท่านจึงถูกปลูกฝังให้มีความรอบคอบและความโอบอ้อมเป็นอุปนิสัย
เมื่อครั้งที่ขงจื่ออายุ ๑๕ ปี ร่างกายของท่านมีความแข็งแรงสูงใหญ่ผิดคนทั่วไป ทั้งนี้เพราะบิดาของท่านก็เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่นั่นเอง แต่ท่านไม่เพียงมีร่างกายอันสูงใหญ่เท่านั้น หากยังมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่จะขอพากเพียรบำเพ็ญให้เป็นวิญญูชนให้จงได้
1
ขงจื่อนับเป็นอัจฉริยบุคคลที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งบุ๋นและบู๊ทุกประการ แต่ดูเหมือนชีวิตของท่านจะมีความอาภัพไม่น้อย เพราะต่อมาท่านต้องสูญเสียมารดาเมื่อวัยเพียง ๑๗ ปีเท่านั้น เรื่องนี้นับว่าได้สร้างความโทมนัสเสียใจให้กับขงจื่ออย่างที่สุด หลังเสร็จสิ้นพิธีศพ ขงจื่อใคร่จะฝังมารดาร่วมกับบิดา หากแต่มารดามิเคยบอกให้รู้ถึงสถานที่ตั้งสุสานของบิดาให้ทราบ ดังนั้นท่านจึงทำการชะลอศพมารดาไปตั้งไว้ในที่ชุมชน และคุกเข่าอ้อนวอนให้ผู้รู้ที่ตั้งสุสานบิดาได้กรุณาบอกให้ทราบ ต่อมาได้มีหญิงชราท่านหนึ่งมาชี้ตำแหน่งแก่ขงจื่อ ท่านจึงสามารถประกอบพิธีนำศพมารดาไปฝังร่วมกับบิดาได้สมปรารถนา
ขงจื่อเป็นบุคคลที่รักการอ่านเป็นที่สุด ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญในความรอบรู้ของท่าน แต่ท่านกลับถ่อมตนว่าหาได้มีความสามารถแต่อย่างใดไม่ ท่านเป็นคนที่เน้นการศึกษาให้มีความรู้แบบบูรณาการ ดังนั้นวิชาหลักที่ท่านใช้ถ่ายทอดจึงประกอบด้วย วิชาจริยธรรม (禮) วิชาคีตศาสตร์ (樂) วิชาการยิงธนู (射) วิชาการบังคับม้า (御) วิชานิรุกติศาสตร์ (書) และวิชาการคำนวณ (數) และลักษณะการเรียนรู้ของท่านนั้น ท่านจะไม่จำกัดการเรียนรู้แต่เฉพาะในตำราเพียงอย่างเดียว หากแต่ท่านจะมีความอ่อนน้อมขอความรู้ต่อผู้อื่นอย่างไม่ถือตัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อครั้งที่ขงจื่ออายุ ๓๐ ปี ท่านได้ทำงานด้านการศึกษา สำหรับสภาพสังคมในสมัยนั้น การศึกษาได้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นสำหรับบุคคลโดยทั่วไปจึงไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือแต่อย่างใด หากทัศนะของท่านขงจื่อนั้นต้องการให้ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้โดยเสมอภาค ท่านจึงประกาศว่า แม้นมีของกำนัลเพียงเล็กน้อยมามอบเป็นค่าครู ท่านก็ยินดีรับเขาเป็นศิษย์ทันที ดังนั้นจึงมีผู้มาฝากตัวขอเป็นศิษย์ท่านจำนวนมาก
ครั้งหนึ่ง ขงจื่อและหนันกงจิ้งสูซึ่งเป็นศิษย์ได้ร่วมเดินทางไปลั่วหยาง ครั้นถึงเมืองลั่วหยางก็รีบเข้าคารวะท่านเหลาจื่อเป็นอันดับแรก ท่านได้ขอความรู้จากท่านเหลาจื่อมากมาย ซึ่งการเยือนเหลาจื่อในครั้งนี้นับเป็นจุดพลิกผันสำคัญในชีวิตของท่าน ครั้นขงจื่อได้กล่าวอำลาเหลาจื่อ เหลาจื่อได้มอบโอวาทให้ขงจื่อดังนี้ว่า “พ่อค้าที่ชาญฉลาดจะอำพรางของดีไว้หลังร้านจนดูเหมือนมีแต่สินค้าดาด ๆ ฉันใด อันวิญญูชนผู้มีคุณธรรมอันประเสริฐ อิริยาบทก็จะดูเหมือนผู้โง่เขลาไร้ความสามารถฉันนั้น ดังนั้นเจ้าจึงพึงละความผยอง ความทะนง จิตเห่อเหิมและกิเลสให้สิ้นไป เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนหาได้มีคุณต่อเจ้าไม่ สิ่งที่ข้าจะกล่าวกับเจ้าก็คือเพียงนี้แล”
ขงจื่อรู้สึกสำนึกในพระคุณของเหลาจื่อยิ่งนัก หลังจากกลับถึงแคว้นหลู่ ท่านยังรู้สึกทึ่งในสติปัญญาอันล้ำลึกของเหลาจื่ออยู่มิคลาย ดังนั้นท่านจึงเตือนใจตนอยู่เสมอว่าจะต้องยิ่งวิริยะในการเรียนรู้และน้อมนำในคำสอนของเหลาจื่อไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
ท่านขงจื่อเป็นคนที่มีความสุขุม กอปรกับมีอุปนิสัยที่อ่อนน้อมถ่อมตนและขยันศึกษาเรียนรู้วิชา ผู้คนจึงให้ความเคารพนับถือท่านอย่างมากมาย ท่านมักเตือนใจสานุศิษย์อยู่เสมอว่าควรหมั่นทบทวนในความรู้ที่ร่ำเรียนมา เช่นนี้ก็จะสามารถเพิ่มพูนความเข้าใจในสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างมากมาย
นับแต่ท่านทำงานด้านการศึกษาเป็นต้นมา ผู้คนที่ทราบกิตติศัพท์ต่างทยอยมาขอศึกษาวิชาความรู้จากท่าน การที่ท่านสามารถประสบผลสำเร็จในการศึกษาได้เช่นนี้ เหตุก็เพราะท่านไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการศึกษา อีกทั้งยังไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการประสิทธิ์ประสาทวิชา แต่ท่านไม่เพียงแต่ให้ความสนใจต่องานด้านการศึกษาเท่านั้น หากยังมีความสนใจต่องานการเมืองอย่างมากด้วยเช่นกัน สำหรับผู้คนในสมัยนั้น บัณฑิตผู้คงแก่เรียนต่างหวังที่จะรับราชการเพื่อใช้วิชาความรู้ของตนให้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ซึ่งขงจื่อก็มีปณิธานในข้อนี้อย่างแรงกล้า เพราะท่านเล็งเห็นว่ามีเพียงการรับราชการเท่านั้นจึงจะสามารถสานอุดมการณ์แห่งสันติภพให้ปรากฏ ดังนั้นท่านจึงเดินทางไปแสวงหาโอกาสที่แคว้นฉี
จำเดิมท่านต้องการสร้างความฝันของท่านให้เป็นจริงที่แคว้นหลู่ แต่ด้วยเหตุที่เกิดเหตุ
สงครามกลางเมืองขึ้น ดังนั้นท่านจึงไปแสวงหาโอกาสที่แคว้นฉีแทน ณ ที่นั้น ท่านได้รับการทาบทามจากเกาเจาจื่อให้เข้าเฝ้าเจ้าแคว้นฉีจิ่งกง ครานั้นฉีจิ่งกงได้ทรงถามความรู้เรื่องการปกครองจากขงจื่อ ขงจื่อกราบทูลว่า “กษัตริย์ต้องทรงให้เป็นดั่งกษัตริย์ ขุนนางต้องให้เป็นดั่งขุนนาง บิดาต้องให้เป็นดั่งบิดา บุตรต้องให้เป็นดั่งบุตร” การตอบเช่นนี้มีนัยว่า แต่ละฝ่ายพึงปฏิบัติตามหน้าที่ที่ตนมี พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ครั้นสังคมอยู่เย็นเป็นสุขแล้ว ประเทศชาติจึงจะอยู่ในสถานะที่มั่นคง การปกครองจึงจะอยู่ในระบบได้อย่างสถาพร สำหรับคำกราบทูลนี้ ฉีจิ่งกงทรงรู้สึกปลาบปลื้มพระทัยเป็นที่สุด พระองค์ทรงเข้าพระทัยว่าหากกษัตริย์ไม่ทรงตั้งพระทัยในการปกครอง ขุนนางไร้ความจงรักภักดี บิดาสิ้นความอารี บุตรไร้ซึ่งความกตัญญูแล้ว แม้นสังคมจะเพียบพร้อมด้วยโภคทรัพย์อันอุดม แต่ยังจะสามารถบริโภคได้อีกยาวนานสักเท่าไรนั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ และนับแต่นั้นมา ฉีจิ่งกงก็ทรงให้ความไว้วางพระทัยต่อขงจื่อมากเป็นพิเศษ
ครั้งหนึ่ง ฉีจิ่งกงทรงมีพระประสงค์ที่จะประทานศักดินาที่ดินแถบหนีซีให้ขงจื่อ แต่อุปราชเยี่ยนอิงได้กราบทูลคัดค้านว่า “คำสอนที่ขงจื่อได้สอนมาแต่ต้น เป็นสิ่งที่หาอาจใช้ในการปกครองแผ่นดินไม่ เพราะมีความละเอียดซับซ้อน ผู้คนจึงมิอาจเข้าถึงได้โดยง่าย การปฏิบัติจึงมีความไม่สะดวกอย่างมากมาย หากปล่อยให้ขงจื่อนำมาเผยแพร่ในแคว้นฉีแล้ว ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์เท่านั้น หากยังจะมีโทษเสียอีกด้วย อนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ก็มักได้แต่สอนผู้อื่น หากแต่มิเคยกวดขันตน จึงทำให้มีอุปนิสัยที่หยิ่งผยอง ไร้ผู้คนอยู่ในสายตา ดังนั้นจึงมิอาจทำงานร่วมกับใครได้” คำกราบทูลของอุปราชเยี่ยนอิงในครั้งนี้ได้ผลเป็นที่สุด นับแต่นั้นมา ฉีจิ่งกงก็เริ่มทรงไม่ไว้วางพระทัยขงจื่อเหมือนเช่นเดิมอีก แม้นภายนอกจะยังทรงให้ความเคารพขงจื่อเป็นปกติ แต่ก็หาได้รับสั่งถามความเห็นในข้อราชการเหมือนเช่นเคยไม่ ขงจื่อได้อาศัยอยู่ในแคว้นฉีเป็นเวลา ๓ ปี แม้นว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดีก็ตาม แต่อุดมการณ์แห่งสันติธรรมกลับไม่เป็นที่ยอมรับจากเจ้าแคว้นฉีและเหล่าขุนนาง ท่านจึงตัดสินใจเดินทางจากแคว้นฉีไปในที่สุด
1
ในเวลานี้ สถานการณ์ภายในแคว้นหลู่เริ่มเข้าสู่ความสงบสุข อีกด้วยเพราะหลู่ติ้งกงเริ่มทรงเข้าพระทัยขงจื่อมากยิ่งขึ้น ดังนั้นขงจื่อจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าเมืองจงตู และเนื่องด้วยขงจื่อมีผลงานอันดีเลิศ หลู่ติ้งกงจึงทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโยธาธิบดีและตุลาธิบดีตามลำดับ
หลังจากขงจื่อดำรงตำแหน่งตุลาธิบดีได้ไม่นานก็สามารถบริหารแคว้นหลู่จนเข้มแข็งอุดม แต่ก็ทำให้แคว้นฉีที่มีอาณาบริเวณติดต่อกับแคว้นหลู่รู้สึกวิตกกังวลใจยิ่ง หลีสวี ซึ่งเป็นเสนาบดีแห่งแคว้นฉีจึงกราบทูลแผนการให้ฉีจิ่งกงแต่งราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นหลู่ โดยหวังผลจะใช้วิธีทางการทูตสยบแคว้นหลู่ให้อ่อนน้อมต่อแคว้นฉีให้จงได้
ครานั้นหลู่ติ้งกงทรงรับข้อเสนอและทรงแต่งตั้งให้ขงจื่อเป็นผู้ช่วยส่วนพระองค์ในพิธีเจริญสัมพันธไมตรี ขงจื่อกราบทูลว่า “แม้นจะเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีก็จริง แต่อย่างไรก็ควรมีกำลังทหารเข้าสนับสนุนอีกแรงหนึ่งจึงจะเหมาะ เพราะการยุทธที่ต้องมีการทูตสนับสนุนฉันใด การทูตก็ควรมีการยุทธสนับสนุนฉันนั้น ดังนี้ ภาระกิจจึงจะสามารถสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี” หลู่ติ้งกงทรงเห็นชอบในความคิดเห็น จึงทรงมอบหมายให้ขงจื่อเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด
เนื่องด้วยขงจื่อได้ทำการวางแผนอย่างรัดกุม แคว้นหลู่จึงสามารถประสบผลสำเร็จในพิธีทางการทูตโดยหาได้เสียเปรียบต่อแคว้นฉีไม่ และการเจริญสัมพันธไมตรีในครั้งนั้นก็ได้ยกฐานะของแคว้นหลู่ในเวทีระดับชาติขึ้นอย่างมากมาย ส่วนชื่อเสียงกิตติคุณของขงจื่อก็ลือลั่นไปทั้งปฐพี
1
แต่แม้นแคว้นหลู่จะประสบชัยชนะอย่างงดงามในเวทีทางการทูตก็จริง ขงจื่อก็หาได้พอใจในผลงานไม่ เพราะท่านตระหนักดีว่า การที่จะทำให้แคว้นหลู่ดำรงสถานะที่มั่นคงโดยถาวรแล้ว จะต้องขจัดความเหลื่อมล้ำทางอำนาจที่ถูกผูกขาดโดยสามตระกูลใหญ่ลงให้จงได้ ดังนั้นท่านจึงบัญชาการทัพเข้าทอนกำแพงเมืองของตระกูลจี้ซุนและสูซุนให้ต่ำลง หากแต่ได้ละเว้นเมืองของตระกูลเมิ่งซุนไว้ ในตอนนั้นเมืองหลู่จึงเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ การบริหารบ้านเมืองเริ่มดำเนินไปอย่างมีระเบียบ ผู้คนเปี่ยมด้วยศีลธรรมอันดีงาม จนแม้นของตกหล่นอยู่ริมทางก็ไม่มีใครเก็บ ผู้ที่ทำธุรกิจการค้าก็ไม่ทุจริตเอารัดเอาเปรียบ จนผู้คนต่างแคว้นที่สัญจรไปมา ต่างมีความรู้สึกว่าตนจะมีความปลอดภัยได้เฉพาะที่แคว้นหลู่เท่านั้น เพราะยามวิกาลก็มิต้องวิตกเรื่องโจรผู้ร้าย ชาวบ้านต่างสามารถหลับสบายโดยมิต้องปิดดาลประตูหน้าต่างแต่อย่างใด
แม้นขงจื่อจะดำรงตำแหน่งสูงถึงตุลาธิบดีที่มีอำนาจราชทัณฑ์ก็จริง แต่ท่านก็หาได้เห็นด้วยกับการลงทัณฑ์ไม่ หากแต่คิดว่าการใช้กฎหมายลงทัณฑ์กับประชาชนเพียงอย่างเดียว ประชาชนก็จะมีความกระด้างจนมิรู้ละอาย แต่หากอบรมสั่งสอนด้วยระบอบจริยธรรมแล้ว ประชาชนจึงจะมีความสำนึกรู้ละอาย คดีความก็จะคลี่คลายหายไป ทั้งนี้เพราะแม้นขงจื่อจะสามารถพิพากษาคดีอย่างยุติธรรมได้ก็จริง แต่ท่านคิดว่าการบริหารบ้านเมืองที่ดีที่สุด ก็คือการบริหารจนมิให้เกิดคดีความจึงจะถือว่าประเสริฐสุด
เนื่องด้วยขงจื่อสามารถบริหารรัฐหลู่ให้เข้มแข็งได้ในเวลาไม่นาน ดังนั้นจึงถูกรัฐข้างเคียงอิจฉาเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคือรัฐฉีที่มีอาณาเขตติดต่อใกล้ชิดกับแคว้นหลู่มากที่สุด ครั้งนั้นรัฐฉีจึงใช้กลยุทธ์ยุให้แตกแยก โดยคัดเลือกสาวงามหลายสิบนางและม้าดีอีกจำนวนหนึ่งส่งเป็นบรรณาการให้กับเจ้าแคว้นหลู่ นับแต่เจ้าแคว้นหลู่ทรงรับบรรณาการเหล่านั้นแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงสนพระทัยต่อกิจการบ้านเมืองอีก ซ้ำยังทรงห่างเหินไม่เคารพขงจื่อเหมือนเช่นเคย ด้วยเหตุนี้ ขงจื่อจึงลาออกจากราชการและพาเหล่าลูกศิษย์ท่องเที่ยวไปยังแต่ละแว่นแคว้น โดยได้เดินทางไปยังแคว้นเว่ย แคว้นจิ้น แคว้นซ่ง แคว้นเฉินและแคว้นฉู่เป็นเวลานานถึง ๑๔ ปี
หลังจากต้องเห็จเหเร่ร่อนยังต่างแดนเป็นเวลานานถึง ๑๔ ปี ในที่สุดท่านก็ได้เดินทางกลับสู่บ้านเกิดอีกครั้ง ในตลอดระยะเวลา ๑๔ ปีที่ต้องลำบากตรากตรำ ได้ทำให้ท่านรู้สึกเสียดายเวลาที่สูญเปล่าไปโดยที่มิอาจสร้างสรรค์โลกแห่งสันติภพตามที่ท่านปรารถนา ตอนนี้ท่านมิอยากคาดหวังกับงานการเมืองอีกแล้ว หากท่านจะทุ่มเทกับงานการศึกษาที่ท่านเริ่มเห็นความสำคัญเสียมากกว่า
ขงจื่อได้แบ่งลูกศิษย์ตามความสามารถของแต่ละคนเป็น ๔ หมวดใหญ่ โดยมีศิษย์ที่เป็นเลิศใน ๔ หมวดวิชานี้อยู่สิบท่าน คือ หมวดคุณธรรม มีเหยียนหุย หยั่นป๋อหนิว หยั่นยง หมินจื่อเชียน หมวดการเมือง มีจื่อลู่และหยั่นฉิว หมวดวาทศิลป์ มีจื่อก้งและไจ๋หว่อ หมวดวรรณกรรม มีจื่อเซี่ยและจื่ออิ๋ว แม้นขงจื่อจะทำการจัดแบ่งเช่นนี้ก็ตาม แต่ความจริงท่านจะปูคุณธรรมให้เป็นพื้นฐานที่ศิษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การทหาร การต่างประเทศ หรือวรรณกรรม ก็ล้วนต้องมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทั้งสิ้น
ขงจื่อมีวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือท่านจะสอนตามลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาจะต้องเน้นที่การปลุกกระตุ้นให้รู้จักคิด ดังนั้นท่านจึงมักเลือกหาโอกาสที่เหมาะสมคอยเตือนสติลูกศิษย์อยู่ตลอดเวลา แต่หากศิษย์ไม่มีความกระตือรือร้นในการศึกษาหาความรู้แล้ว ท่านก็จะไม่ทำการสอนอีกต่อไป เพราะหากผู้ศึกษาร่ำเรียนไม่มีการใช้ความคิดที่เป็นของตนเองแล้ว แม้นจะถ่ายทอดความรู้ให้มากเท่าใดก็หาได้มีประโยชน์ใด ๆ ไม่
ในด้านการประศาสน์วิชานั้น ขงจื่อมักปลูกฝังทัศนะให้มีความวิริยะพากเพียรในการเรียนรู้อย่างมิเหน็ดเหนื่อยว่า “ข้ามิใช่ผู้ที่รู้มาโดยกำเนิดหรอก หากจะได้ความรู้นั้นมาด้วยการพากเพียรในคำสอนของบูรพชนเท่านั้น” อีกยังกล่าวว่า “สามคนร่วมเดิน จักต้องมีหนึ่งคนที่เป็นครูของเราได้เป็นแน่ หากว่าเป็นคนดีก็จงยึดเป็นแบบอย่าง หากเป็นคนไม่ดีก็จงยึดมาเป็นคติเตือนใจเพื่อปรับปรุงตน” ท่านไม่ชอบคนที่พอใจในสิ่งที่มีและมิยอมขวนขวายเพื่อพัฒนาตนเอง ดังนั้น หากท่านเห็นศิษย์เริ่มหย่อนยานต่อการเรียนรู้ ท่านก็จะทำการตำหนิติติงให้มีความขยันขันแข็ง ทั้งนี้ ท่านให้ความสำคัญกับการทบทวนความรู้เก่าที่เคยเรียนมาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการทบทวนสิ่งเก่าจะทำให้ได้ความรู้สิ่งใหม่ และผู้ที่ทำได้เช่นนี้ ก็คู่ควรแก่การเป็นครูบาอาจารย์สอนผู้คนได้แล้ว
สิ่งที่ท่านเน้นเป็นอย่างมากในคำสอนของท่านก็คือความกตัญญูต่อบุพการี ขณะเดียวกัน ท่านก็มักสนับสนุนให้คบหาปราชญ์เมธา เพื่อจะได้มีกัลยาณมิตรที่คอยเกื้อหนุนจุนค้ำให้คุณธรรมได้พัฒนา
โดยสรุปแล้ว วิธีการอบรมสอนสั่งลูกศิษย์ของท่านก็คือการปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่าง อ่อนน้อมถ่อมตน อบรมวิชาให้สอดคล้องตรงตามจริต เน้นการกระตุ้นให้มีความคิดอ่าน ด้วยเหตุดังนี้ จึงทำให้ท่านเป็นอริยชนอันเป็นที่ยกย่องสรรเสริญตราบจนปัจจุบัน
ขงจื่อไม่เพียงแต่ตั้งใจในงานด้านการศึกษาเท่านั้น หากท่านยังทำการรวบรวมประวัติศาสตร์ของแต่ละแว่นแคว้นจนกลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีชื่อว่าชุนชิวอีกด้วย เหตุที่ขงจื่อทำการรวบรวมประวัติศาสตร์ชุนชิวขึ้น ก็เพราะท่านได้เห็นเหล่าทรราชขุนนางโฉดที่คอยกัดกร่อนบ้านเมืองจนสึกหรอ จนทำให้บรรยากาศสังคมเกิดความเสื่อมทรามอย่างมิเคยเป็น
ท่านรู้สึกหนักใจที่ท่านไม่มีอำนาจบริหารบ้านเมืองในการผลักดันสิ่งที่กัดกร่อนประเทศชาติให้พ้นไป ดังนั้นท่านจึงได้อาศัยสื่อจากหนังสือประวัติศาสตร์ชุนชิวมาประกาศกิตติคุณของผู้มีคุณธรรมและทำการเปิดเผยพฤติกรรมอันชั่วร้ายของเหล่าคนถ่อยที่คอยบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองให้รู้ยำเกรง หนังสือประวัติศาสตร์ชุนชิวจึงเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มหนึ่งของจีนในปัจจุบัน
ทั้งนี้ หนังสือประวัติศาสตร์ชุนชิวยังเป็นหนังสือประวัติศาสตร์เล่มแรกของจีนและของโลกที่มีการเรียงลำดับปีอย่างชัดเจน เนื้อหาของหนังสือได้มีการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่มีการบันทึกวันเดือนปีที่เกิดเหตุการณ์อย่างถูกต้องแม่นยำ เอกลักษณ์อีกประการหนึ่งของหนังสือประวัติศาสตร์ชุนชิวก็คือ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีการวิจารณ์บุคคลในประวัติศาสตร์ แม้นคำวิจารณ์เหล่านั้นจะเกิดจากความเห็นส่วนตัวของขงจื่อก็จริง แต่ลักษณะการวิจารณ์ของท่านล้วนรักษาความเป็นกลางโดยไม่มีอคติใด ๆ อย่างเคร่งครัด
ในส่วนผลงานวรรณกรรมของท่าน ท่านยินดีรับฟังข้อติติงและอนุญาตให้ผู้อื่นร่วมแก้ไขได้อย่างเปิดเผย หากแต่หนังสือประวัติศาสตร์ชุนชิวนี้เท่านั้นที่ท่านจะไม่ยอมให้ใครร่วมวิจารณ์หรือร่วมแก้ไขปรับปรุงแม้แต่ตัวอักษรเดียวอย่างเด็ดขาด จนแม้นแต่จื่อเซี่ยและจื่ออิ๋วซึ่งเป็นศิษย์เอกที่เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมก็มิได้ยกเว้น จึงเห็นได้ว่าท่านได้ให้ความสำคัญต่อหนังสือประวัติศาสตร์ชุนชิวนี้มากเพียงใด ท่านกล่าวว่า “สิ่งที่จะทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจข้าได้ก็คือหนังสือชุนชิว และสิ่งที่จะทำให้ชนรุ่นหลังด่าว่าข้าได้ก็คือหนังสือชุนชิวนี้เช่นกัน” เพราะหน้าที่การรวบรวมประวัติศาสตร์ในอดีต ความจริงเป็นพระราชภารกิจของพระเจ้าแผ่นดินโดยตรง แต่เหตุที่ขงจื่อละเมิดกฎข้อนี้ ทั้งนี้เพราะต้องการปรามพวกเหล่าทรชนให้รู้ยำเกรงนั่นเอง
คัมภีร์ซือจิง ก็เป็นอีกแขนงวิชาหนึ่งที่ท่านใช้อบรมถ่ายทอดให้เหล่าลูกศิษย์ ท่านมักจะแนะนำให้เหล่าลูกศิษย์เรียนรู้คัมภีร์ซือจิงอยู่เสมอ เพราะซือจิงสามารถปลุกเร้าอารมณ์สุนทรีย์ สามารถกล่อมเกลาให้รู้หลักในการถวายงานรับใช้พระเจ้าแผ่นดิน รู้หลักในการปรนนิบัติบุพการี รู้หลักในการวิจารณ์พฤติกรรมของเหล่าขุนนางชั่วร้าย รู้หลักในการปฏิคมสนธิ อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ชื่อของเหล่าจตุรบาท พฤกษารุกขชาติได้อีกอย่างมากมาย
ในเนื้อหาที่ขงจื่อใช้ประสิทธิ์วิชา คัมภีร์ซือจิง คีตศาสตร์และจริยธรรมเป็นสามวิชาใหญ่ที่ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะท่านคิดว่าคัมภีร์ซือจิงเป็นคัมภีร์ที่สามารถกล่อมเหล่าจิตใจผู้คนให้ดีงาม และหากได้ถูกควบคุมโดยจริยธรรมและกล่อมเกลาโดยวิชาดนตรีแล้ว สุดท้ายก็จะทำให้ผู้คนมีบุคลิกภาพแลคุณธรรมอันสูงส่งได้
ท่านเป็นผู้ที่กระจ่างในอุปนิสัยของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ท่านกล่าวว่า “สำหรับเรื่องหนึ่ง ๆ หากถึงคราวรู้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงที่จะทำได้แล้วค่อยทำ ยังมิสู้เป็นการทำโดยความสมัครใจเสียดีกว่า หรือจะให้ดีคือควรทำโดยความสราญใจนั้นเป็นดีที่สุด” ดังนั้นจะทำสิ่งใดก็ควรบ่มเพาะให้เกิดความรักต่อสิ่งที่จะทำให้ได้เสียก่อน และวิถีที่จะบ่มเพาะให้เกิดความรักต่อสิ่งที่ทำก็คือการศึกษาในคัมภีร์ซือจิงและคีตศาสตร์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ขงจื่อได้ให้ความสำคัญต่อวิชาเหล่านี้หนักหนา
ขงจื่อไม่เพียงแต่พากเพียรในการศึกษาคัมภีร์ซือจิงและคีตศาสตร์เท่านั้น หากท่านยังมุ่งมั่นศึกษาคัมภีร์รพีจันทร์ (易經) แห่งพระเจ้าโจวเหวิน หวังและนำไปใช้ในงานการศึกษาของท่านอีกด้วย ท่านได้สร้างผลงานทางด้านนี้อย่างน่ายกย่อง จนได้กลายเป็นวรรณกรรมปรัชญาอันมีค่าที่สืบทอดมาตราบจนปัจจุบัน และสิ่งเหล่านี้ก็คือคุโณปการที่ขงจื่อได้รังสรรค์ไว้กับวงการวรรณกรรมและการศึกษาอย่างใหญ่หลวง
เมื่อครั้งที่ขงจื่อสิริอายุได้หกสิบกว่าปี บุตรชายของท่าน (ข่งหลี) ก็ถึงแก่กรรม ต่อมาศิษย์โปรดของท่านคือเหยียนหุยรวมถึงไจ๋หว่อและจื่อลู่ก็ได้ถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา ดังนั้นในช่วงปัจฉิมวัยของท่านขงจื่อ จึงเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นทรมานอย่างมิอาจสรรหาคำใดมาบรรยาย
ขงจื่อได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๗๓ ปี เหล่าลูกศิษย์ได้นำร่างของท่านฝังที่ริมแม่น้ำซื่อสุ่ย ทางทิศอุดรของเมืองฉวี่ฟู่แห่งมณฑลซันตง ภายหลังที่แห่งนี้ได้มีชื่อว่าข่งหลิน อันเป็นปูชนียสถานที่ผู้คนต่างไปสักการะบูชาอยู่มิขาด
ขงจื่อได้มุ่งมั่นกับงานด้านการศึกษาเป็นเวลานานถึงสี่สิบกว่าปี ได้ประสบกับความทุกข์ยากลำบากมามากมาย มีลูกศิษย์ทั้งสิ้นสามพันกว่าคน และในบรรดาลูกศิษย์เหล่านี้มีผู้ที่แตกฉานใน ๖ วิทยา อยู่ ๗๒ ท่าน และแม้นท่านจะได้อำลาจากเราไปไกลแล้วก็ตาม แต่คุณธรรมความดีของท่านก็จะยังคงเป็นอมตะให้เราได้ศึกษาเล่าเรียนตลอดไป
1
39 บันทึก
51
10
32
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ประวัติขงจื่อและสานุศิษย์ (孔子及弟子)
39
51
10
32
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย