9 ก.ย. 2019 เวลา 16:15 • ธุรกิจ
"เติบโตเพราะคิดต่าง (Part 2)"
ตามที่ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารบริษัท พีทีจี
เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (พีทีจี)
คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ซึ่งพาบริษัทที่มีหนี้สินประมาณ 3,000 ล้านบาท กลับมาเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีสถานีบริการน้ำมันและแอลพีจีจำนวน 1,953 สาขาทั่วประเทศได้อย่างไร
หากใครที่ยังไม่ได้อ่าน ผมขอให้ย้อนกลับไปอ่านบทความนั้นก่อนเพื่อความเข้าใจและได้อรรถรสมากขึ้นครับ https://www.blockdit.com/articles/5d6e0841b0715a0cded7e98a
เนื่องจากวันนี้ (9 /9 /2562) ผมและสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมและรับฟังวิสัยทัศน์ของคุณพิทักษ์ ซึ่งได้บรรยายเกี่ยวกับกลยุทธ์ และแนวคิด การบริหารและขับเคลื่อนองค์กร ณ อาคาร CW ถนนรัชดาซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของพีทีจี
ซึ่งการบรรยายครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งถือว่าน้อยมาก ๆ สำหรับการรับฟังและถอดวิธีคิดของคนเก่งระดับนี้ แต่เมื่อมีโอกาสแล้วผมจึงไม่พลาดที่บันทึกแนวคิดของคุณพิทักษ์ และนำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยครับ
"ฝ่าฟันวิกฤติ"
ในปี 2540 ประเทศไทยเกิดวิกฤต "ต้มยำกุ้ง" และได้ลุกลามไปทั่วโลก มีบริษัทจำนวนมากที่ประสบปัญหาด้านการเงิน และพีทีจี ก็เป็น 1 ในบริษัทเหล่านั้น โดยสาเหตุหลัก ๆ เกิดจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พีทีจี ค้างชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ทางการค้า (เนื่องจากพีทีจีได้เครดิต 6 เดือน) จึงทำให้จากเดิมมีหนี้ซึ่งจะต้องชำระในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 25 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 56 บาทอย่างรวดเร็ว
ในช่วงนั้น พีทีจี มีพนักงานจำนวน 1,600 คน ซึ่งหากบริษัทจะยอมล้มละลายและผู้บริหารเอาตัวรอดด้วยการล้มบนฝูกก็สามารถทำได้ แต่คุณพิทักษ์ไม่ยอมใช้วิธีดังกล่าว เพราะหากทำอย่างนั้นพนักงานกว่า 1,600 ชีวิตและครอบครัวจะเป็นอย่างไร
คุณพิทักษ์ได้ให้แง่คิดแก่พนักงาน ด้วยคำว่า "JENG" โดยบอกว่า คำนี้ออกเสียงได้ทั้ง "เจ๊ง" และ "เจ๋ง" ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตีความอย่างไร ถ้าเรามีทัศนคติยอมแพ้กับอุปสรรคก็คงหนีไม่พ้นคำว่าเจ๊ง แต่ถ้าเราฝ่าฟันเอาชนะอุปสรรคไปได้ ทุกคนจะยกคำว่าเจ๋งให้กับเราเอง
โดยคุณพิทักษ์ มักจะให้กำลังใจตัวเองและพนักงานด้วยบทเพลง "ผู้ชนะ" "คนล่าฝัน" และ "ศรัทธา" อยู่เป็นประจำ (เมื่อพูดจบประโยคนี้ คุณพิทักษ์ก็ร้องท่อนฮุกของเพลงผู้ชนะให้พวกเราได้ฟังกัน)
ภายในตึก CW
"คิดอย่างละเอียด"
แนวคิดการทำสถานีบริการน้ำมันและแอลพีจีของพีทีจีจะแตกต่างกับเจ้าอื่นในตลาด โดยปั๊มส่วนใหญ่ของพีทีจีนั้น บริษัทจะเป็นเจ้าของและบริหารจัดการเอง แต่ของเจ้าอื่นโดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีให้คนอื่นเป็นเจ้าของและทำการบริหาร ทำให้พีทีจีสามารถควบคุมคุณภาพของพนักงานและกระตุ้นให้พนักงานกระตือรือร้นทั้งในด้านการบริการและหาลูกค้า
ซึ่งเห็นได้จากการที่บัตร maxcard มีสมาชิกแล้วประมาณ 300,000 คนทั้งที่เพิ่งเริ่มโปรเจคได้ไม่นาน ซึ่งเกิดจากการปลูกฝังให้พนักงานรักในงานบริการและทำให้เขารู้สึกมีส่วนร่วมกับบริษัทนั่นเอง
คุณพิทักษ์กระซิบบอกว่า ในขณะที่ปั๊มน้ำมันของเจ้าอื่น พนักงานจะเป็นคนต่างด้าวเกือบหมดแล้ว แต่ปั๊มพีทียังคงใช้พนักงานที่เป็นคนไทย 100% ซึ่งปัจจุบันปั๊มพีทีมีพนักงานถึง 14,000 คนทั่วประเทศ
สวนแห่งการเรียนรู้
ข้อแตกต่างอีกข้อหนึ่งของพีทีจีกับเจ้าอื่น ๆ ในตลาดก็คือ พีทีจี มีระบบการขนส่งน้ำมันและคลังน้ำมันเป็นของตัวเอง โดยทุก 200 กิโลเมตรจะมีคลังน้ำมันของบริษัทอยู่รอบ ๆ ทำให้การขนส่งน้ำมันจากคลังไปสู่ปั๊มสามารถทำได้อย่างสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย
โดยรถบรรทุกน้ำมันของพีทีจีจะเลือกใช้รถยี่ห้อเดียวกันเกือบทั้งหมดเพื่อความสะดวกในการซ่อมแซม ซึ่งในปัจจุบันมีรถบรรทุกประมาณ 800 คัน และใช้น้ำมัน B20 ทุกคัน (น้ำมัน B20 มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไปอยู่ลิตรละ 5 บาท ทำให้ปีนึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 90 ล้านบาท) ในขณะที่เจ้าอื่น ๆ จะใช้วิธีการ outsource แทน
"มองเห็นโอกาสอยู่เสมอ"
สิ่งที่คุณพิทักษ์ ได้เน้นย้ำกับพนักงานอยู่ตลอดก็คือ การมองหาโอกาสอยู่เสมอ และต้องทำตัวเองให้พร้อมรับโอกาสที่จะมาถึงด้วย เพราะถ้าโอกาสที่เข้ามานั้นเท่ากัน คนที่เร็วกว่าจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าต่างเร็วด้วยกันทั้งคู่ คนที่ดีกว่าจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้ายังดีเหมือนกันอีก คนที่ใจถึงกว่าจะเป็นผู้ชนะในที่สุด และสุดท้ายถ้าไม่มีโอกาส ก็ต้องสร้างโอกาสนั้นขึ้นมา
ด้วยความที่คู่แข่งในวงการล้วนมีแต่ยักษ์ใหญ่ คุณพิทักษ์ ได้บอกกับพนักงานว่า การขาดแคลนทรัพยากรไม่ใช่ข้อจำกัดของการ "ล้มยักษ์" แต่ต้องใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เปรียบเทียบกับนายพรานที่เหลือลูกธนูอีกเพียงดอกเดียว การที่จะล้มกวางให้ได้ซักตัวนอกจากจะต้องยิงให้เข้าเป้า คือตรงหัวใจแล้ว จะต้องยิงให้แรงพอที่จะทะลุหัวใจของกวางนั้นด้วย
"ให้คุณค่าพนักงาน"
คุณพิทักษ์ จะเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเข้าพบผู้บริหารได้ตลอดเวลา โดยพีทีจี จะมี "วัฒนธรรมรับประทานอาหารเช้า" กับผู้บริหารโดยเปิดโอกาสให้พนักงานได้พูดคุยกับผู้บริหารระหว่างการรับประทานอาหาร
โดยหัวข้อการสนทนาก็คือ "วันนี้แผนกของคุณได้ช่วยเหลือแผนกอื่นแล้วหรือไม่ อย่างไร" ซึ่งคุณพิทักษ์บอกว่า วิธีนี้จะทำให้พนักงานได้รู้สึกว่าเขาเป็น "somebody" และรู้สึกมีคุณค่าต่อบริษัท
มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ คุณพิทักษ์ เห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือมาก โดยจะให้พนักงานอ่านหนังสือที่น่าสนใจและสรุปประเด็นที่อ่านเล่าให้เพื่อนพนักงานคนอื่น ๆ ฟัง โดยจะให้พนักงานจับคู่กันในการถ่ายทอดเรื่องราวจากหนังสือที่ได้อ่านเพื่อฝึกการทำงานเป็นทีม ซึ่งวิธีนี้ทำให้พนักงานของบริษัทมีความรู้ในด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นและยังเป็นการฝึกให้พนักงานสามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ
และในทุกวันเสาร์ ซึ่งโดยปกติจะเป็นวันหยุดแต่คุณพิทักษ์จะให้พนักงานอาสาสมัครออกไปให้บริการตามปั๊มน้ำมันสาขาต่าง ๆ เช่น ไปเช็ดกระจกรถยนต์ให้แก่ผู้มาใช้บริการ เพื่อจะได้มองเห็นภาพจริงของธุรกิจและสามารถเห็นข้อบกพร่องและสิ่งที่ควรปรับปรุงได้อย่างชัดเจน
คุณพิทักษ์บอกกับเราว่าในบางครั้ง แกเองยังปลอมตัวไปเป็นเด็กปั๊มคอยเติมน้ำมันและเช็ดกระจกให้คนที่มาใช้บริการ เพื่อสร้างความสนิทสนมกับพนักงานที่ประจำปั๊มน้ำมันในสาขาต่าง ๆ หากใครผ่านไปใช้บริการปั๊มพีที ถ้าเจอแกก็เข้าไปทักได้นะครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับแนวคิดของผู้บริหารท่านนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ สำหรับผมเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งนับว่าน้อยมาก ๆ สำหรับประสบการณ์และวิสัยทัศน์แบบนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมเห็นในตัวคุณพิทักษ์ และผู้บริหารเก่ง ๆ หลาย ๆ ท่านก็คือ หัวใจที่ไม่ยอมแพ้กับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
คนธรรมดามองว่าอุปสรรคคือปัญหา เป็นกำแพงใหญ่ที่เมื่อเจอก็ยอมแพ้และหันหลังกลับไป แต่สำหรับบุคคลเหล่านี้ อุปสรรคเป็นเหมือนกับขั้นบันไดให้พวกเขาก้าวผ่าน
แล้วคุณล่ะเลือกที่จะหันหลังให้กับกำแพงหรือจะก้าวข้ามไปเหมือนพวกเขาเหล่านั้น "ทุกอย่างอยู่ที่คุณตัดสินใจ"
ถ้าได้ประโยชน์จากบทความนี้ ช่วยกด Like, Share ด้วยนะครับ 😻
ก่อนกลับ ได้รับหนังสือ "คนเล็กเวทียักษ์" พร้อมลายเซ็นจากคุณพิทักษ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา