25 ก.ย. 2019 เวลา 04:06 • ความคิดเห็น
ความสำเร็จในชีวิตคนเรา คงจะถูกกำหนดตั้งแต่ตอนที่เราเกิด
เรามักจะได้ยินคำสอนว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
แต่บทความต่อไปนี้อาจหักล้างคำสอนนั้นทั้งหมด
และบอกคำสอนใหม่กับคุณว่า อย่ามัวบ้าพยายาม ถ้ายังเอาตัวไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา
Present by บ่นสาระซีรี่ส์
วันนี้จะมาบ่นอ้างอิงกับกับทฤษฎีของชายที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในโลกนี้อย่าง Bill Gates เจ้าพ่อบริษัทไมโครซอฟท์ครับ
ก่อนอื่นผมขอขยายประโยคที่ว่า
"อย่ามัวบ้าพยายาม ถ้ายังเอาตัวไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา"
ประโยคนี้มีที่มาจากการที่ คนสมัยนี้เข้าใจว่างานยุคใหม่เป็นอะไรที่ต้องแข่งขันซะทุกเรื่องครับ และคนที่ขยันที่สุดจะชนะ
ซึ่งมันก็จริงในบางสายงานเท่านั้น และมันก็เป็นงานส่วนน้อยด้วยสิ
สังเกตง่ายๆกับการยอมจ่ายเวลาชีวิตของพนักงานออฟฟิศครับ ทุกคืนจะมีพนักงานออฟฟิศเรียนจบใหม่ทุกคนยอมแลกเวลาทำโอที เพราะคิดว่ายิ่งผลงานมาก ผลงานดี ยิ่งมีโอกาสโบนัสสูง โอกาสเลื่อนขั้นสูง
แต่การถูกชักจูงด้วยความเชื่อแบบนั้นทำห้พวกเขาใช้ชีวิตวนลูป จนร่างกายมันเริ่มเสื่อม มันเริ่มวูปถึงมารู้ตัวทีหลังว่าร่างกายที่พังไปมันไม่คุ้มกับงาน ทำไปเลย
และที่น่าตลกร้ายคือ พวกเขาที่ได้มีเวลาพักช่วงป่วยหนักนั่นหน่ะ ได้เอาเวลาไปชมเชยพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ พอดูไปเยอะๆชื่นชมไปเยอะๆก็อยาก early retire ไปทำงานอิสระในที่สุด
คำถามคือ ทำไมพวกเขาที่เคยขยันทำโอที จู่ๆกลับมีความเชื่อที่เปลี่ยนไปได้หล่ะ?
คำตอบจากเรื่อง Bill Gates ต่อไปนี้ จะอธิบายทั้งหมด แบบกระจ่างเลยครับ
เราจะมาเดินทางย้อนอดีตไปเข้าใจกับเรื่องนี้กันนะ
เริ่ม..
จากการให้สัมภาษณ์ครั้งนึงไม่นานมานี้ เมื่อ Bill Gates ถูกถามว่าอะไรเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับคนหนึ่งคน จะประสบความสำเร็จได้
ชายผู้เป็นเจ้าพ่อแห่งไมโครซอฟท์ เขาเลือกหยิบยกคำตอบน่าสนใจตัวนึงออกมาว่า
“ประเทศที่คุณเกิดมา" มาเป็นปัจจัยหลัก”
.
แน่นอนBill ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาลอยๆ เพราะเขาได้อ้างอิงถึงรายงานที่มูลนิธิของเขาที่ทำการค้นคว้ามาอีกด้วยครับ
บางท่านอาจเคยทราบกันนะครับว่า Bill Gates และภรรยาเนี่ย เขาได้มีการร่วมร่วมมือกันสร้างมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กในพื้นที่ยากไร้โดยเฉพาะในแถบทวีปแอฟริกา
โดยมูลนิธินี้นะครับ
เป้าหมายหลักของมูลนิธิ ไม่ใช่การเอาเงินลงไปช่วยเพียงครั้งคราวเพื่อฟื้นฟูสถานที่หรือเยียวยาเหมือนน้ำท่วมในบ้านเรานะ
แต่เป้าหมายมูลนิธิก็คือการพัฒนาที่ตัวบุคคล สาธารณูปโภค การศึกษา และให้ตัวบุคคลนั้นหน่ะกลับมาพัฒนาพื้นที่ของพวกเขาเอง
ซึ่งนั่นหมายถึงนัย ที่มูลนิธิคาดหวังไว้จริงๆก็เพื่อ การพัฒนาในระยะยาว สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี พัฒนาเศรษฐกิจ และลดปัญหา "ความเหลื่อมล้ำ" ลงให้ได้
Bill เล่าว่า ความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาที่อยู่คู่กับโลกของเรามาอย่างช้านานครับ
แม้รายงานข่าวจากสหประชาชาติจะพบว่าความเหลื่อมล้ำนั้นน้อยลง สวนทางกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่มากขึ้นในช่วง 20-30ปี ที่ผ่านมา
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันหมดไปสักทีเดียว..
และนี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Bill คิดว่าเด็กที่เกิดมาในสถานที่ต่างกัน ก็จะถูกความเหลื่อมล้ำครอบงำเอาไว้ และคนที่อยู่ระดับล่าง ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนระดับบนครับ
ไม่ใช่เพียงเรื่องของฐานะการเงินที่กดพวกเขาไว้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องสาธารณสุข อาหาร และความรุนแรงด้วย!
โดยBillยกตัวอย่างจากกลุ่มประเทศแถบทะเลทรายซาฮาร่าในแอฟริกา ยกตัวอย่างเช่นมาลี ไนเจอร์ หรือชาด (ชื่อประเทศอาจจะฟังไม่ค่อยคุ้นหู)
เด็กทั่วไปที่เกิดขึ้นมาในประเทศเหล่านั้นครับ เมื่อเทียบกับเด็กในประเทศอย่างฟินแลนด์แล้ว
พวกเขาแทบจะขาดโอกาสในการเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี หรือกระทั่งเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานเลย
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เมื่อเทียบอัตราการรอดชีวิตในวัยเด็ก หากเด็กฟินแลนด์เสียชีวิต 1 คน เด็กในกลุ่มประเทศเหล่านั้นจะเสียชีวิตไปแล้ว 55 คนเท่ากับว่า พวกเขาไม่มีแม้แต่จะมีโอกาสรอดชีวิต จนเติบโตไปเลือกทางเดินของตัวเองในอนาคตเสียด้วยซ้ำ...
Bill จึงเชื่อว่า
“สถานที่เกิด เกี่ยวข้องกับโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต”
ยังไม่หมดครับ
สิ่งที่ Bill Gates พูดนั้นอาจจะฟังดูมีเหตุผลมากขึ้น หากเราย้อนกลับมามองยังเหล่าคนที่ประสบความสำเร็จของโลก
ถ้าเรามองว่า "คนรวย" คือคนที่ประสบความสำเร็จ
ในการจัดอันดับคนที่รวยที่สุด 20 คนของโลก ย้ำนะครับ ของโลก
มีกลุ่มคนที่มีสัญชาติอเมริกันถึง 13 คน คิดเป็น 65%
ซึ่งนั่นก็รวมถึงคนที่รวยจากธุรกิจด้านไอทีอย่างไมโครซอฟท์ซึ่งก็คือเขานั่นเอง
.
ในส่วนคนรวยประเทศอื่นๆ ประกอบด้วยฝรั่งเศส 2 คน และสเปน 1 คน ซึ่งสองประเทศนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว
ที่เหลือคือจีน 2 คน เม็กซิโก 1 คน และอินเดีย 1 คน
แน่นอนว่า ไม่มีคนจากทวีปแอฟริกาติดเข้ามาเช่นกัน อันดับนี้จึงน่าจะพอสะท้อนสิ่งที่ Bill ต้องการสื่อออกมาได้เล็กน้อย
ถึงจุดนี้หลายคนอาจจะเกิดความเห็นแย้งว่า ในแต่ละประเทศที่ไม่ติดอันดับเข้ามา ก็มีกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วนี่นา
อย่างเช่นในไทย ก็มีตระกูลเจียรวนนท์, ตระกูลจิราธิวัฒน์ หรือตระกูลอยู่วิทยา
ต็อบเถ้าแก่น้อยก็รวย พีซพชรก็หลานเซ็นทรัล ป็อกก็เป็นทายาทเซ้นทรัล นี่ยังไม่รวมไฮโซโน่นนี่นั่นที่ออกข่าวบางกอกกระซิบอีก
พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์
ซึ่งแน่นอนครับ ประเทศไทยก็มีคนรวย พวกเขาก็ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงมากเช่นกัน
ทำให้เราอาจยังคิดกันว่า Bill มันก็แค่เล่าในมุมมองของมัน...
แต่หากเราลองไปดูงานวิจัยกันอีกชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัย Georgetown ในประเทศสหรัฐอเมริกา มันก็มีเรื่องน่าสนใจแนวนี้ครับ
งานวิจัยดังกล่าวทำการค้นคว้าความสำเร็จในชีวิต ระหว่างคนที่มีผลการศึกษาดี และกลุ่มคนที่เกิดมาในครอบครัวฐานะดี
.
พวกเขาพบครับว่า กลุ่มคนที่มีผลการเรียนดี หรือกลุ่มคนที่มากความสามารถในด้านต่างๆ มักจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ซึ่งแน่นอนว่าที่ไทยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น
และถึงแม้พวกเขาเรียนจบไป ได้ทำงานในองค์กรที่ดี มีตำแหน่งหน้าที่ดี
“แต่ก็จะเป็นเพียงพนักงานที่ทำงานได้ดีเท่านั้น”
แต่พวกเขาจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เท่ากับกลุ่มคนที่มีความสามารถกลางๆ (น้อยกว่าลงมาหน่อย) แต่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีครับ(จริงไหมหล่ะ)
พวกเขาจึงสรุปงานวิจัยว่า... การเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณสามารถประสบความสำเร็จ ได้มากกว่าผลการเรียนที่ดีเยี่ยม
.
นี่แหละครับจึทำให้เกิดความแมชชิ่งกันในเชิงทฤษฎี
แม้รายงานของ Bill Gates จะเป็นการศึกษาจากแอฟริกา ส่วนงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Georgetown ก็ทำการเก็บข้อมูลในสหรัฐอเมริกา
.
แต่นั่นก็อาจจะสะท้อนว่า ความเป็นอยู่ที่เกิดขึ้นจริงอยู่ทั่วโลกยัเป็นแบบนี้...
ทีนี้ตัดจบแบบละครไทย ตัดจากอดีต ไปปัจจุบันหล่ะ
เราอยู่ปัจจุบันกันแล้วนะครับผม
จำที่ผมบ่นในตอนแรกของบทความได้มั้ย
“อย่ามัวบ้าพยายาม ถ้ายังเอาตัวไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา”
นี่แหละครับที่ผมจะมาเสนอทางออก
ความจริงบนโลกนี้อย่างนึกที่ผมกล้าบอกว่ามันตายตัวเลยก็คือ โอกาส เป็นจุดตัดระหว่างการเตรียมพร้อมเสมอ กับเวลาที่เหมาะสมครับ
สังเกตมั้ยครับสมัยนี้มีเศรษฐีเงินล้านหน้าใหม่เกิดขึ้นเยอะครับ และเงินที่ได้ก็มักจะมาจากอาชีพแนวใหม่ที่ไม่เคยมีสอนในตำราเช่นกัน บางคนเปิดร้านอาหารแฟชั่น บ่งคนมาจากการเป็นยูทูป
ซึ่งคีย์ทั้งหมดของการทำเงินมหาศาลคงปฏิสธไม่ได้เลยว่ามาจาก 2 ปัจจัยหลักๆคือ
ความดัง กับ ศสตร์การขาย
อย่าง youtuber ช่อง kaykai ก็ขายความเป็นตัวเองจนดัง ถึงมีโอกาสเข้าหา
คุณต็อบ เถ้าแก่น้อย ก็เริ่มดังเป็นกระแสแรงๆช่วง ภาพยนตร์เถ้าแก่น้อยเข้าโรง
สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้สำเร็จคือพวกเขารู้ว่าจะเอาตัวเองไปวางอยู่จุดไหน และรู้จัก “ขาย”อย่างขยันและสม่ำเสมอ
ดังนั้นครับ
ไม่ว่าคุณในตอนนี้กำลังทำอาชีพหรือยังคิดจะสมัครอะไรอยู่ก็ตามอย่ามองข้าม 2 ปัจจัยนี้เด็ดขาด
เพราะถ้าหากคุณพลาดมองข้ามเรื่องพวกไป
“ทั้งชาตินี้คุณอาจมีแค่ความขยัน และจบที่การเป็นพนักงานที่ดีจนเกษียณเท่านั้นครับ”
จอบอ
ขอชวนคุยตอนท้ายกับคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้หน่อย
คุณคิดว่า "สถานที่" ที่เราเกิดมา ทั้งฐานะครอบครัว และประเทศที่เกิด มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคตมากน้อยแค่ไหน และจะทำยังไงให้ต่อยอดความสำเร็จจากจุดที่คุณกำลังอยู่ครับ….
I’m sam
กดไลค์ กดติดตามไว้เพื่อไม่พลาดสาระที่อัปเดตได้ก่อนใครนะครับ
Refference

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา