25 ก.ย. 2019 เวลา 12:47 • การศึกษา
มาเข้าใจมนุษย์แบรนด์เนมกัน
ของมันต้องมี เป็นวลีเด็ดของมนุษย์ช็อปทั้งหญิงชาย
ไม่ว่าจะเป็น ต่างหู สร้อยคอ นาฬิกา หรือแม้กระทั่งเสื้อหมาก็มีแบรนด์เนม
แต่
คุณรู้หรือไม่ว่า.. แบรนด์สินค้าใดมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก!?
ติ๊ก
ต่อก
ตีก
ต่อก
ตีก
ต่อก
ให้ตายเถอะผ่องศรี คำว่าของมันต้องมี จะนึกถึงอะไร?
ติ๊ก
ต่อก
ตีก
ต่อก
เฉลยให้เลยละกัน
คำตอบก็คือ เบอร์ 1เป็นของ Apple ผู้ผลิตสินค้าไอทีระดับพรีเมียมในสายตาโลกครับ
ซึ่งถ้าเราไม่ได้รวมรายได้ของบริษัท ไม่รวมมูลค่าหุ้น แต่นับเฉพาะมูลค่าของแบรนด์ Apple เพียวๆ นี่นะแบรนด์นี้มีมูลค่าสูงถึง 6 ล้านล้านบาท
หรือเทียบง่ายๆ ว่ามูลค่าแบรนด์นี้ สามารถนำมาเป็นรายจ่ายบริหารประเทศไทยทั้งประเทศได้เป็นเวลา 2 ปีเต็มเชียวนะเว้ยย
.
ฟังดูมหาศาลจนคุณจนผมเองก็อาจจะคาดไม่ถึง...
แต่นั่นเป็นแค่แบรนด์ที่ยืน 1 มีคนอยากใช้ครับ
นอกจาก Apple แล้ว แบรนด์ที่มูลค่าสูงอันดับต้นๆ โลก ต่างก็เป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น Googleเอย Microsoftเอย Facebookเอย หรือกระทั่ง Coca-Cola ก็ติดมาในท็อปเทนกันมาแล้วทั้งนั้น🤑
.
แต่เคยสังเกตมั้ยครับ แม้จะบางแบรนด์จะมูลค่าสูงมาก แต่หลายคนก็อาจจะสัมผัสลึกๆว่า การบริโภคสินค้าบางแบรนด์ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกพรีเมียมเลยแต่อย่างใด
หรือพูดง่ายๆ ว่า เล่นเฟซบุ๊ก ดื่มน้ำโค้ก ใช้เมาส์ของไมโครซอฟท์ ก็ไม่ได้ดูรวยกว่าชาวบ้านแต่อย่างใดหว่ะ🤒
สาเหตุนั้นเป็นเพราะ
เพราะหากเราพูดถึงคำว่า "สินค้าแบรนด์เนม" มนุษย์ช็อปหลายอย่างคนไทยเรามักจะนึกถึงสินค้าแฟชั่นหรูหรา ซึ่งแบรนด์ในกลุ่มนี้ก็เช่น.. Louis Vuitton, Gucci และ Hermès เป็นต้น
ซึ่งแน่นอนครับ เรามองว่าสินค้าแฟชั่น มันหรู....
ไม่เพียงแต่วงการแฟชั่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวงการอื่นๆ ที่การใช้แบรนด์พรีเมียม จะทำให้เรารู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
ยกตัวอย่างเช่น ดื่มกาแฟ Starbucks ขับรถยนต์ BMW หรือกระทั่งการซื้อรองเท้ากีฬา Nike😎
สรุปก็คือ คนเราแบ่งแยกแบรนด์เนมตามเกรดความเชื่อของสังคมที่ตัวเองอยู่เท่านั้นครับ
คำถามคือทำไมมนุษย์จึงคลั่งไคล้แบรนด์เนมกันนักหนาหล่ะ?
อันนี้หละประเด็นหลักที่ผมจะอธิบาย
มีคำอธิบายบางอย่างจากนักจิตวิทยา ที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีพื้นฐานหนึ่งได้อย่างน่าสนใจ...ครับ🧐
ทฤษฎีดังกล่าวชื่อว่า "ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์"
หลายคนอาจจะไม่รู้จัก บางคนคุ้นชื่อ บางคนรู้จักดี เพราะเราต่างก็น่าจะเคยเรียนมาสมัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัยกันแล้ว
ผมเคยเรียนชื่ออิลุงคนนี้ตอนปี3
อ่านถึงบรรทัดนี้อย่าพึ่งเลื่อนหนีเด้อ เพราะผมจะไม่เล่าให้น่าเบื่อเหมือนหนังสือเรียนแน่นอน.
นักจิตวิทยา Abraham Maslow มีชื่อเสียงโด่งดังจากการนำเสนอทฤษฎีดังกล่าวเมื่อราวๆ 70 ปีก่อน และยังคงถูกยอมรับกันมาในยุคปัจจุบันครับ
อธิบายง่ายๆ ก็คือ ลุงแกระบุความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน โดยแบ่งเอาไว้เป็น 5 ขั้น
ขั้นแรกเนี่ยคือคนเรามีความต้องการที่จะอยู่รอด ซึ่งสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คืออากาศ อาหาร น้ำ เสื้อผ้า รวมไปถึงที่อยู่อาศัย👆
.
พอเราได้ขั้นแรกแล้ว คนเราก็อยากจะมีขั้นต่อไป นั่นก็คือการรักษาสิ่งเหล่านั้นให้คงอยู่ ต้องการให้มีอาหารกินสม่ำเสมอ ต้องการให้บ้านเราปลอดภัย ต้องการให้การงานเรามั่นคง✌
.
แล้วมนุษย์เราก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้นเว้ย
.
ขั้นที่สาม เรายังคงต้องการความรักจากคนรอบตัว จากครอบครัว จากเพื่อน จากคนที่ทำงาน🤟
.
ขั้นที่สี่ เราต้องการมีตัวตน ต้องการให้คนอื่นๆ มาเคารพนับถือ และไม่อยากให้ใครมองว่าด้อยค่า🖖
.
จนไปถึงขั้นสุดท้ายหล่ะ ข้อนี้สำคัญ
เพราะเมื่อมนุษย์ซึ่งได้สิ่งต่างๆ ครบแล้ว แต่ละคนก็จะต้องการ "ความสำเร็จสูงสุด" แตกต่างกันออกไป และไม่มีความต้องการสูงกว่านั้นแล้ว🖐
1
บางท่านอาจสงสัยทำไมไอ่แซมเอาทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว์ มาโยงเข้ากับแบรนด์เนมหล่ะ😲
มีคำอธิบายว่า
“การได้ใช้งานสินค้าแบรนด์เนมพรีเมียมนั้น สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้ แถมตอบสนองได้หลายขั้นด้วยครับผม”
ยกตัวอย่างนะ
เราทุกคนย่อมมีสินค้าแบรนด์ประจำ ต่อให้พรีเมียมหรือไม่ก็ตาม เช่น น้ำอัดลม ผงซักฟอก หรือรองเท้ายี่ห้อประจำ
เพราะเรามั่นใจว่า การซื้อแบรนด์นี้อีกครั้ง ก็การันตีถึงคุณภาพ รสชาติ หรือประสิทธิภาพของสินค้าได้ระดับหนึ่งไงครับท่าน
.
สังเกตนะครับ เราจะเห็นการไปต่อแถวซื้อสินค้าตัวใหม่ที่วางขาย เพราะการได้ใช้สินค้าก่อนใครเพื่อน ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษขึ้นมา
เหมือนๆช่วงที่ร้านอีฟแอนด์บอยเปิดตัว ชาไข่มุกแบร์เฮาท์เปิดตัว หรือแม้กระทั่งไอโฟนหน้าตาน่าเกลียดเปดตัวใหม่แพงชิปหายเสปคกั๊กนั่นหน่ะ😕
หรืออีกมุมนึง
เราจะเห็นการใช้กระเป๋าหรูราคาหลายหมื่น เพราะศิลปินที่ชื่นชอบใช้งานแบรนด์นั้น และสบายที่ได้เป็นลูกค้าของแบรนด์ตามศิลปินคนโปรด เช่นแม่อั้มกระเป๋าใบหล่ะแสน ว้ายยยยย
แบบว่า...ยังไงดีหล่ะ.....ของมันต้องมี!!
หรือกระทั่งการใช้ของแบรนด์เนมตามกลุ่มเพื่อนครับ
ก็ตามกลุ่มคนที่เราไปเข้าหาด้วยนั่นแหละ เราต้องใช้แบรนด์เนมเพื่อให้ตนเองได้เป็นที่ยอมรับในสังคมนั้นๆ ก็มีเช่นกัน😑
มาอธิบายทฤษฎีต่อสักนิด
แม้จะมีความต้องการของขั้นที่ 1 และ 2 รวมอยู่ในด้วยการเลือกใช้แบรนด์ให้แบรนด์หนึ่ง
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในการที่มนุษย์ติดแบรนด์พรีเมียมเนี่ย มักจะเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นที่ 3 และ 4 ตามลำดับซะมากกว่าครับท่าน
ดังนั้น
ทั้งหมดที่อธิบายไป หวังว่าจะเข้าใจมนุษย์แบรนด์เนมนะครับ
ทีนี้มามองในมุมผู้ผลิตกัน
จะเห็นได้ว่าเมื่อ "แบรนด์" ผูกพันกับ "ความเป็นมนุษย์"
การใช้สินค้าแบรนด์เนมบ้าง ไม่แบรนด์บ้าง หรือถึงขั้นว่า "เสพติดแบรนด์" นั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
เพราะมองอีกมุมหนึ่ง แบรนด์สินค้าต่างๆเขาก็ต้องใช้ทั้งความสามารถของพนักงาน ต้องรักษาคุณภาพสินค้า และใช้ระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร🥰
กว่าจะเติบโตจากแบรนด์ที่ไม่มีคนรู้จัก จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้สำเร็จ
และการที่ลูกค้าติดแบรนด์ของเรา กลับมาซื้อเป็นประจำ แถมยังบอกต่อให้คนรอบตัวใช้ตาม หรือกระทั่งคอยช่วยปกป้องแบรนด์ของเรา เวลาที่มีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์
นั่นก็คือสิ่งที่หลายๆ ธุรกิจต่างก็ต้องการ และใฝ่ฝันอยากจะให้แบรนด์ไปถึงจุดนั้นให้ได้เช่นกัน
เอาง่ายๆก็คือ เขาทำออกมาดี เขาดังก็มีคนไปซื้อ
แม้ทฤษฏีของมาสโลว์ จะสามารถนำมาเขียนบนกระดาษ ใช้อธิบายความต้องการของมนุษย์กับสินค้าแบรนด์เนมได้อย่างเข้าใจไม่ยากนักครับ
แต่ในทางปฏิบัติจริง การสร้างแบรนด์ ทำให้ลูกค้าติดแบรนด์ และผลักดันแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง เป็นเรื่องที่ยากเหนื่อยชิปหลายเลยแหละ ดูจากยอดฟอลในblockditตัวเองดูแล้วท่านจะเข้าใจ😭
แต่ถ้าทำได้ล่ะก็ มันก็นับเป็นความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจมากด้วยเช่นกัน...🤗
ก็จบกันไปแล้วนะครับทั้งสอง มุมทั้งผู้ซื้อทั้งผู้ผลิต
สุดท้ายก็ขอฝากไว้ให้คิดซะหน่อยว่า
จะซื้อแบรนด์เนมอะไรก็ให้ดูความbalance กับรายได้ด้วย อย่าไปซื้อเกินตัวเด้อ👍
I’m sam
อย่าลืมกดติดตามไว้เพื่อไม่ให้พลาดการอัปเดตนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา