Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
5 ก.ย. 2019 เวลา 13:46 • ประวัติศาสตร์
孔子及弟子
ประวัติขงจื่อและสานุศิษย์
2.เหยียนหุย (顏回)
เหยียนหุย ฉายาจื่อเยวียน หรืออีกนามหนึ่งว่า เหยียนเยวียน ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน ๑๐ ปราชญ์แห่งสำนักขงจื่อในหมวดคุณธรรม ชาวแคว้นหลู่ ภรรยานามว่าต้ายซื่อ ชาวแคว้นซ่ง ส่วนบิดามีนามว่าเหยียนลู่ เป็นศิษย์ขงจื่อเช่นเดียวกัน
เหยียนหุยเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาด รักการศึกษา ผมขาวโพลนทั่วศีรษะเมื่ออายุเพียง ๒๙ ปี ท่านเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติตามคำสอนของขงจื่อได้โดยตลอด ดังนั้นขงจื่อจึงกล่าวชมเหยียนหุยว่า “ข้าเจรจาด้วยเหยียนหุยตลอดทั้งวัน เขาไม่เคยซักค้านจนเสมือนหนึ่งผู้โง่เขลา แต่เมื่อข้าเฝ้าสังเกตดูหลังจากเขาจากไป เขาก็สามารถปฏิบัติความรู้นั้นออกมาได้อย่างหมดสิ้น เหยียนหุยคนนี้ แท้ไม่โง่เลย(บทเหวยเจิ้งตอนที่ ๙)” อีกทั้งยังกล่าวชมความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมของเหยียนหุยว่า “ที่ข้าสอนและนำไปปฏิบัติอย่างมิเกียจคร้าน ก็มีเพียงเหยียนหุยเท่านั้นเองแล (บทจื่อฮั่นตอนที่ 19)”
คุณธรรมของเหยียนหุยได้เป็นที่ยกย่องของชาวโลก ท่านสามารถ สุขใจในความยาก สำราญในธรรมา ดังที่ขงจื่อได้กล่าวชมเหยียนหุยว่า “ผู้ที่เป็นสุเมธชนนั้น เหยียนหุยท่านนี้เองแล หนึ่งถ้วยข้าว หนึ่งกระบวยน้ำ พำนักในตรอกโทรม คนอื่นมิอาจทนอยู่ได้ หากเหยียนหุยสุขใจมิเคยเปลี่ยน ผู้ที่เป็นสุเมธชนนั้น เหยียนหุยท่านนี้เองแล”
เนื่องด้วยเหยียนหุยมุ่งมั่นใฝ่ธรรม ท่านจึงสามารถยกระดับจิตใจถึงขั้น สามเดือนมิขัดต่อเมตตาธรรม ได้ ซึ่งหาใช่สิ่งที่ง่ายดายไม่
เหตุด้วยการปฏิบัติธรรมสู่ใต้หล้านั้นคือเมตตาธรรม เหยียนหุยจึงใคร่รู้ซึ่งรายละเอียด ขงจื่อตอบว่า “ไม่ชอบด้วยจริยธรรมอย่าได้มอง ไม่ชอบด้วยจริยธรรมอย่าได้ฟัง ไม่ชอบด้วยจริยธรรมอย่าได้กล่าว ไม่ชอบด้วยจริยธรรมอย่าได้ทำ” หลังจากได้สดับ เหยียนหุยก็นำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในตลอดชีวิตของท่าน จนขงจื่อเคยกล่าวชมเหยียนหุยว่าเป็นบุคคลที่ไม่ผิดซ้ำสอง
แม้นเหยียนหุยจะเป็นคนสงบจนดูเหมือนคนทึมทึบ แต่ความจริงท่านเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมเหนือคนธรรมดา ดังได้ปรากฏในเหตุการณ์ต่อไปนี้
ในแคว้นหลู่ได้มีครูฝึกม้าผู้ลือนามท่านหนึ่งนามว่า ตงกัวปี้ ได้เป็นที่โปรดปรานของหลู่ติ้งกงมากเป็นพิเศษ วันหนึ่ง หลู่ติ้งกงทรงถามเหยียนหุยว่า “เจ้าทราบไหมว่าในแคว้นเราได้มีครูฝึกม้าผู้ลือนามอยู่ท่านหนึ่ง”
เหยียนหุยตอบว่า “การฝึกม้าของตงกัวปี้เน้นที่การเคี่ยวเข็ญ ฝีมือเขาดีอยู่ดอก เพียงแต่ม้าจะต้องหนีเขาไปสักวันเป็นแน่”
หลู่ติ้งกงไม่ทรงเห็นด้วย จึงรับสั่งกับคนสนิทว่า “คนที่ถูกยกย่องว่าเป็นวิญญูชน ไฉนจึงชอบพูดจาใส่ร้ายผู้อื่นอย่างนี้หนอ ?”
สามวันต่อมา มหาดเล็กได้มากราบทูลว่า ม้าของตงกัวปี้ได้หลบหนีไปเสียแล้ว หลู่ติ้งกงทรงรู้สึกเสียพระทัยที่เสียมารยาทต่อเหยียนหุย จึงเสด็จไปเยือนเหยียนหุยพร้อมทั้งรับสั่งถามถึงสาเหตุที่สามารถพยากรณ์เรื่องม้าอย่างสนพระทัย
เหยียนหุยกราบทูลว่า “เรื่องนี้กระหม่อมทราบจากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่ครั้งอดีต พระเจ้าซุ่น ทรงเป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้า ส่วนเจ้าฟู่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการฝึกม้า เคล็ดลับนั้นอยู่ที่พระเจ้าซุ่นไม่ทรงเกณฑ์ใช้แรงงานประชาราษฎร์จนสิ้นแรง ส่วนเจ้าฟู่ก็ไม่เคี่ยวเข็ญอาชาจนพละกำลังเหือดแห้ง แต่ตงกัวปี้กลับใช้ม้าเทียมรถบรรทุกคน เคี่ยวเข็ญให้ม้าวิ่งทางไกล บังคับให้ไปในถิ่นทุรกันดาร นี่คือการใช้กำลังม้าให้เหือดแห้ง ม้าไม่มีโอกาสได้พักผ่อน จิตใจของมันจึงอัดแน่นด้วยความเคืองแค้น ดังนั้นเมื่อสบโอกาส ม้าจะไม่หนีได้ไย ?” หลู่ติ้งกงทรงพยักพระพักตร์เห็นด้วยในที่สุด
เหยียนหุยกราบทูลต่อไปว่า “นกเมื่อจนตรอกก็จะจิก สัตว์เมื่อจนตรอกก็จะตะปบ ม้าเมื่อจนตรอกก็จะหนี นับแต่อดีตตราบปัจจุบัน ยังไม่เคยปรากฏรัฐบาลใดที่เคี่ยวเข็ญประชาราษฎร์จนแร้นแค้นแล้วยังสามารถอยู่ได้” หลู่ติ้งกงทรงรู้สึกว่าคำกล่าวของเหยียนหุยแฝงด้วยความนัยให้ขบคิด แต่ก็รับสั่งเห็นชอบในที่สุด
ทั้งนี้ คุณธรรมของเหยียนหุยยังมั่นคงดั่งทองนพคุณที่สามารถทนต่อการเคี่ยวหลอมของเปลวเพลิง ดังได้ปรากฏในเหตุการณ์ต่อไปนี้
ครั้งหนึ่ง ขงจื่อถูกดักล้อมระหว่างแคว้นเฉินและแคว้นไช่ ทั้งคณะจึงต้องอดข้าวไร้อาหารเป็นเวลานานถึง ๗ วัน ครานั้นจื่อก้งได้ลักลอบนำสมบัติไปแลกข้าวสารมาได้จำนวนหนึ่ง เหยียนหุยและจื่อลู่จึงนำไปหุงที่บ้านร้าง แต่ขี้ผงบนหลังคาได้ตกลงไปในหม้อข้าวโดยบังเอิญ เหยียนหุยจึงตักส่วนที่สกปรกนั้นเข้าปาก จื่อก้งซึ่งยืนอยู่ริมบ่อข้างบ้านร้างเห็นเหตุการณ์โดยตลอด รู้สึกไม่พอใจยิ่ง จึงเดินไปถามขงจื่อว่า “บัณฑิตผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เมื่อถึงคราวอับจน เขาจะยอมขายจิตวิญญาณของตนหรือไม่ ?”
ขงจื่อตอบว่า “ในเมื่อได้ขายจิตวิญญาณของตนแล้ว จะนับเป็นบัณฑิตผู้เปี่ยมเมตตาธรรมได้ไย ? ”
จื่อก้งถามขึ้นว่า “แล้วอย่างเหยียนหุยที่มีคุณธรรมอันงดงาม ท่านอาจารย์ก็กล่าวชมเขาอยู่เสมอ หมายความว่าเขาจะไม่มีวันขายจิตวิญญาณของตนอย่างนั้นหรือ ?”
ขงจื่อกล่าวว่า “แน่นอน เหยียนหุยจะไม่ทำสิ่งที่ขายจิตวิญญาณของตนอย่างแน่นอน” จื่อก้งจึงนำเหตุการณ์การลักกินข้าวของเหยียนหุยเล่าให้ขงจื่อฟังโดยละเอียด ขงจื่อรู้สึกตกตะลึง จึงกล่าวขึ้นว่า “ข้ามีความเชื่อมั่นในคุณธรรมของเหยียนหุยมาเป็นเวลานาน เรื่องที่เจ้าเล่ามาข้ายังไม่อาจปักใจเชื่อ และหากเหยียนหุยกระทำเช่นนั้นจริง เชื่อว่าต้องมีสาเหตุเป็นแน่ เจ้ายังไม่ต้องกล่าวออกไป ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง”
ขงจื่อจึงเรียกตัวเหยียนหุยเข้าพบ กล่าวขึ้นว่า “วันก่อนข้าฝันเห็นบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงอยากจะบูชาบรรพบุรุษสักหน่อย เจ้ารีบหุงข้าวเถอะ ข้าจะได้นำข้าวมาบูชาบรรพชนของข้า”
เหยียนหุยตอบว่า “ข้าวนั้นใช้บูชาไม่ได้แล้ว เพราะมีขี้ผงตกจากหลังคา หากปล่อยไว้ก็ไม่ดี ถ้าทิ้งไปก็เสียดาย เพราะทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยหิวโหยมานาน ดังนั้นศิษย์จึงตักส่วนที่สกปรกนั้นทานเสียเอง ข้าวนี้จึงมิอาจใช้บูชาได้อีก” กล่าวจบ เหยียนหุยก็ขอตัวจากไป
ขงจื่อปรารภกับศิษย์ทุกคนว่า “ความเชื่อใจที่ข้ามีต่อเหยียนหุย มิใช่เพิ่งจะมีในตอนนี้หรอก” นับแต่นั้น ทุกคนจึงยิ่งเคารพนับถือเหยียนหุยมากขึ้นเป็นทวี
เหยียนหุยเป็นผู้ที่มีความมานะต่อการศึกษา แต่ก็รู้สึกว่าขงจื่อเป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จนมิอาจสรรหาคำใดมาเปรียบปาน จึงอุทานขึ้นว่า “ยิ่งแหงนมองยิ่งเห็นว่าท่านสูงผงาด ยิ่งค้นคว้ายิ่งรู้สึกว่าความรู้ท่านหนักแน่น ครั้นมองก็อยู่เพียงหน้า แต่พริบตาก็อยู่ด้านหลัง ท่านอาจารย์โน้มน้าวประสิทธิ์วิชาอย่างเป็นขั้นตอน ทำให้ข้าชำนาญด้วยศิลปวิชา ทำให้ข้ามีระเบียบด้วยธรรมจริยา จนแม้นข้าอยากหยุดก็มิอาจกระทำได้ ข้าจึงทุ่มสุดกำลังความสามารถ แต่ท่านก็ยังคงเด่นผงาดอยู่เพียงเบื้องหน้า แม้นประสงค์จะไล่ให้ทัน ก็มิอาจทำได้เลยแล (บทจื่อฮั่นตอนที่ ๑๐)”
ผู้ใดที่เข้าถึงธีรภาพของขงจื่อ ต่างต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกับเหยียนหุยเช่นนี้ทุกคน
ในด้านขงจื่อ ท่านได้ให้ความรักและความเอ็นดูต่อเหยียนหุยเหมือนเช่นบุตรคนหนึ่ง ดังเมื่อครั้งที่ขงจื่อประสบเคราะห์ที่หมู่บ้านควง คณะเดินทางถูกผู้ประสงค์ร้ายดักล้อมเป็นเวลาหลายวัน ขงจื่อจึงตัดสินใจฝ่าวงล้อมออกไป ในครั้งนั้นเหยียนหุยพลัดหายไปในระหว่างทาง แต่ภายหลังเหยียนหุยสามารถไล่ตามขงจื่อได้ทัน ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยความดีใจว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” เหยียนหุยกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ยังอยู่ ศิษย์ไยกล้าด่วนตายก่อนได้”
1
แต่ช่างโชคร้ายเป็นอย่างยิ่ง เหยียนหุยอายุเพียง ๒๙ ผมก็ขาวโพลนทั่วศีรษะ อายุเพียง ๓๒ ก็ถึงแก่อนิจกรรม ขงจื่อร้องไห้เสียใจปานฟ้าถล่มทลาย แต่ที่เสียใจหาใช่การตายของเหยียนหุยแต่อย่างเดียวไม่ หากเพราะบุคคลที่จะเป็นผู้สืบสานธรรมพงศาต่อไปในอนาคตได้ตายจากไปต่างหาก ศิษย์ทุกคนต่างเฝ้าปลอบใจอาจารย์ให้ระงับความโศกว่า “อาจารย์ ท่านเสียใจจนเกินไปแล้ว” ขงจื่อกล่าวว่า “หากข้าไม่เสียใจให้กับคน ๆ นี้ แล้วจะให้ข้าเสียใจกับใครล่ะ ?”
ชีวิตนั้นมิอาจยืนยง หากคือคุณธรรมอันอุโฆษนั้นต่างหากที่จะมั่นคงดำรงอยู่คู่ดินฟ้า แม้นสังขารของเหยียนหุยจะดับสลายมลายเป็นดิน แต่กิตติคุณความดีของท่านก็หาได้พินาศสิ้นไปกับเวลา ชนใต้หล้าจึงต่างสรรเสริญเทิดทูนท่านให้เป็นพระอริยะฟู่เซิ่ง (復聖) อันมีความหมายว่าพระอริยะอีกท่านหนึ่งต่อจากปรมาจารย์ขงจื่อ และนี่ก็คืออีกหนึ่งประจักษ์ความดี ที่แม้ชีวีจะแสนสั้นเพียง ๓๒ ปีก็ตาม
6 บันทึก
8
32
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ประวัติขงจื่อและสานุศิษย์ (孔子及弟子)
6
8
32
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย