23 ก.ย. 2019 เวลา 03:56
พุทธ​ประวัติ​ ตอนที่​ 16
ทรง​อธิษฐาน​เพศบรรพชา
ในตอนนี้เอง...
พระมหา​บรมโพธิสัตว์
ได้เสด็จไปโดยลำดับ และล่วงพ้นผ่านเขตแดนของทั้ง 3 พระนคร กล่าวคือ กรุงกบิลพัสดุ์​ กรุงสาวัตถี และ
กรุงเวสาลี ในราตรีนั้น
จวบจน​กระทั่ง​เวลาใกล้รุ่งเช้า พระองค์พร้อมม้ากัณฐกะ ​และนาย
ฉันนะก็ได้บรรลุถึงฝั่งริมแม่น้ำ
(อโนมานที)
ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ ในยุคสมัยนั้น และเป็นแม่น้ำที่กั้นพรมแดนระหว่างแคว้นสักกะกับแคว้นมัลละ...
ขณะนั้นเอง ที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงประทับอยู่บนหลังของม้ากัณฐกะ ก็ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า...
เจ้าชายสิทธัตถะ​ทรงตรัส​วาจา​อธิษฐาน​ขึ้นว่า :
***ถ้าหากเรานั้น จักข้ามซึ่งห้วงโอฆสงสารและบรรลุ​ถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน ในอนาคต​กาลเป็นแน่แล้ว ก็ขอให้ม้ากัณฐกะนี้ จงพาเราข้ามพ้น
แม่น้ำอโนมานทีโดยสวัสดีเถิด***
จากนั้น...
พระองค์​ก็ทรงขับม้ากัณฐกะแล้วข้ามแม่น้ำอโนมา​นทีไปได้โดยปลอดภัย
ครั้น​เมื่อ​พระองค์​เสด็จถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ก็ได้เสด็จลงจากหลังม้าและมาประทับบนหาดทรายอันขาวสะอาด จากนั้น​พระองค์​ก็​ทรง​ปลดเปลื้อง​
เครื่องอาภรณ์แห่งราชโอรสออก
และส่งมอบให้นายฉันนะผู้ติดตาม แล้วกล่าวตรัสขึ้นว่า...
เจ้าชายสิทธัตถะกล่าวตรัส :
"ฉัน​นะเอ๋ย ท่านจงนำเอาอาภรณ์เครื่องประดับพร้อมด้วยม้ากัณฐกะนั้น กลับเข้าสู่พระนครในบัดนี้เถิด"
***ตัวเรานั้น จักบรรพชาถือเพศ
บรรพชิต ณ ที่นี้***
พระ​บรม​โพธิสัตว์​เจ้า​ได้ทรงพระดำริต่อไปอีกว่า :
***พระเกศานี้ มิสมควรแก่สมณเพศ พระองค์​จึงได้ทรงตัดออกด้วยพระขรรค์ (เมื่อทรงตัดหมดแล้วเป็นเหตุทำให้ พระเกศาที่เหลือ ของพระองค์นั้น มีความยาวประมาณ 2 องคุลี​ แล้วม้วนกลมวนเป็นทักษิณาวัฏ(เวียนขวา) ทุกๆ เส้น และพระเกศาของพระองค์ก็อยู่เป็นเช่นนั้น จนตราบเท่าเข้าถึง
พระปรินิพพาน )***
[องคุลี​ เป็นคำมาจากภาษาบาลีสันสกฤต องฺคุลิ อ่านว่า อัง-คุ -ลิ ซึ่งระยะที่ใช้วัด (คือใช้ตรง*ข้อปลายนิ้วชี้ หรือ*ข้อปลายนิ้วกลางก็ได้) ซึ่งในประเทศไทยเองก็มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าใช้นิ้วไหนวัดและควรยาวเท่าไรกับหลักสากลครับ]
เมื่อ​พระ​องค์​ได้ทรงตัดพระเกศาเสร็จแล้ว พระองค์​ก็ได้ทรง ตั้งจิตอธิษฐานกล่าวเปล่งตรัสวาจาขึ้น...
พระ​บรม​โพธิสัตว์​เจ้า​ได้ทรงตรัสเปล่งอธิษฐานวาจาว่า :
***ถ้าหากเรานั้น จัก​ได้​ตรัสรู้​พระโพธิญาณแล้ว ขอพระเกศานี้จงลอยอยู่ในอากาศ อย่าได้ตกลงมาเลย แต่ถ้าหากจะมิได้ตรัสรู้ ก็ขอใหัพระเกศานี้จงตกลงมายังพื้นธรณีเถิด***
ลำดับ​นั้น...
พระองค์​ก็ทรงโยนพระเกศาพร้อมทั้งผ้าโผกพระเศียรขึ้นไปบนอากาศ
ปรากฏ​ว่าพระเกศาและผ้าโผกพระเศียรนั้นได้ปลิวลอยอยู่บนอากาศ มิได้ตกลงมาเลยแม้แต่น้อย
***เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า...
องค์​สมเด็จ​พระอมรินทราธิราช (พระอินทร์​) ท่านได้มาคอยรอรับพระเกศาและผ้าโผกพระเศียรของพระองค์อยู่แล้วนั่นเองครับ
โดยการนำเอาผอบแก้วอันเป็นทิพย์มารองรับโดยทันทีและนำเสด็จอันเชิญขึ้นไปบรรจุไว้ภายใน องค์​พระจุฬามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงส์​เทวโลก (สวรรค์​ชั้นที่ 2) ในวันนั้นทันที...***
และในขณะนั้นเอง...
ก็เกิดมีแสงสว่างสีทอง ได้​ปรากฏ​ขึ้น ณ ต่อเบื้อง​พระพักตร์​ของพระมหาโพธิสัตว์!!!
และผู้ที่ปรากฏมาด้วยแสงสว่างสีทองอันนั้นก็คือ ท้าวมหาพรหม​ นามว่า
(ฆฏิการพรหม)
ซึ่งท่านผู้นี้ ในอดีตชาติได้เคยเกิดเป็นพระสหายกับพระโพธิสัตว์ ในครั้งเสวยพระชาติเป็นโชติปาลมานพ
และอยู่ในยุคสมัยของ "พระพุทธ​เจ้านามว่า กัสสปะ" (*ขอนำมาเล่าเพียงแต่โดยย่อไว้กระผมจะนำมาเล่าขยายในภายหลังครับ)
ลำดับ​นั้น...
ฆฏิการพรหม ก็ได้นำเครื่องอัฐบริขารอันประกอบด้วย
1. ผ้ากาสาวพัสตร์ ที่ใช้เป็นจีวร
2. สังฆาฏิ​
3. สบง
4. บาตร
5. มีดโกน
6. กล่องเข็ม
7. ประคดเอว
8. ผ้ากรองน้ำ
นำมา​ถวาย​แด่พระโพธิสัตว์​
จากนั้น​ พระโพธิสัตว์​ก็ได้รับเครื่องอัฐบริขารเหล่านั้น และทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ และพระองค์ก็ได้ อธิษฐาน​เพศบรรพชิต ณ ที่นั้นเอง...
เมื่อ​พระองค์​เสร็จพิธีอธิษฐานแล้วก็ทรงมอบ พระภูษาผ้าทรงทั้งหมดสำหรับคฤหัสถ์ ให้แก่ท้าวฆฏิการพรหม ซึ่งท่านท้าวมหาพรหมนั้นก็ได้นำเสด็จอันเชิญไป ประดิษฐาน​ใน
(ทุสสเจดีย์) ในชั้นพรหมโลกนับตั้งแต่บัดนั้นแล...
เอวัง​ก็มี​ด้วย​ประการ​ฉะนี้​
หากท่านผู้ใดชอบ ก็ขอฝากติดตามอ่านตอนต่อไปด้วยนะขอรับ ^-^
ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน​ผู้อ่าน​ขอธรรมของพระพุทธองค์จงมีแด่ ท่าน​ สาธุครับ​ (ต้นธรรม)
เอกสารอ้างอิง
#หนังสือ.ปฐมสมโพธิกถา
#หนังสือพุทธประวัติ​ตามแนวปฐมสมโพธิ (พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์)
#เพิ่มเติมเนื้อหาใหม่/ภาพประกอบ.ต้นธรรม
โฆษณา