Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Mr.Strategist
•
ติดตาม
14 ก.ย. 2019 เวลา 15:08 • ความคิดเห็น
เมื่อวานผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ทางคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แจกฟรีจากงานเสวนาแห่งหนึ่ง เป็นหนังสือรวมบทความวิเคราะห์ภาพรวมด้านการทูตและการต่างประเทศของไทย ตั้งแต่ช่วงปลายยุคสงครามเย็นจนมาถึงยุคศตวรรษที่ 21 แบบสรุปรวบยอด ผ่านแง่มุม และทัศนคติของบุคคลสำคัญในด้านการต่างประเทศ ทั้งอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน อ.จุลชีพ ชินวรรโณ อ.จรัญ มะลูลีม และ อ.ประภัสสร์ เทพชาตรี
โดยหัวข้อภายในเล่มเนี่ยก็มีทั้งด้านการกำหนดนโยบายต่างประเทศภายในกระทรวงการต่างประเทศ ภาพรวมความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนักต่อประเทศเพื่อนบ้าน การพึ่งพาทางเทคโนโลยีการทหารจากจีนที่มากเกินไป การทูตที่มีต่อโลกมุสลิม และทิศทางการพัฒนาของนโยบายต่างประเทศไทยในอนาคต ผมเห็นว่าน่าสนใจดีเลยว่าจะมารีวิว และเล่าถึงภาพรวมแบบกว้างๆให้ได้อ่านกันแบบพอสังเขป
สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยทำพลาดไปนั้น ในมุมของอานันท์ ปันยารชุนก็คือ เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับภูมิภาครอบบ้านของเราเท่าที่ควร กล่าวคือ ไทยเรานั้นค่อนข้างมัวเสียเวลาไปกับการสร้างภาพลักษณ์บนเวทีโลกและติดต่อกับโลกตะวันตกมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา (ช่วง 2-3 ทศวรรษก่อน) ไทยเราดำเนินนโยบายที่เอนไปทางการเล่นเกมร่วมกับประเทศมหาอำนาจเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างในสงครามเย็นเราก็มีบทบาทสำคัญในการเป็นลูกไล่ให้กับอเมริกา ทำให้บทบาทการเชื่อมสัมพันธ์ในระดับภูมิภาคของไทยต่อเพื่อนบ้านถูกลดหลั่นออกไป
หลังจากที่อานันท์ลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เคยได้เสนอแผนในการพัฒนาเพิ่มความสำคัญของกลุ่ม ASEAN แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแผนของอานันท์ เพราะช่วงนั้นรัฐบาลไทยมัวแต่สนใจเรื่องความมั่นคงและภัยจากคอมมิวนิสต์เป็นหลัก ทำให้ไทยค่อนข้างวุ่นวายอยู่กับภารกิจตรงนั้น สำหรับอานันท์แล้ว ASEAN นั้นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นแนวทางที่ไทยเราควรจะเกาะยึดเอาไว้ให้แน่น
ยิ่งหากเรามองในเรื่องของความมั่นคง การรักษาความสงบสุขระดับภูมิภาคร่วมกัน ASEAN ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็น ยิ่งไปกว่านั้นการรวมตัวของ 10 ประเทศใน ASEAN ยังเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเข้าไปหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อีกด้วย ดังนั้น ASEAN และเขตการค้าเสรีของ ASEAN จึงเป็นสิ่งที่ไทยไม่ควรมองข้าม
อีกประการหนึ่งที่อานันท์มองว่าค่อนข้างเป็นอุปสรรคในการต่างประเทศของไทยคือ เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนงานด้านการทูตของไทยเรานั้นรู้ภาษา ASEAN น้อยมาก เรามัวแต่สนับสนุนการเรียนภาษาตะวันตก ภาษามหาอำนาจกัน แต่ภาษาพม่า บาฮาซ่า เวียดนาม เขมร มลายูอะไรพวกนี้เรารู้กันน้อยมาก
ทุกครั้งที่ไปเยือนต่างประเทศ ในแถบนี้เจ้าหน้าที่ด้านการทูตของประเทศเพื่อนบ้านเขารู้และเข้าใจภาษาไทยเราเป็นอย่างดี แต่เราไม่เข้าใจภาษาเขา (สิ่งนี้ผมคิดว่า อานันท์น่าจะพูดจากฐานของเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศอาจจะแก้ปัญหาในจุดนี้ไปแล้วก็ได้)
ประการเสริมในข้อถัดมาก็คือ ไทยเราค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน เพราะเรื่องทางประวัติศาสตร์และเรื่องทางด้านการทหาร วิธีคิดของชนชั้นนำฝ่ายทหารเมื่อ 50-60 ปีก่อนยังคงมีอิทธิพลกับแนวคิดด้านนโยบายต่างประเทศของไทยอยู่มาก แม้แต่คนไทยเองก็ยังมองประเทศเพื่อนบ้านแบบไม่เป็นมิตรนัก โดยเฉพาะพม่า ลาว เขมร เวียดนาม
พูดในกรอบของความมั่นคงไทยเองก็ขึ้นชื่อไม่น้อยในเรื่องการเป็น “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ให้แก่อเมริกาในสมัยสงครามเย็น จากการที่เราอนุญาตให้กองทัพอเมริกาเข้ามาใช้พื้นที่ในหลายๆจังหวัดทำฐานทัพ เพื่อใช้ในการนำเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในประเทศเพื่อนบ้าน
ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ประภัสสร์มองว่าเป็นสิ่งที่ไทยเราควรดำเนินการอย่างระมัดระวังให้มากที่สุด คือ การดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่ม ASEAN เพราะไม่ว่าจะด้วยมิติทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ และระเบียบการเมืองในระดับภูมิภาค ประเทศไทยเราถูกล้อมด้วยกรอบความสัมพันธ์ดังกล่าว
การจัดลำดับความสำคัญจึงควรเป็นไปในทิศทางที่ให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นลำดับแรก แล้วจึงขยับไป ASEAN และขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก เพราะ ASEAN และกลุ่มประเทศ CLMV ทางเหนือและตะวันออกของชายแดนไทยนั้นล้วนกุมโอกาสทางเศรษฐกิจการค้าของไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 25% ของทั้งหมด ASEAN จึงเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งไทยไม่ควรจะละเลย
สำหรับประภัสสร์แล้ว ทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยควรต้องรีบปรับสมดุล และภูมิทัศน์การมองโลกใหม่ ไม่ให้มองข้ามภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตัวปัจจัยทางภูมิศาสตร์แล้วไทยเรามีความได้เปรียบอย่างสูงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ไทยสามารถดันตนเองให้กลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและการเป็นประตูจากเอเชียตะวันออก สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากแผ่นดินใหญ่ได้
แม้ว่าไทยจะมีจุดเด่นด้านการทูตแบบไผ่ลู่ลม หรือการทูตที่เน้นรักษาสมดุลกับประเทศมหาอำนาจ แต่ผลที่ตามมาจากการเลือกเล่นเกมด้วย การทูตแบบนี้คือ มันจะทำลายความสัมพันธ์ และสร้างความไม่ไว้วางใจต่อประเทศเพื่อนบ้าน
และประเทศในระดับภูมิภาคที่จะมองว่าไทยไว้ใจไม่ได้ เล่นเกมการเมืองเก่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง เพราะในระยะยาวแล้วสถานการณ์รอบบ้านควรเป็น Safe zone และ Comfort zone ที่ปลอดภัยที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์
ไทยควรบริหารความสัมพันธ์และจัดลำดับความสำคัญในด้านการทูตให้ดี เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจหรือพึ่งพาประเทศมหาอำนาจมากจนเกินไป จนกลายเป็นความเคยชินทางการทูต
อีกข้อเสียหนึ่งของการทูตแบบลักษณะดังกล่าวของไทย ก็คือ หากไทยเลือกเดินเกมโดยวนเวียนอยู่กับกลุ่มความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจเป็นหลักเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วไทยจะถูกบีบให้เลือกข้าง ยิ่งโดยเฉพาะหากสถานการณ์ของสงครามการค้าดำเนินไปอย่างนี้อีกหลายปี
หรือมีความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างมหาอำนาจอย่างอเมริกากับจีน ซึ่งอีก 20 ปีถัดจากนี้ คงอาจไม่ได้มีแค่สงครามการค้า แต่อาจมีการใช้มาตรการทางการทูตโต้ตอบกันมากขึ้น ทำให้การเดินเกมแบบไผ่ลู่ลมค่อนข้างมีอันตราย หากไม่มีแผนสำรอง หรือยุทธศาสตร์ในระยะยาวในการเตรียมรับมือกับภัยทางด้านนั้น
จุดนี้ค่อนข้างสอดรับกับแนวความเห็นของ อ.จุลชีพ ที่มองว่า มันเริ่มส่งผลออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้นแล้วในช่วงรัฐบาลประยุทธ์ ที่การต่างประเทศของไทยเริ่มขาดความสมดุล จากการที่รัฐบาลประยุทธ์เน้นนโยบายต่างประเทศที่พึ่งพาจีนในมิติความมั่นคงมากเกินไป
ความสัมพันธ์ไทย-จีนไม่ใช่แค่แน่นแฟ้นมากขึ้นในสมัยประยุทธ์ แต่ประยุทธ์ได้เพิ่มอัตราการพึ่งพาทางเทคโนโลยีด้านการทหารของไทยให้ไปติดอยู่กับจีนสูงขึ้น
จากการลงนามสั่งซื้อเรือดำน้ำรุ่น Yuan S26-T และรถถัง VT-4 จากบริษัท NORINCO ของจีน ด้วยสเป็คที่ถูกปรับลดลงมาเป็นเกรดสำหรับส่งออก เพื่อขายไปยังประเทศพันธมิตร (และยังไม่รวมขีปนาวุธพิสัยไกลรุ่นต่างๆที่รัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงการเจรจาซื้อจากอุตสาหกรรมการทหารของจีน)
จุดนี้ อ.จุลชีพแสดงถึงความเป็นห่วงว่าในระยะยาวไทยจะยังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเรือดำน้ำจากจีนไปอีกพักใหญ่ๆ การพึ่งพาทางยุทธศาสตร์การทหารเช่นนี้ จะมีผลต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
การพึ่งพาทางอาวุธและเทคโนโลยีการทหารจากจีน จะทำให้จีนมีแต้มต่อในการกดดัน และบีบบังคับไทยในเชิงนโยบายได้มากขึ้น แม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วไทยและรัฐบาลประยุทธ์จะมีความพยายามในการบริหารความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ เช่น อเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย อินเดีย เพื่อแสวงหาความสมดุลอยู่ตลอดเวลาก็ตามที แต่ในด้านการทหาร มิตินี้จัดว่าอยู่ในระดับความเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก ไทยจึงควรต้องเตรียมตัวและแผนสำหรับการรับมือกับผลลัพธ์ที่จะตามมาในส่วนนี้ ในอนาคตอันใกล้อย่างระมัดระวัง
1 บันทึก
5
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย