24 ก.ย. 2019 เวลา 04:30
พุทธ​ประวัติ​ ตอนที่​ 17
ส่งนายฉันนะกลับกรุงกบิลพัสดุ์​
ณ ริมหาดทราย แม่น้ำอโนมา​นที
พระ​บรม​โพธิสัตว์​เจ้า...
ครั้น​เมื่อ​พระองค์​ได้ทรง​อธิษฐาน​เพศบรรพชิตครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสร็จ​เรียบร้อย​แล้วนั้น
พระองค์​จึง​ได้รับสั่ง​ให้นายฉันนะ
นำม้ากัณฐกะ พร้อมด้วยเครื่องอาภรณ์ และข่าวสารการบรรพชาของพระองค์ ไปแจ้งแก่พระบิดา และ​พระ​ประยูรญาติ​ในกรุง​กบิลพัสดุ์​ เพื่อจะได้บรรเทาความทุกข์โทมนัส อันเกิดจากความรักความห่วงใยในตัวพระองค์...
นายฉันนะ​ ผู้นี้เป็น 1 ใน 7 สหชาติที่มีความจงรักภักดี​ และมีความอาลัยอาวรณ์​ ในพระบรมโพธิสัตว์เป็นอย่างมาก และนายฉันนะนั้น ก็มิสามารถจะตัดและละทิ้ง ให้พระ​บรมโพธิสัตว์​ท่านต้องเสด็จ​อยู่​เพียงลำพังแต่ผู้เดียวในดงไพรสณฑ์เช่นนี้ จึงได้พนมมือตั้งยกขึ้นกราบบังคมทูลแก่ พระบรมโพธิสัตว์​เจ้าว่า...
ฉันนะผู้ติดตามบังคมกราบทูล​ว่า :
***ข้า​แต่​พระ​มหา​สมมุติ​เทพ
ข้าพระเจ้านายฉันนะจักขอบรรพชาตามเสด็จ และจักคอยอยู่เฝ้ารับใช้พระองค์​ตลอดไปตราบจนกว่าชีวิตของข้าพระองค์นั้นจักหาไม่ พระเจ้า​ข้า***
เมื่อได้สดับคำขอของนายฉันนะแล้ว พระองค์​จึงมีพระดำรัสตรัสถามตอบกลับว่า...
พระ​บรม​โพธิสัตว์​ ทรงตรัสถาม :
***เหตุไฉน ท่านจึงมาขอบรรพชาติดตามเรา ? ***
ฉันนะผู้ติดตามบังคมกราบทูล​ว่า :
***ข้าแต่พระมหาสมมุติเทพ
เพราะ​ข้าพระองค์นั้น มีความจงรักภักดีเสน่หาสวามิภักดิ์ ในละอองธุลีพระบาทอย่างหาที่สุดมิได้ พระเจ้า​ข้า***
พระ​บรม​โพธิสัตว์​ ทรงตรัสถาม :
***ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ฉันนะท่านจงกลับไปกราบทูลให้พระบิดาของเรา พร้อมทั้งพระมาตุจฉาปชาบดี และนางชนปทกัลยาณียโสธราพิมพา...
ให้ทราบข่าวโดยเร็ว เพื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้น จักได้คลายความทุกข์ความอาลัย และจักได้มีความสบายพระทัยขึ้น...
แต่ทว่า
ถ้าหากท่านยังคิดเรรวน รั้งรออยู่ละก็ เราจักลงอาญาโทษแก่ท่านด้วยเหตุที่ขัดคำสั่ง ดังนั้น ฉันนะท่านจงลุกขึ้น แล้วออกเดินทางกลับไปยัง
กรุงกบิลพัสดุ์​ โดยบัดนี้เถิด***
ลำดับ​นั้นเอง...
นายฉันนะ​ เมื่อได้ฟังพระดำรัสตรัสรับสั่งเช่นนั้นแล้ว ก็มิอาจที่จะขัดพระอัธยาศัยของพระองค์ได้...
ฉันนะผู้ติดตามบังคมกราบทูล​ว่า :
***ถ้าพระองค์ทรงมีพระประสงค์รับสั่ง​เช่นนั้น... ข้าพระองค์​ก็จักขอทำตามรับสั่ง.. พระเจ้า​ข้า.. พลางสะอื้น..
(นายฉันนะ​อดกลั้นทูลตอบด้วยความเจ็บปวดทรมานใจ)*** เพราะนายฉันนะ เคยได้รับใช้ใกล้พระมหาบุรุษมาตั้งแต่เล็กๆ จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าพระองค์จะไปที่ใด ฉันนะผู้นี้ก็จะคอยติดตามดูแลรับใช้ภายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสมอมา แต่บัดนี้จักมิได้อยู่รับใช้พระองค์เสียแล้วจึงยากที่จักทำใจได้...
ท้ายที่สุด​แล้วนายฉันนะ...
จึงต้องจำใจอำลาพระบรมโพธิสัตว์ และก้มซบศีรษะลงแนบกับพระบาท อภิวาทบังคมลาด้วยน้ำตาแห่งความอาลัยรักแก่พระองค์...
จากนั้นนายฉันนะก็ได้หันกลับไปจูงม้ากัณฐกะ แล้วพาถอยกลับไปยังตามทางเดิมที่ได้จากมาจากพระนคร...
ในขณะ...
ระหว่างที่เดินกลับนั้นเอง​
ม้ากัณฐกะ​ 1 ใน 7 สหชาติ​ของ​พระ​โพธิสัตว์​ ที่เดินมาตามทางกลับไปกรุงกบิลพัสดุ์​ ม้ากัณฐกะ​นั้นก็พลางหน้าหันกลับมามองดูพระพักตร์ของพระมหาบุรุษพลางไปเป็นระยะๆ จนสุดท้าย พอไกลถึงจนสุดสายตาและมองไม่เห็นพระพักตร์ของพระมหาบุรุษแล้วนั้น...
กัญฐกะอาชาไนยราชา ก็หัวใจแตกสลายแล้วขาดใจตายลง ณ ที่ตรงนั้นทันที
ก็ด้วยเพราะความรักความอาลัยในพระมหาบุรุษที่สุดมากเกินกว่าที่จะทนได้ และด้วยอานุภาพแห่งความสวามิภักดิ์กตัญญูต่อพระโพธิสัตว์ผู้เป็นเจ้านายของตน​
เหตุนี้จึงส่งผลให้ม้ากัณฐกะจุติไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก และมีนามปรากฏว่า "กัณฐกเทพบุตร" ดุจนามเดิม
(บางนัยยะท่านบอกไว้ว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะ​ทรงเลือกเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ​นั้น หลังจากนี้อีก 7 วัน
ม้ากัณฐกะ​ก็จะกลายเป็นม้าแก้ว
มีฤทธิ์​กำลังมาก และจะเป็นอาชาไนยจอมราชา จะมิมีม้าใดใน โลกจะทัดเทียมได้ ทั้งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะพระบารมีของพระมหาบุรุษเท่านั้น แต่สุดท้ายพระองค์​ก็ทรงเลือกทางบรรพชิต ของที่เป็นแก้วและมีฤทธิ์​
ทั้งหลายที่คู่กับพระเจ้าจักรพรรดินั้นจึงดับสูญสลายไปนั่นเองครับ)
ในตอนนี้เอง...
เมื่อ​ม้ากัณฐกะ​ได้​มาสิ้นชีพลงในระหว่างทาง จึงทำให้นายฉันนะก็ยิ่งโทมนัสมากขึ้นไปอีก เพราะบัดนี้ได้ขาดเพื่อนร่วมทางแล้ว
นายฉันนะ​ร้องกล่าวเสียใจซ้ำสอง :
"โอ้ไม่!!! พ่อกัณฐกะจอมอาชา เหตุใดพ่อจึงหนีจากเราไปอีกท่านกันเล่า แล้วเราจักต้องทนเอาความทุกข์​เจ็บปวดดวงใจขนาดนี้ กลับไปกรุงกบิลพัสดุ์​ แต่เพียงผู้เดียวอย่างนี้หรือ...
ฉันนะจึงร้องไห้พลางสะอื้น รอบสอง...
อีกทั้งต้องเปลื้องเอาเครื่องประกอบของม้ากัณฐกะ หอบกลับไปด้วยจึงทำให้เป็นการเพิ่มภาระที่หนักยิ่งขึ้น
ไปอีก
ครั้น​แล้ว...
เมื่อนายฉันนะได้เดินทางจนกลับเข้ามาถึงพระนคร​กบิลพัสดุ์​แล้ว ก็ได้เร่งรีบเข้าเฝ้ากราบทูลแก่ พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​และพระ​ประยูรญาติ​ แล้วแจ้งข่าวทูลเล่าเรื่อง​ราวตามความเป็นจริงทุกประการ
จึงทำให้​เหล่าศากยราชทั้งหลาย ค่อยคลายบรรเทาความโศกลงได้บ้าง
ในตอนนี้เอง...
พระเจ้า​สุทโธ​ท​นะ​จึงทรงตรัสขึ้นว่า :
***ใน​ท้ายที่สุด​แล้ว แม้ตัวเรานั้นจักพยายามทำทุกวิถีทางแล้ว เพื่อมิให้พระราชโอรสของเราคิดออกบรรพชา แต่ทว่า สิ​ทธัตถะ​ลูกรักของเรานั้นก็ยังขวนขวายแสวงหาทางบรรพชาจนได้...
นี้คงจักเป็นชะตาฟ้าลิขิตเสียกระมัง แต่เอาเถิดในเมื่อเรานั้นมิอาจสามารถจักห้าม สิทธัตถะ​ลูกรักได้ เราก็จักรอคอยสดับข่าว การตรัสรู้​ของพระราชโอรสเรา ตามนัยที่เหล่าพราหมณ์อาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เคยทำนาย​พยากรณ์​ไว้ตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ราชโอรสของเรานั้นได้ทรงประสูติใหม่ๆ***
เอวัง​ก็มี​ด้วย​ประการ​ฉะนี้​
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัย ท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
หากท่านผู้ใดชอบ ก็ขอฝากติดตามอ่านตอนต่อไปด้วยนะขอรับ ^-^
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน​ผู้อ่าน​ขอธรรมของพระพุทธองค์จงมีแด่ ท่าน​ สาธุครับ​ (ต้นธรรม)
เอกสารอ้างอิง
#หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
#หนังสือพุทธประวัติ​ตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์)
#เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
โฆษณา